ผู้พิชิตสามก๊ก (๘) ๑๙ พ.ย.๕๙

สามก๊กฉบับลายคราม                                       

   ผู้พิชิตสามก๊ก

ตอนที่ ๘ ยึดอำนาจ                                                                                                         

   เล่าเซี่ยงชึน

        เมื่อ พระเจ้าโจยอยสิ้นพระชนม์แล้ว สุมาอี้มหาอุปราชกับขุนนางผู้ใหญ่ในเมือง   ฮูโต๋ ก็ยกพระเจ้าโจฮองผู้มีพระชนมายุแปดขวบ ขึ้นเสวยราชสมบัติของวุยก๊ก และให้โจซองเป็นผู้ว่าราชการแทน แต่ถ้ามีราชการสิ่งใด โจซองจะต้องปรึกษาหารือสุมาอี้ก่อน จึงจะตัดสินได้

        โจซองนั้นเป็นบุตรโจจิ๋นเชื้อพระวงศ์ ที่เป็นคู่แข่งของสุมาอี้มาก่อน บัดนี้มีคนสนิทห้าคนและทหารรักษาพระองค์ห้าร้อยคน และมีที่ปรึกษาคือฮวนห้อม ขุนนางฝ่ายกรมนา           ที่ชอบอัชฌาสัยกันมาก

        ครั้นอยู่มาโฮอั๋นคนสนิทคนหนึ่ง ก็ยุยงโซองว่าโจซองนั้นเป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นผู้ว่าราชการแทนฮ่องเต้ มิควรจะต้องคำนับสุมาอี้ซึ่งเป็นมหาอุปราช  และเมื่อครั้งโจจิ๋นบิดาโจซองไปรบเมืองเสฉวนนั้น ก็ได้ความแค้นเพราะสุมาอี้จนถึงแก่ความตาย  แล้วยังจะยอมไปคำนับสุมาอี้หรือ

        โจซองก็พลอยแค้นตามคนสนิทไปด้วย จึงหาทางกำจัดสุมาอี้เสีย ด้วยการกราบทูลฮ่องเต้ให้เลื่อนสุมาอี้ขึ้นไปเป็นอาจารย์ผู้ใหญ่ และให้โจซองเป็นมหาอุปราชแทน  แล้วโจซองก็ตั้งน้องชายสามคนเป็นนายทหารเอก ตั้งขุนนางคนสนิททั้งห้าเป็นที่ปรึกษาราชการ และมีกองทหารพิทักษ์รักษาทั้งกลางวันกลางคืน

        ในขณะนั้นขุนนางทั้งปวง ชวนกันเข้าอยู่ด้วยโจซองเป็นอันมาก โจซองนั้นแต่งตัวคล้ายฮ่องเต้ ถ้ามีเครื่องบรรณาการมาถวายจากหัวเมือง โจซองก็เลือกเก็บเอาของดีมีราคาไว้ตามชอบใจ และจัดหญิงบรรดารูปงามไว้เป็นนักร้อง ขับเพลงประโลมใจประมาณสี่สิบคน กับเอานางสนมของฮ่องเต้มาไว้เจ็ดแปดคน ทั้งสั่งให้ช่างสร้างตึกที่อยู่เทียมพระราชวัง แล้วโจซองกับที่ปรึกษาทั้งห้าคนก็หาความสุข เสพสุราทุกวันมิได้ขาด

        สุมาอี้เห็นดังนั้นก็บอกลาป่วยมิได้เข้าเฝ้า สุมาสูกับสุมาเจียวผู้บุตร ก็ลาออกจากราชการไปอยู่ด้วยกันแต่ในบ้าน โจซองก็มีใจกำเริบทำการหยาบช้าต่าง ๆ  ขุนนางทั้งปวงก็อยู่ในเงื้อมมือสิ้น

        จนพระเจ้าโจฮองเสวยราชย์มาได้ประมาณสิบปี โจซองตั้งให้หลีซินที่ปรึกษาของตนไปเป็นเจ้าเมืองเซียงจิ๋ว ก่อนจะไปรับตำแหน่งใหม่ ก็มาหาสุมาอี้ที่บ้าน เมื่อคนใช้เข้ามาบอกว่าหลีซินมาขอคำนับ สุมาอี้ก็บอกแก่บุตรชายทั้งสองว่า

        “..........อันหลีซินมานี้ โจซองแกล้งใช้ให้มาดูเราว่าป่วยหรือไม่..........”

        แล้วก็จัดแจงสยายผมเอาผ้าห่มนอนมาห่มไว้ และให้คนใช้หญิงสองคนช่วยประคอง อยู่คนละข้าง หลีซินก็เข้ามาคำนับแล้วว่า

        “.........ข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่าท่านอาจารย์ผู้ใหญ่ป่วยหนักถึงเพียงนี้ บัดนี้พระเจ้า          โจฮองให้ข้าพเจ้าไปเป็นเจ้าเมืองเซียงจิ๋ว ข้าพเจ้าจึงมาหวังจะลาท่าน........”

        สุมาอี้ก็แกล้งทำเป็นหูตึง ถามว่า

        “..........ซึ่งรับสั่งให้ท่านไปเป็นเจ้าเมืองเป๊งจิ๋วนั้นก็ดีอยู่แล้ว ด้วยเมืองเป๊งจิ๋วใกล้กับเมืองหลวง มีราชการจะได้ให้หามาง่าย..........”

        หลีซินก็ว่ามิใช่เมืองเป๊งจิ๋วหามิได้ รับสั่งให้ไปเมืองเซียงจิ๋วดอก สุมาอี้ก็หัวเราะแล้วว่าท่านมาจากเมืองเซียงจิ๋วหรือ หลีซินก็ว่าท่านอาจารย์ป่วยหนักจึงพูดฟั่นเฟือนไป คนใช้จึงบอกว่า

        “.......... ท่านป่วยครั้งนี้ลมกำเริบขึ้นให้หูหนัก ผู้ใดเจรจาก็ไม่ได้ยินถนัด .........”

        หลีซินจึงให้เอากระดาษกับพู่กันมาเขียนหนังสือลงว่า พระเจ้าโจฮองให้ข้าพเจ้าไปเป็นเจ้าเมืองเซียงจิ๋ว ข้าพเจ้าจึงมาคำนับจะลาไป แล้วส่งให้สุมาอี้ดู สุมาอี้อ่านแล้วจึงว่า

        “..........บัดนี้โปรดให้ท่านไปเมืองเซียงจิ๋วหรือ  ดีแล้วอุตส่าห์ทำราชการรักษาตัวอย่าประมาท..........”

        แล้วเอามือชี้เข้าที่ปาก หญิงคนใช้ก็เอาน้ำข้าวต้มมาให้ สุมาอี้กินเข้าไปแล้วก็แกล้งสะอึกให้น้ำข้าวไหลออกมา แล้วว่า

        “...........ตัวเราทุกวันนี้ก็ชรา ทั้งโรคก็กำเริบป่วยหนัก จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้เลย อันสุมาสู สุมาเจียวบุตรเราทั้งสองเป็นคนโฉดเขลา ท่านจงเอ็นดูสั่งสอนด้วย จงช่วยบอกโจซองว่าเราขอฝากบุตรทั้งสองด้วยเถิด ...........”

        แล้วก็เอนตัวลงนอนทำเป็นหอบอยู่ หลีซินจึงขอลากลับไป เมื่อหลีซินออกจากบ้านไปแล้ว สุมาอี้ก็ลุกขึ้นบอกแก่บุตรทั้งสองว่า

        “............หลีซินมาเห็นบิดาป่วยอยู่แล้ว ก็จะกลับไปบอกโจซอง เห็นโจซองจะไม่สงสัยเราแล้ว เราจะคิดอ่านเตรียมการไว้ให้พร้อม ถ้าโจซองออกไปไล่เนื้อเมื่อใด เห็นได้ทีแล้วเราจะทำการ.........”

        ทั้งสามพ่อลูกก็เตรียมการไว้พร้อม เพื่อจะยึดอำนาจคืนมาจากโจซองให้ได้ อยู่มาไม่นานสุมาอี้ก็ได้ข่าวว่า โจซองให้แต่งเครื่องเซ่น แล้วทูลเชิญพระเจ้าโจฮองเสด็จไปเซ่นพระศพพระเจ้าโจยอย ที่ตำบลโกเบงเหลง พร้อมด้วยขุนนางน้อยใหญ่ ตัวโจซองกับพี่น้องทั้งสามคน และคนสนิททั้งห้าคน ก็คุมทหารตามเสด็จ และจะไปเที่ยวล่าสัตว์ในป่าด้วย พอขบวนเสด็จพ้นประตูเมืองไปแล้ว สุมาอี้ก็ออกจากบ้านเข้าไปในเมืองทันที

        แล้วสุมาอี้ก็สั่งให้นายทหารคนสนิทผู้หนึ่งพาทหารถือศัสตราวุธครบมือ ไปล้อมบ้านโจอี้น้องโจซองไว้ ส่วนตนเองพาขุนนางเก่าที่เป็นพรรคพวกของตน เข้าไปเฝ้านางกวยไทเฮาพระมารดาของพระเจ้าโจฮอง ทูลว่า

        “...........บัดนี้โจซองไม่คิดถึงคำพระเจ้าโจยอยซึ่งฝากฝังพระเจ้าโจฮองไว้เลย จะทำการสิ่งใดก็ทำตามอำเภอใจ ความผิดชอบประการใดก็ไม่ทูล ที่โจซองทำการทั้งนี้เห็นคิดขบถต่อแผ่นดิน โทษอันนี้ใหญ่นักจะนิ่งเสียนั้นไม่ควร............”

        นางกวยไทเฮาก็ตกใจจึงว่า บัดนี้ฮ่องเต้เสด็จไปประพาสป่า นางมิรู้ที่จะคิดประการใด สุมาอี้จึงทูลว่า  

        “............ข้าพเจ้าจะขอทำเรื่องราวถวายพระเจ้าโจฮองว่า ให้กำจัดบรรดาคนซึ่งเป็นพรรคพวกศัตรูนั้นเสีย การครั้งนี้พระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย เป็นธุระข้าพเจ้า.........”

        นางกวยไทเฮาก็กลัวสุมาอี้อยู่ จึงพลอยว่าตามแต่ใจท่านเถิด สุมาอี้ก็ถือว่าได้รับสั่งแล้ว จึงออกมาปรึกษากับคนสนิทของตน เข้าชื่อกันทำเรื่องราวให้คนถือไปถวายฮ่องเต้ มีใจความว่า

        ข้าพเจ้าสุมาอี้ได้ตามเสด็จพระองค์มาแต่เมืองเลียวตั๋ง ทำราชการมาช้านานแล้ว เมื่อพระบิดาของพระองค์จะดับสูญ ให้หาพระองค์กับข้าพเจ้าและโจซอง เข้าไปเฝ้าในที่บรรทมซึ่งประชวรอยู่นั้น ทรงยื่นพระหัตถ์มาลูบหลังข้าพเจ้า แล้วฝากพระองค์แลบ้านเมืองแก่ข้าพเจ้าแลโจซอง บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นโจซองหารำลึกถึงพระบิดาพระองค์ ซึ่งฝากฝังไม่ ทำการทั้งนี้เห็นจะคิดขบถต่อแผ่นดิน จึงตั้งให้เตียวต๋องคนสนิทเป็นที่เต้าก่ำเข้าเฝ้าข้างในได้ ให้คอยฟังความลับทั้งปวง แล้วให้รักษาพระแสงแลตราหยกสำหรับกษัตริย์ ครั้งก่อนโจซองทูลยุยงให้ขับมเหสีซ้ายขวาพระบิดาของพระองค์ ผิดแผกกันจนตายเสียองค์หนึ่ง ก็ได้ความแค้นเคืองถึงพระญาติพระวงศ์ บัดนี้การแผ่นดินทั้งปวงก็มิได้พิดทูลพระองค์เลย แม้จะให้ล้างคนโทษถึงตายก็มิได้ทูล ก็สั่งให้ฆ่าเสียตามอำเภอใจ

        อนึ่งพี่น้องแลทหารพรรคพวกโจซองคุมเหงขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย แลราษฎรทั้งปวงได้ความเดือดร้อนเป็นอันมาก โจซองทำทั้งนี้หาคิดถึงคำพระบิดาของพระองค์ซึ่งฝากไว้ไม่เลย อันตัวข้าพเจ้าหาลืมคำสั่งพระบิดาของพระองค์ไม่ ข้าพเจ้ากับเจียวเจ้ สุมาหู รำลึกถึงคุณพระบิดาของพระองค์ซึ่งชุบเลี้ยงมาแต่ก่อน จึงปรึกษาพร้อมกันจัดแจงให้ทหารไปรักษาจวนโจซองแลจวนพี่น้องโจซอง ข้าพเจ้าจึงเข้าไปทูลเนื้อความทั้งนี้แก่พระมารดาของพระองค์ พระมารดาของพระองค์ก็เห็นชอบด้วย จึงให้ข้าพเจ้าทำเรื่องราวทั้งนี้มาทูลแก่พระองค์ ข้าพเจ้าจึงให้ห้องหวุนเอาเรื่องราวมาถวาย ขอให้พระองค์ถอดโจซอง โจอี้ โจหุ้น ออกจากที่ แล้วให้ยกเอาทหารทั้งปวงไปเป็นของหลวง

        แต่ข้าพเจ้าคอยหาช่องทางมา พึ่งได้ทีครั้งนี้ ข้าพเจ้าจึงคิดอ่านทำการทำนุบำรุงพระองค์ แลข้าพเจ้ายกกองทหารมารักษาอยู่ ณ เชิงสะพานแพตำบลลกโห คอยดูผิดแลชอบแล้ว

        สุมาอี้ก็คุมทหารเข้าเป็นอันมาก ให้ทหารรักษาโรงแสงทุกโรงซึ่งสำหรับไว้อาวุธทั้งปวง แล้วพาทหารเดินไปตามถนนเฉียดบ้านโจซองจะออกไปนอกเมือง ทหารซึ่งรักษาจวนก็ยับยั้งทหารสุมาอี้ไว้ไม่ได้ สุมาสูกับสุมาเจียวจึงยกทหารออกจากประตูเมือง ไปรักษาสะพานแพซึ่งทอดเข้าเมืองไว้ แล้วปิดประตูเมืองเสีย

        ขณะนั้นมีทหารที่เป็นพรรคพวกของโจซอง รวมทั้งฮวนห้อมด้วย ได้พากันหนีออกไปทางประตูทิศใต้ สุมาอี้รู้เข้าก็ตกใจ ปรึกษากับเจียวเจ้ว่า เราทำการทั้งนี้คนข้างนอกจะรู้ก็เพราะฮวนห้อมหนีออกไปได้ เจียวเจ้ก็ว่าถึงรู้ก็จะกลัวอันใด สุมาอี้จึงให้หานายทหารของโจซองมาสองนาย สั่งให้ออกไปบอกโจซอง ว่าตนไม่คิดทำร้ายแก่ฮ่องเต้และโจซองเลย แต่ยังไม่ไว้ใจจึงให้หานายทหารผู้ใหญ่ของโจซองมา ให้ถือหนังสือซ้ำไปความว่า

        เราทำการทั้งนี้หาได้คิดทำร้ายแก่เจ้าแผ่นดินแลโจซองไม่ ท่านอย่าแคลงเลย เราเห็นว่าทหารสมัครพรรคพวกท่านมากนัก ละไว้นานเกลือกจะเป็นอันตราย เราทำทั้งนี้หวังจะยกทหารสมัครพรรคพวกท่านมาเป็นของหลวง เรากับเจียวเจ้ได้ให้สัตย์สาบานต่อกัน เราคิดอ่านทำการทั้งนี้หาทำอันตรายแก่ครอบครัว บุตรภรรยาของโจซองไม่

        แล้วสุมาอี้ก็รอดูผลว่าทางฝ่ายฮ่องเต้และโจซอง จะทำการอย่างใดต่อไป ในเมื่อตนได้ยึดอำนาจการปกครองในเมือง และควบคุมครอบครัวของพี่น้องโจซองไว้ในกำมือหมดสิ้นแล้ว.

##########
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่