ทายาทมหาอุปราช ๑๔ มี.ค.๖๐

สามก๊กภาคปลาย

๑.ทายาทมหาอุปราช

“เล่าเซี่ยงชุน”

เมื่อโจผีเป็นที่วุยอ๋องแทนโจโฉบิดาที่ถึงแก่ความตายไปได้ไม่นานนัก ขุนนางสอพลอรวมเก้าคน กับนายทหารอีกสี่สิบคน ก็พร้อมใจกันไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ที่เมืองฮูโต๋ ฮัวหิมเป็นหัวหน้า กราบทูลว่า โจผีนั้นมีบุญมากและมีสติปัญญารู้รอบคอบ โอบอ้อมอารีต่อไพร่
ฟ้าข้าแผ่นดินยิ่ง ราษฎรทั้งปวงก็อยู่เย็นเป็นสุข ขอให้มอบราชสมบัติให้โจผีปกป้องรักษาแผ่นดินสืบไปเถิด

พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังก็ตกใจร้องไห้แล้วว่า พระเจ้าฮั่นโกโจซึ่งเป็น ต้นเชื้อพระวงศ์รวมตลอดจนพระญาติพระวงศ์ ได้ราชสมบัติสืบต่อกันมาประมาณสี่ห้าร้อยปีแล้ว จึงตกมาถึงเรา แม้ว่าเราจะเป็นเด็กอ่อนศักดิ์ก็จริง แต่ว่าได้รักษาสมบัติของท่านแต่ก่อนโดยสัตย์ธรรม ยังหาความผิดมิได้เลย ซึ่งเราจะยกราชสมบัติให้แก่ผู้อื่นนั้นไม่บัง ควร พวกขุนนางผู้เฒ่าผู้แก่ก็ช่วยกันชี้แจงเกลี้ยกล่อม ยกยอโจผีว่ามีบุญหนักหนาสมควรจะเป็นฮ่องเต้ได้

จนในสุดท้าย อองลอง ขุนนางผู้ใหญ่ก็ยื่นคำขาดว่า

"...ตามประเพณีมาแต่โบราณ ที่ดีกลับเป็นชั่ว ที่ชั่วกลับเป็นดีก็มี เหมือนหนึ่งบ้านเมืองมั่งคั่งบริบูรณ์อยู่แล้ว เกิดศึกกลับยับเยินไปก็มี ที่ยับเยินไปแล้ว กลับมั่งคั่งบริบูรณ์อยู่เย็นเป็นสุขไปก็มี สมบัติซึ่งได้สืบต่อแต่ต้นวงศ์มา ก็นานประมาณสี่ห้าร้อยปีแล้ว ข้าพเจ้าเห็นว่าวงศ์ของพระองค์จะขาดแล้ว ขอให้พระองค์สละราชสมบัติมอบให้โจผีเถิด ถ้าพระองค์จะขัดขืนไป เห็นจะเป็นอันตรายเป็นมั่นคง......"

พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงจำใจ ต้องยอมสละราชสมบัติให้แก่โจผี ตามคำขู่นั้น โจผีจึงสั่งให้สร้างโรงอภิเษกสูงสามชั้น มีเครื่องประดับอย่างดีตามธรรมเนียม ถึงเดือนสิบสองขึ้นห้าค่ำ พ.ศ.๗๖๓ เวลาใกล้รุ่งได้ฤกษ์ดี ตัวโจผีก็ขึ้นนั่งบนที่สูง ให้ขุนนางประมาณสี่ร้อยคนเฝ้าทั้งสามชั้น ให้ทหารสิบหมื่นล้อมไว้กันคนที่ไม่เห็นด้วยจะบุกเข้ามาทำร้าย

แล้วให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ถือพระแสงกระบี่ กับตราหยกประจำองค์กษัตริย์ พร้อมด้วยหนังสือมอบราชสมบัติ ขึ้นไปมอบให้กับมือ แล้วสั่งให้ประกาศแก่ขุนนางและ ราษฎรทั้งปวง พร้อมกับถวายพระนามว่า พระเจ้าอวยโซ่

เมื่อพระเจ้าอวยโซ่ ต้นราชวงศ์วุย หรือ โจผี บุตรชายคนโตของ โจโฉ ได้ขึ้นครองราชสมบัตินั้นมีอายุได้สามสิบสามปี ก็ทำพิธีเซ่นไหว้เทวดาฉลองตำแหน่งฮ่องเต้เป็นการใหญ่ เนื่องจากผลัดเปลี่ยนราชวงศ์

แต่บังเอิญให้เกิดมีพายุใหญ่พัดจัด จนธูปเทียนดับไปหมด ก้อนศิลาก็กลิ้งไปตามแรงลม เม็ดทรายก็ปลิวฟุ้งขึ้นไปในอากาศ ทำให้มืดมิดไปทั่วบริเวณ พระเจ้าโจผีก็ตกใจจนเป็นลมสิ้นสติไป พอพายุสงบแล้วขุนนางทั้งปวงที่เข้าร่วมพิธี ก็ช่วยกันแก้ไขพระเจ้าโจผีจนฟื้นคืนสติ แล้วก็เชิญเสด็จกลับเข้าวัง

ตั้งแต่นั้นมาพระเจ้าโจผีก็ป่วยไข้ ไม่ได้ออกว่าราชการเป็นเวลาหลายวัน รักษาอย่างไรก็ไม่หายแต่แข็งใจออกไปปรึกษาขุนนางผู้ใหญ่ว่า ในวังหลวงของเมืองฮูโต๋นี้ สงสัยว่าจะมีปีศาจสิงสู่อยู่มาก สมควรย้ายกลับไปอยู่เมืองลกเอี๋ยงราชธานีเก่าจะดีกว่า แล้วจึงสั่งให้ทหารไปสร้างวังใหม่จนเสร็จเรียบร้อย ก็อพยพย้ายไปตั้งเมืองหลวงอยู่ที่เมืองลกเอี๋ยง จึงหายป่วยมีความสุขดังเดิม

พระเจ้าโจผีนี้ เมื่อยังรุ่นหนุ่มได้ไปรบกับ อ้วนเสี้ยว พร้อมกับโจโฉผู้เป็นบิดา เมื่อได้ชัยชนะแล้วก็รับเอา นางเอียนซี ภรรยาม่ายของ อ้วนฮี บุตรชายของอ้วนเสี้ยวมาเป็นภรรยาคนแรก ครั้นเมื่อได้ราชสมบัติแล้วก็ตั้งให้เป็นมเหสีเอก มีบุตรคนหนึ่งเป็นชายชื่อ โจยอย ได้ร่ำเรียนศิลปศาสตร์ชำนาญการใช้เกาทัณฑ์ แต่เป็นคนใจอ่อน มีเมตตากรุณาต่อสัตว์ทั้งปวง

ต่อมาพระเจ้าโจผีได้ นางกุยฮุย บุตรีของ กุยเฮง มาเป็นมเหสีซ้าย นางมีรูปโฉมงดงามพระเจ้าโจผีก็หลงใหล กุยเฮงจึงสมคบกับขันทีชื่อ เตียวโถ คิดอุบายใส่ร้ายนางเอียนซี ว่าฝังรูปฝังรอยทำเสน่ห์เล่ห์กลแล้วพาพระเจ้าโจผีไปจับได้ พระเจ้าโจผีหลงเชื่อจึงให้ประหารนางเอียนซี แล้วยกนางกุยฮุยขึ้นเป็นใหญ่แทน แต่นางกุยฮุยไม่มีบุตร จึงเลี้ยงโจยอยไว้จนอายุได้สิบห้าปี พระบิดาจึงแต่งตั้งให้เป็น เพงงวนอ๋อง หรือราชบุตรต่างกรม

ทางฝ่ายเมืองเสฉวน เมื่อรู้ข่าวว่าพระเจ้าโจผีแย่งราชสมบัติจากพระเจ้าเหี้ยนเต้ และตั้งตนเป็นกษัตริย์ ก็พากันอัญเชิญ เล่าปี่ ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งจ๊กก๊กทรงพระนามว่า พระเจ้าเจียงบู๋ สืบต่อราชวงศ์ฮั่นเมื่อ พ.ศ.๗๖๔ แล้วก็กรีธาทัพใหญ่ยกไปตีเมืองกังตั๋งของง่อก๊กเพื่อแก้แค้นแทน กวนอู และ เตียวหุย น้องชายร่วมสาบานที่ถูกพวกของ ซุนกวน ฆ่าตาย

การรบทุกครั้งฝ่ายง่อก๊กของซุนกวนต้องถูกตีแตกยับเยิน นายทหารเอกถูกฆ่าตายไปหลายคน กองทัพของพระเจ้าเล่าปี่รุกคืบหน้าใกล้เมืองกังตั๋งเข้าไปทุกที
แต่ขั้นสุดท้ายซุนกวนให้ ลกซุน นายทหารหนุ่มบุตรเขยของ ซุนเซ็ก ซึ่ง
เป็นพี่ชายของซุนกวน เป็นแม่ทัพออกรบต้านทานก็กลับสามารถตีกองทัพของพระเจ้าเล่าปี่ จนแตกพ่าย และขับไล่ให้ถอยหนีไปจนมุมอยู่ในเมืองเป๊กเต้ได้ ในที่สุด

พอพระเจ้าโจผีรู้ข่าว ก็วางแผนจะเข้าตีเมืองกังตั๋ง โดยให้ยกกองทัพ ไปเป็นสามทาง ให้ โจหยิน ยกพลไปทางตำบลยูสู โจฮิว นำกำลังไปทางตำบลต๋งเค้า และ โจจิ๋น ยกทัพไปทางตำบลนำกุ๋น ตัวพระเจ้าโจผียกทัพหลวงตามไปด้วย พอถึงปลายแดน ห้องกวน นายกองของพระเจ้าเล่าปี่ ก็เข้ามาสามิภักดิ์ต่อพระเจ้าโจผี เพราะกองทัพของพระเจ้าเล่าปี่แพ้ลกซุน ถอยไปเร็วมากตามไม่ทัน พระเจ้าโจผีก็รับไว้เป็นทหาร แล้วก็ยกทัพล่วงเข้าไปในแดนเมืองกังตั๋ง โดยไม่ยอมฟังคำห้ามปรามของ กาเซี่ยง และ เล่าหัว ที่ปรึกษาเก่าแก่ของโจโฉ

ลกซุนก็จัดให้ จูหวน ยกทหารออกมาตั้งรับทางยูสู ลิห้อม คอยดักทาง ต๋งเค้า และ จูกัดกิ๋น ตั้งยันทางนำกุ๋น ทั้งสามทัพของพระเจ้าโจผีก็ถูกทหารของลกซุน ตีแตกพ่ายกลับมาหมด ต้องเสียทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ไปมากมาย พระเจ้าโจผีก็ทอดใจใหญ่ จะยกไปแก้ตัวก็เป็นฤดูร้อนทหารจะได้รับความลำบากยากแค้น จึงจำใจยกทัพคืนลกเอี๋ยง รอจังหวะที่จะล้างแค้นต่อไป

จนเวลาล่วงไปอีกสองปีถึง พ.ศ.๗๖๖ พระเจ้าเล่าปี่ตรอมใจป่วยไข้ ถึงสิ้นพระชนม์ลงที่เมืองเป๊กเต้ ขงเบ้ง ก็ยก อาเต๊า บุตรคนโตของพระเจ้าเล่าปี่ขึ้นสืบราชสมบัติ เป็น พระเจ้าเล่าเสี้ยน ขณะที่มีอายุเพียงสิบหกปี พระเจ้าโจผีก็คิดจะยกทัพไปตีเมืองเสฉวนบ้าง จึงปรึกษากับ สุมาอี้ ซึ่งเดิมเป็นเพียงสมุห์บัญชีทหารเลว ต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นในสมัยโจโฉ แต่ก็ไม่ใหญ่โตเพราะโจโฉไม่ไว้ใจ จนถึงสมัยพระเจ้าโจผีจึงเป็นที่ปรึกษา

สุมาอี้ก็วางแผนยกกองทัพเข้าตีเมืองเสฉวนเป็นห้าทาง คือให้เอาทรัพย์สินเงินทองไปจ้างให้ ห่อปี เจ้าเมืองเลียวตั๋งยกพลไปทางด่านแฮบังก๋วนอยู่ทางทิศตะวันตก ให้ เบ้งเฮ๊ก เจ้าเมืองมันอ๋องยกไปทางด่านเอ๊กจิ๋วทิศใต้ ให้ เบ้งตัด เจ้าเมืองซงหยงยกไปทางด่านฮันต๋งทิศเหนือ ให้ โจหยิน คุมพลตรงไปตีเมืองเสฉวน ใช้พลด้านละสิบหมื่น

และให้ทูตถือหนังสือไปเจริญไมตรีกับซุนกวนที่เมืองกังตั๋ง เพื่อขอให้ยกทัพ
เข้าตีทางด่านกวยเซียทิศตะวันออกอีกด้วย

พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ปรึกษากับขงเบ้งแล้วให้ ม้าเฉียว คอยป้องกันทาง ด่านแฮบังก๋วน ห่อปีนั้นเคยกลัวม้าเฉียวมาแต่ก่อน ก็ไม่สามารถจะเอาชนะได้ ทางด่าน เอ๊กจิ๋วนั้นให้ อุยเอี๋ยน ไปตั้งกองสกัดไว้แล้วแต่งกลอุบานให้ทหารเดินวนเวียนในค่ายทั้งซ้ายขวาวันละเจ็ดแปดหนทุกวัน จนเบ้งเฮ็กคิดว่ามีทหารมากมาย เลยไม่กล้าเข้าตี ส่วนทางด่านฮันต๋งก็ให้ ลิเงียม เพื่อนน้ำสาบานของเบ้งตัด ไปคอยดักพบขอร้องอย่าให้เป็นศัตรูกันเลย เบ้งตัดก็ทำเป็นป่วยอิดออดไม่ยอมยกไปรบ กับให้ จูล่ง ทหารเสือฝีมือยอดเยี่ยมไปตั้งมั่นอยู่ที่ด่านเผงก๋วนโดยไม่ต้องออกรบ

ครั้นโจหยินยกทัพฝ่าที่ทุรกันดารมาถึงที่ลุ่มมีโคลนตม เดินทัพยากอยู่แล้ว พอไม่เห็นจูล่งออกรบ ก็ไม่สามารถจะตีหักด่านไปได้จึงต้องถอยทัพกลับ

พระเจ้าโจผีคอยฟังข่าวทูตที่ไปเจรจากับซุนกวนที่เมืองกังตั๋ง ก็ผิดหวัง เพราะขงเบ้งส่งทูตไปเจรจาจนเป็นไมตรีกันก่อนแล้ว จึงคิดจะยกทัพไปแก้แค้น แต่ ซินผี ที่ปรึกษาเก่าแก่ทักท้วง ขอให้ทำนาหาเสบียงสักสิบปีก่อนจึงค่อยยกทัพไป พระเจ้าโจผีก็โกรธว่า

".....ความคิดท่านเหมือนเด็กน้อย เรารู้อยู่ว่าเมืองเสฉวนกับเมืองกังตั๋งไป
หาสู่ถึงกัน แล้วก็จะยกมาตีเมืองเรา ควรหรือจะอยู่ทำนาถึงสิบปี เราไม่ฟังแล้ว....."

ว่าแล้วก็หันไปปรึกษากับสุมาอี้ตามเคย คราวนี้ยกกองทัพเรือเป็นจำนวนกว่าห้าพันลำไปตีเมืองกังตั๋ง ตั้งแต่เดือนสิบ พ.ศ.๗๖๗

ซุนกวนก็ให้ ชีเซ่ง เป็นแม่ทัพเรือยกออกไปต้านทานกองทัพใหญ่ของพระเจ้าโจผี และให้คนหนังสือไปเมืองเสฉวนขอกองทัพมาช่วย ขงเบ้งจึงให้จูล่งคุมทหารไปสกัดหลังที่ด่านอังเพงก๋วนเมืองเซ่งอั๋น เมื่อพระเจ้าโจผียกทัพเรือ เข้าตีขบวนเรือของ ชีเซ่ง ก็ถูกลมพายุพัดหนักมีคลื่นใหญ่ ทำการรบไม่สำเร็จต้องถอยกลับ ชีเซ่งก็คุมกองเรือไล่ติดตามตีจนแตกพ่าย ต้องยกพลขึ้นบกแล้วเผาเรือทิ้ง

ซุนเสียง หลานซุนกวนกับ เตงฮอง ทหารเอกของเมืองกังตั๋ง ก็ยกทัพบกมาสมทบ เข้าตีกระหนาบ เตียวเลี้ยว กับ ซิหลง ทหารเอกเก่าแก่ของพระเจ้าโจผีก็ต่อต้านไม่ไหว ต้องแตกพ่ายอย่างยับเยิน ตัวเตียวเลี้ยวก็ถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์ เมื่อกลับถึงเมืองลกเอี๋ยง ทนพิษบาดแผลไม่ไหวก็ถึงแก่ความตาย

อยู่มาอีกสองปีถึง พ.ศ.๗๖๙ เดือนแปด พระเจ้าโจผีก็ประชวรเป็นไข้ หมอรักษาพยาบาลเท่าใดอาการก็ไม่ทุเลา จึงเรียกขุนนางผู้ใหญ่คือ โจจิ๋น ตันกุ๋น และ สุมาอี้ เข้ามาฝากฝังว่า

".....บัดนี้ตัวเราป่วยหนักเห็นจะไม่รอดแล้ว เราคิดวิตกด้วย โจยอยยังหนุ่มแก่ความนักอยู่ ถ้าเราหาบุญไม่แล้วท่านทั้งสามจงช่วยกันเอาใจใส่ราชการ
บ้านเมือง ทำนุบำรุงบุตรเราเหมือนฉะนี้เถิด....."

และได้กำชับ โจฮิว ว่า

".....ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ช่วยปราบปรามข้าศึก มาแต่เมืองฮูโต๋ยังไม่ตั้งมั่นได้ จนใหญ่หลวงเป็นสุขขึ้นถึงเพียงนี้ บัดนี้เรายังไม่ แก่ชรานัก อายุได้สี่สิบปี พึ่งครองราชสมบัติได้เจ็ดปี โรคภัยก็เบียดเบียนนักเห็นจะสิ้นอายุเสียมั่นคงแล้ว ท่านอยู่ภายหลังจงช่วยทำนุบำรุงบุตรเราโดยสุจริต ให้เราสิ้นวิตก ด้วยเถิด....."

สั่งเสร็จแล้ว ทายาทของโจโฉ หรือ พระเจ้าไทล่อฮูฮ่องเต้ ก็สิ้นพระชนม์ ขุนนางทั้งปวงก็เชิญโจยอยซึ่งมีอายุประมาณยี่สิบสองปี
ขึ้นเสวยราชสมบัติและขนานนามว่า พระเจ้าไต้งุยฮ่องเต้ เมื่อ พ.ศ.๗๗๐

และสืบราชวงศ์วุยซึ่งได้ตั้งขึ้น บนน้ำตาของพระเจ้าเหี้ยนเต้แห่งราชวงศ์ฮั่น สืบต่อไปอีกนานหลายปี.

##########
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่