ผู้พิชิตสามก๊ก (๑) ๖ ก.พ.๖๑

สามก๊กฉบับลายคราม

ผู้พิชิตสามก๊ก

ตอนที่ ๑ สมุห์บัญชีผู้ยิ่งใหญ่

เล่าเซี่ยงชุน

นิยายอิงพงศาวดารจีนเรื่องสามก๊ก ของท่าน เจ้าพระยาพระคลัง(หน) นั้น ในตอนต้นเรื่องยังเป็นแผ่นดินของราชวงศ์ฮั่น องค์สุดท้ายคือพระเจ้าเหี้ยนเต้ ซึ่งถูกโจผีบุตรชายคนโตของโจโฉบังคับให้สละราชสมบัติ ให้ตนเองเป็นฮ่องเต้แทน ทรงพระนามว่าพระเจ้าอวยโซ่ และตั้งนามโจโฉผู้บิดาซึ่งเสียชีวิตไปแล้วว่า พระเจ้าไทล่อฮูฮ่องเต้ ตั้งวงศ์อยู่ที่เมืองลกเอี๋ยงเรียกว่า วุยก๊ก เมื่อ พ.ศ.๗๖๓ หลังจากนั้น เล่าปี่ จึงแยกตัวเป็นอิสระที่เมืองเสฉวนเรียกว่า จ๊กก๊ก ต่อมา ซุนกวน ก็ตั้งตัวเป็นเอกราชที่เมืองกังตั๋งเรียกว่า ง่อก๊ก แผ่นดินจีนจึงเป็นสามก๊กแต่นั้นมา

เมื่อครั้งที่โจโฉยังมีชีวิตอยู่ และยกทัพไปปราบปรามหัวเมืองต่าง ๆ ที่ไม่ยอมอ่อนน้อมด้วยนั้น ได้ตัว สุมาอี้ บุตรเจ้าเมืองโฮโล่มาทำราชการด้วย ชั้นแรกก็เป็นแค่สมุห์บัญชีทหารเลว ต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นตามลำดับ หลังจากที่โจโฉพ่ายแพ้แก่ซุนกวนที่เมืองกังตั๋งแล้ว ก็ได้เป็นที่ปรึกษา แต่ก็ไม่ปรากฏว่าได้มีชื่อเสียงแต่อย่างใด จนกระทั่งโจโฉซึ่งมียศเป็นวุยอ๋องถึงแก่ความตายไป และโจผีขับไล่พระเจ้าเหี้ยนเต้ออกจากบัลลังก์ แล้วตั้งตัวเป็นฮ่องเต้อยู่ที่เมืองลกเอี๋ยง สุมาอี้ก็เป็นที่ปรึกษาของพระเจ้าโจผีต่อไป

ถึง พ.ศ.๗๖๗ พระเจ้าเล่าปี่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว พระเจ้าเล่าเสี้ยนขึ้นครองราชสมบัติจ๊กก๊กได้ปีเดียว ก็เป็นไมตรีกับพระเจ้าซุนกวน และคิดจะร่วมมือกันตีวุยก๊ก พระเจ้าโจผีจึงจะยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋งเสียก่อน สุมาอี้ก็ทูลว่า

“...........หนทางจะไปเมืองกังตั๋งนั้น แม่น้ำก็มากยากที่ทหารจะข้าม ขอพระองต์แต่งเรือแล้วยกทัพหลวงตีเข้าไปเอาปากน้ำชิวฉุน แล้วตีเอาเมืองน้ำฉี จึงตรงเข้าตีเอาเมืองกังตั๋ง เห็นจะได้โดยง่าย............”

พระเจ้าโจผีก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงมีรับสั่งให้จัดเรือใหญ่ ยาวสี่สิบวาบรรทุกคนได้สองพันจำนวนสิบลำ เรือรบอย่างเล็กสามพันลำ ให้บรรทุกม้าไปสำหรับนายหมวดนายกองด้วย แล้วยกพลทัพบกเข้ารวมกับทัพเรือเป็นจำนวนสามสิบหมื่น ออกเดินทางไปเมืองกังตั๋งในเดือนสิบ ให้สุมาอี้อยู่รักษาเมืองลกเอี๋ยง

การศึกครั้งนี้ฟ้าดินไม่เป็นใจกับพระเจ้าโจผี ขณะที่พักทหารอยู่ที่ตำบลกองเหลง ได้เกิดลมพายุพักหนักมี คลื่นใหญ่ ทหารแทบจะยืนไม่อยู่ เรือใหญ่น้อยก็แตกล่มไปประมาณสามสิบลำ เรือใหญ่ของพระเจ้าโจผีก็แทบจะล่มจมลงต้องถอยกลับ กองทัพเรือของเมืองกังตั๋งก็ตามเข้าโจมตีซ้ำเติม จนต้องยกทหารขึ้นบกแล้วเผาเรือทิ้งทั้งกองทัพ ฝ่ายเมืองกังตั๋งก็ฆ่าฟันทหารของพระเจ้าโจผีแตกพ่ายอย่างยับเยิน นายทหารองครักษ์ถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์ตายในสมรภูมิ แต่ พระเจ้าโจผีหนีรอดกลับมาได้อย่างหวุดหวิด

ถึง พ.ศ.๗๗๐ พระเจ้าโจผีประชวรไข้จับตั้งแต่เดือนแปด หมอหลวงรักษาพยาบาลก็ไม่คลาย จึงมีรับสั่งให้หา โจจิ๋น ตันกุ๋น และสุมาอี้ ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ กับโจยอยพระราชบุตรเลี้ยง เข้ามาเฝ้าถึงที่บรรทม แล้วพระเจ้าโจผีก็ตรัสฝากฝังให้ขุนนางทั้งสามช่วยทำนุบำรุงโจยอยต่อไป เมื่อพระเจ้าโจผีสิ้นพระชนม์แล้ว ขุนนางก็เชิญโจยอยขึ้นครองราชสมบัติ ถวายพระนามว่า พระเจ้าไต้งุยฮ่องเต้

ครั้นแต่งการพิธีศพพระเจ้าโจผีเสร็จแล้ว พระเจ้าโจยอยก็ตั้งให้สุมาอี้ไปอยู่รักษาเมืองเสเหลียง อันเป็นเมืองหน้าด่านใกล้กับเมืองเสฉวน อยู่มาไม่นานก็มีหนังสือปิดประกาศที่ประตูเมืองลกเอี๋ยง และหัวเมืองทั้งปวงทั่วไป เจ้าหน้าที่ก็ส่งหนังสือนั้นเข้าไปถวายพระเจ้าโจยอย เมื่อทอดพระเนตรแล้วก็ตกพระทัย หนังสือนั้นมีความว่า

เราผู้ชื่อสุมาอี้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ บอกมาให้ท่านทั้งปวงแจ้ง เดิมพระเจ้าวุยอ๋องคิดจะมอบสมบัติให้โจสิด มีผู้ยุยงว่ากล่าว พระเจ้าโจผีจึงได้สมบัติ บัดนี้พระเจ้าโจผีมอบสมบัติให้โจยอยผู้บุตร โจยอยหนุ่มแก่ความ จะทำการสิ่งใดก็ไม่ปราณีราษฎร เห็นจะรักษาสมบัติไม่ได้ เราเป็นผู้ใหญ่จะนิ่งอยู่ให้แผ่นดินจลาจลก็ไม่ควร เราจึงซ่องสุมทหารไว้เป็นอันมาก จะคิดอ่านกำจัดโจยอยเสีย จะยกโจสิดขึ้นครองสมบัติตามดำริพระเจ้าวุยอ๋อง แม้ท่านทั้งปวงยอมสมัครทำการด้วยเรา ก็ให้เร่งชักชวนพร้อมกันคอยท่าเราอยู่ ถ้าผู้ใดเห็นหนังสือนี้แล้วไม่ทำตามเรา เมื่อสำเร็จราชการแล้วเราจะตัดศรีษะเสียให้สิ้นทั้งโคตร

พระเจ้าโจยอยคิดว่าสุมาอี้เป็นขบถ จึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่าจะคิดประการใด ฮัวหิมจึงทูลว่า

“..........เมื่อพระเจ้าวุยอ๋องยังมีพระชนม์อยู่ ก็มิได้วางพระทัยสุมาอี้ ตรัสอยู่เนือง ๆ ว่า สุมาอี้คนนี้ถ้าชุบเลี้ยงให้คุมทหารเป็นใหญ่ขึ้นเมื่อใด จะเป็นขบถคิดร้ายต่อแผ่นดิน ซึ่งสุมาอี้คิดอุบายทำเรื่องราวเข้ากราบทูลพระองค์ ขอไปอยู่รักษาเมืองเสเหลียงนั้น หวังจะซ่องสุมทหารขึ้นเป็นกำลังได้แล้ว ก็จะคิดขบถเป็นมั่นคง........”

อองลองก็ทูลว่า

“.........สุมาอี้เป็นคนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด แล้วก็ชำนาญในการสงคราม เคยได้รบพุ่งเป็นอันมาก แม้สุมาอี้ตั้งตัวได้แล้ว เห็นเราจะทำการขัดสน ขอพระองค์เร่งคิดอ่านยกทหารไปกำจัดเสียแต่กำลังยังอ่อนอยู่ฉะนี้ จึงจะชอบ........”

พระเจ้าโจยอยได้ฟังก็เห็นชอบด้วย จึงสั่งให้จัดแจงทหารจะยกกองทัพไปเมือง เสเหลียง แต่โจจิ๋นทักท้วงว่า

“...........เมื่อพระเจ้าโจผีจะสิ้นพระชนม์นั้น ก็ได้ฝากราชการแผ่นดินแก่สุมาอี้ เห็นสุมาอี้จะไม่อาจคิดขบถต่อพระองค์ ซึ่งเขียนหนังสือปิดไว้ฉะนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าจะเป็นกลของ ขงเบ้งแลซุนกวนแกล้งทำมา หวังจะให้เราเจ้าข้าคิดแคลงกัน ซึ่งพระองค์จะยกไปนั้นให้ดำริดูจงควรก่อน.......”

พระเจ้าโจยอยจึงตรัสว่า

“........ซึ่งท่านจะห้ามเรามิให้ยกไปจับสุมาอี้นั้น แม้สุมาอี้มีกำลังมากขึ้นและเป็นขบถจริง ท่านจะคิดอ่านประการใด.........”

โจจิ๋นก็ทูลว่า

“.........พระองค์ตรัสนี้ก็ควรอยู่ แต่จะยกกองทัพไปบัดนี้ แม้สุมาอี้รู้ตัวเห็นเราจะทำการยาก ขอพระองค์คิดกลอุบายว่า จะไปจัดแจงเมืองเสเหลียงให้สุมาอี้ สุมาอี้สำคัญว่าจริง ก็จะยกออกมาเฝ้าถึงนอกเมือง จะจับเอาตัวก็จะได้โดยง่าย........”

พระเจ้าโจยอยก็เห็นด้วย จึงสั่งให้โจจิ๋นจัดทหารสิบหมื่น ตั้งขบวนแห่เสด็จออกจากเมืองหลวง ไปยังเมืองเสเหลียง ครั้นสุมาอี้แจ้งว่าพระเจ้าโจยอยเสด็จมาถึงแดนเมืองเสเหลียงก็มีความยินดี พาทหารห้าหมื่นออกมารับเสด็จ ขุนนางทั้งปวงก็กราบทูลพระเจ้าโจยอยว่า เห็นสุมาอี้จะเป็นขบถแน่แล้ว จึงยกทหารออกมามากฉะนี้ พระเจ้าโจยอยก็แคลงพระทัย จึงให้โจฮิวคุมทหารเป็นกองหน้ายกไปก่อน

เมื่อสุมาอี้ออกมารับโจฮิวก็ว่า

“..........ท่านเป็นขุนนางสัตย์ซื่อมาแต่ก่อน พระเจ้าโจผีก็ได้ฝากราชการแผ่นดินแก่ท่าน เหตุไฉนท่านจึงคิดขบถต่อพระเจ้าโจยอย..........”

สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงว่า

“.........ข้าพเจ้าตั้งใจทำราชการสนองพระคุณเจ้าโดยสุจริต เหตุใดท่านจึงว่าฉะนี้.....”

โจฮิวก็เล่าความซึ่งมีหนังสือของสุมาอี้ปิดประกาศว่า จะเอาราชสมบัติให้แก่โจสิด บุตรคนที่สามของโจโฉ ตามที่โจโฉเมื่อครั้งยังเป็นวุยอ๋องตั้งใจไว้ สุมาอี้ก็ว่าตนจะเข้าเฝ้าพระเจ้า โจยอย ให้เห็นความจริงให้จงได้ แล้วก็ให้ทหารซึ่งมาด้วยหยุดอยู่ที่นั้น ตนเองลงจากม้าเดินเข้าไปถึงหน้ารถทรงของพระเจ้าโจยอย ถวายบังคมแล้วร้องไห้กราบทูลว่า

“..........เมื่อพระเจ้าโจผียังมีพระชนม์อยู่ ก็เห็นว่าข้าพเจ้าเป็นคนสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน จึงฝากราชการทั้งปวง ข้าพเจ้าก็ตั้งใจทำราชการทำนุบำรุงพระองค์ มิได้คิดประทุษร้ายสิ่งใด ซึ่งเป็นเหตุทั้งนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นกลอุบายของขงเบ้งกับซุนกวน ข้าพเจ้าจะขออาสาไปตีเอาเมือง เสฉวน แลเมืองกังตั๋งถวายให้เห็นความสัตย์ให้จงได้.........”

ฮัวหิมก็กราบทูลว่า

“...........ซึ่งสุมาอี้ทูลอาสาฉะนี้ หวังจะตั้งตัวให้มีกำลังมากขึ้น ขอพระองค์อย่าไว้พระทัย ให้คืนเอาเครื่องสำหรับยศและตราตั้ง ถอดสุมาอี้ออกเสียจากที่ขุนนาง...........”

พระเจ้าโจยอยก็ทรงเห็นด้วย จึงถอดสุมาอี้ลงเป็นไพร่ ให้ไปทำมาหากินอยู่ที่บ้านเก่า แล้วตั้งให้โจฮิวคุมทหารอยู่รักษาเมืองเสเหลียง แล้วพระเจ้าโจยอยก็ยกทหารกลับไปเมืองฮูโต๋

ในปีนั้นเองขงเบ้งก็ยกกองทัพประมาณสามสิบหมื่น จากเมืองเสฉวนมาตั้งอยู่ที่เมืองฮันต๋ง และส่งกองหน้าล่วงเข้ามาถึงด่านหน้าของเมืองฮูโต๋ พระเจ้าโจยอยให้นายทหารเอกคุมพลออกไปสู้รบต้านทานที่เมืองฮันต๋ง ก็เสียนายทหารไปสี่คน บาดเจ็บหนึ่งคน ถูกจับเป็นเชลยสองคน ข้าศึกยึดเมืองลำอั๋นได้ และยกทัพล่วงเข้ามาถึงเขากิสาน พระเจ้าโจยอยก็ให้โจจิ๋นคุมทหารยี่สิบหมื่น ออกไปสู้รบกับกองทัพของขงเบ้งแห่งจ๊กก๊ก คราวนี้ที่ปรึกษาผู้เฒ่าของแม่ทัพประคารมกับ ขงเบ้งแล้วสู้ไม่ได้ ก็แค้นใจตายไปก่อนที่จะรบ สุดท้ายก็เสียนายทหารไปอีกสองคน กองทัพก็แตกย่อยยับ โจจิ๋นต้องมีหนังสือแจ้งความทั้งปวงแก่พระเจ้าโจยอย และขอกองทัพหนุนไปช่วย

พระเจ้าโจยอยก็ปรึกษากับขุนนางผู้ใหญ่ทั้งปวง ว่าจะได้ผู้ใดเป็นแม่ทัพออกไปสู้รบกับข้าศึก จงฮิวก็ทูลว่า

“...........อันขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองหลวงนี้ ข้าพเจ้ามิได้เห็นผู้ใด เห็นก็แต่สุมาอี้ผู้เดียว มีสติปัญญาหลักแหลมพอจะเอาชัยชนะขงเบ้งได้..........”

พระเจ้าโจยอยก็เห็นชอบด้วย และทรงถามว่าบัดนี้สุมาอี้ไปอยู่ที่ตำบลใด จงฮิวก็ทูลว่าอยู่ที่เมืองอ้วนเซีย พระเจ้าโจยอยจึงให้แต่งหนังสือฉบับหนึ่ง ให้ทหารถือไปส่งแก่สุมาอี้โดยด่วนที่สุด ก่อนที่จะสายเกินการณ์.

########
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่