เนื่องจากทุกครั้งที่มีการdak ครั้งมโหฬารทีไรมักจะเป็นลักษณะการลักหลับโดยสภามาแต่โบราณไม่ว่ารัฐบาลไหนก็ตาม ดังนั้นถ้าอนุญาติให้ฝ่ายค้าน หยุดโครงการเจ้าปัญหานี้ได้ทุกโครงการแล้วทำประชามติ ปีละ 4 ครั้ง โดยต้องจัดประชามติภายใน 90 วัน โดยทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านต้องออกมาแสดงข้อดีข้อเสียโต้กันผ่านทีวีให้ประชาชนตัดสินใจ แล้วใช้เทคโนโลยีในการลดค่าใช้จ่ายโดยให้มีองค์กรอิสระเป็นผู้ดูแลจัดการโดยกรรมการต้องเป็นกลางจริงๆไม่ใช่แบบ ตลก กสม อย่างปัจจุบัน
วิธีนี้จะกันการลักหลับได้ทุกกรณี ประชามติ1 ครั้ง สามารถใช้กับกี่โครงการก็ได้ที่รัฐบาลเสนอขึ้นมาแล้วผ่านสภาแต่ฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยอย่างที่สุด ถ้าฝ่ายค้านไม่ค้านขึ้นมาก็คือผ่าน หมายความว่าทุกโครงการที่โดนค้านรัฐบาลต้องใช้เวลาเตรียมการและนำเสนอ90 วันก่อนลงประชามติ ซึ่งปรกติโครงการใหญ่ๆมันต้องศึกษากันเป็นเดือนหรือปีอยู่แล้ว ถ้าโครงการมันจะติดอยู่ในสภาเพิ่มอีก 1-2เดือน มันก็ไม่เห็นเป็นไรเพราะโครงการแต่ละอย่างมันกินเวลานานโคตรๆอยู่แล้ว แต่งบมันหลายหมื่นหลายแสนล้าน แต่โครงการที่ลักหลับมันจะเป็นการอยู่ๆก็นำขึ้นมารอไม่ได้แล้วรีบลงคะแนนเสียงให้เสร็จ1-2วาระ อย่างที่พรรคเพื่อไทย และประชาวิบัติทำกันมา ถ้าประชาชนเห็นว่าการลงประชามติมันไร้สาระ ก็นับคะแนนเท่ากับผู้ที่มาลงคะแนน ถ้ามันไม่ได้ตามที่รัฐหรือฝ่ายค้านต้องการก็เป็นที่การนำเสนอของรัฐหรือฝ่ายค้านทำให้ประชาชนสนใจไม่ได้เท่าที่ควร
แต่ว่าส่วนตัวผมคิดว่าเรื่องนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลยเพราะว่าฝ่ายรัฐเวลาจะ dak มันก็ dak ผ่านนโยบายและโครงการทั้งนั้น lol... จริงๆน่าจะให้ฝ่ายค้านคัดค้านและนำเสนอโครงการใหม่ด้วยถ้าโครงการไหนดีกว่า ฝ่ายนั้นจะได้งบประมาณและสิทธิในการจัดการโครงการไป... ให้มี 3 ตัวเลือก รัฐ ค้าน ไม่เห็นด้วย ล้มโครงการ
เลย เวลาฝ่ายค้านอยาก dak บ้าง เขาก็แค่นำเสนอสิ่งที่ดีกว่าให้กับประชาชน แล้วก็มานั่งจับกันเสนอโครงการดีกว่าแล้วทุจริตหรือเปล่า โดยโครงการต่างๆต้องมีฝ่ายจัดหาอุปกรณ์ผ่านฝ่ายเดียวไม่ใช่ไปหาจากผู้รับเหมาที่ไหนก็ได้ ด้วยงบเท่าไหร่ก็ได้ ดังนั้นด้วยวิธีนี้เวลาได้งบมาแล้วใช่ว่าจะซื้อจากใคร ญาตินักการเมืองฝ่าย ไหนก็ได้ แต่ต้องซื้อผ่านฝ่ายจัดหาอีกที ซึ่งจะต้องใช้การประมูล และมีการตรวจสอบจากหลายฝ่ายเรื่องว่าของที่หามาสมราคาหรือไม่ ไม่ใช่นาฬิกาดิจิตอลในสภาเลือนละ หมื่น...กี่หมื่นหว่าจำบ่ได้
ปล.แล้วใส่กฏหมายเข้าไปด้วยถ้าค้านโดยไม่มีเหตุผล สักแต่จะค้านให้มีโทษตามกฏหมายด้วย ถ้าเกิดทุจริตก็ว่ากันด้วยทุจริตไป
โอ้ย โดนตบหัวหาว่าฝันไป แต่พูดตามตรงโลกนี้มันไฮเทคพอจะที่น่าจะใช้บัตรประชาชนรูดการ์ดตามเขตต่างๆที่ไหนในเขตต่างๆเพื่อโหวตได้แล้วนะ เพียงแค่ให้ประชาชนเช็คได้ว่าคะแนนที่เขาใส่เข้าไปตรงกับที่เขาเลือกจริงเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วองค์กรอิสระ-ฝ่ายค้าน-รัฐบาลมีสิทธิในการตรวจสอบโปรแกรมในการลงประชามติว่าถูกต้องหรือมีการ hack หรือไม่
ตัวอย่าง รถไฟ 2 ล้านล้าน รัฐบาลต้องออกมานำเสนอโครงการสิ่งที่ประชาชนน่าจะได้หรือคาดว่าจะได้ในช่วงเวลา 90 วันหลังเสนอโครงการแล้วให้ลงประชามติ ส่วนฝ่ายค้านเห็นด้วยแต่เห็นว่า 2 ล้านล้านเยอะไป เขาสามารถหาผู้รับเหมามาได้ในราคา 5หมื่นล้าน ตรงจุดนี้ก็ต้องให้แสดงตัวว่าใครทำให้ได้ 5หมื่นล้าน ไม่ใช่สมมุติเทพขึ้นมาว่าเสกรถไฟฟ้าได้ในราคา 5หมื่นล้าน พอครบ 90 วัน สุดท้ายให้โต้ผ่านทีวีโดยไม่ใช่การโต้ในสภาแต่เป็นการนำเสนอให้ประชาชนเชื่อในแนวทางของใคร แต่ถ้าประาชนไม่เอาก็โหวตไม่เอาได้ โครงการก็ล้มไปเลยไม่เอาทั้งคู่ วิธีนี้สุดซอยก็ไม่ผ่านโดยไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อแล้ว... ทะเลาะกันครั้งนึง2วันเสียหายน่าจะเกินจัดประชามติไปหลายรอบอยู่
เสนอฝ่ายค้านมีสิทธิหยุดโครงการต่างๆด้วยประชามติปีละ 4 ครั้ง
วิธีนี้จะกันการลักหลับได้ทุกกรณี ประชามติ1 ครั้ง สามารถใช้กับกี่โครงการก็ได้ที่รัฐบาลเสนอขึ้นมาแล้วผ่านสภาแต่ฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยอย่างที่สุด ถ้าฝ่ายค้านไม่ค้านขึ้นมาก็คือผ่าน หมายความว่าทุกโครงการที่โดนค้านรัฐบาลต้องใช้เวลาเตรียมการและนำเสนอ90 วันก่อนลงประชามติ ซึ่งปรกติโครงการใหญ่ๆมันต้องศึกษากันเป็นเดือนหรือปีอยู่แล้ว ถ้าโครงการมันจะติดอยู่ในสภาเพิ่มอีก 1-2เดือน มันก็ไม่เห็นเป็นไรเพราะโครงการแต่ละอย่างมันกินเวลานานโคตรๆอยู่แล้ว แต่งบมันหลายหมื่นหลายแสนล้าน แต่โครงการที่ลักหลับมันจะเป็นการอยู่ๆก็นำขึ้นมารอไม่ได้แล้วรีบลงคะแนนเสียงให้เสร็จ1-2วาระ อย่างที่พรรคเพื่อไทย และประชาวิบัติทำกันมา ถ้าประชาชนเห็นว่าการลงประชามติมันไร้สาระ ก็นับคะแนนเท่ากับผู้ที่มาลงคะแนน ถ้ามันไม่ได้ตามที่รัฐหรือฝ่ายค้านต้องการก็เป็นที่การนำเสนอของรัฐหรือฝ่ายค้านทำให้ประชาชนสนใจไม่ได้เท่าที่ควร
แต่ว่าส่วนตัวผมคิดว่าเรื่องนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลยเพราะว่าฝ่ายรัฐเวลาจะ dak มันก็ dak ผ่านนโยบายและโครงการทั้งนั้น lol... จริงๆน่าจะให้ฝ่ายค้านคัดค้านและนำเสนอโครงการใหม่ด้วยถ้าโครงการไหนดีกว่า ฝ่ายนั้นจะได้งบประมาณและสิทธิในการจัดการโครงการไป... ให้มี 3 ตัวเลือก รัฐ ค้าน ไม่เห็นด้วย ล้มโครงการเลย เวลาฝ่ายค้านอยาก dak บ้าง เขาก็แค่นำเสนอสิ่งที่ดีกว่าให้กับประชาชน แล้วก็มานั่งจับกันเสนอโครงการดีกว่าแล้วทุจริตหรือเปล่า โดยโครงการต่างๆต้องมีฝ่ายจัดหาอุปกรณ์ผ่านฝ่ายเดียวไม่ใช่ไปหาจากผู้รับเหมาที่ไหนก็ได้ ด้วยงบเท่าไหร่ก็ได้ ดังนั้นด้วยวิธีนี้เวลาได้งบมาแล้วใช่ว่าจะซื้อจากใคร ญาตินักการเมืองฝ่าย ไหนก็ได้ แต่ต้องซื้อผ่านฝ่ายจัดหาอีกที ซึ่งจะต้องใช้การประมูล และมีการตรวจสอบจากหลายฝ่ายเรื่องว่าของที่หามาสมราคาหรือไม่ ไม่ใช่นาฬิกาดิจิตอลในสภาเลือนละ หมื่น...กี่หมื่นหว่าจำบ่ได้
ปล.แล้วใส่กฏหมายเข้าไปด้วยถ้าค้านโดยไม่มีเหตุผล สักแต่จะค้านให้มีโทษตามกฏหมายด้วย ถ้าเกิดทุจริตก็ว่ากันด้วยทุจริตไป
โอ้ย โดนตบหัวหาว่าฝันไป แต่พูดตามตรงโลกนี้มันไฮเทคพอจะที่น่าจะใช้บัตรประชาชนรูดการ์ดตามเขตต่างๆที่ไหนในเขตต่างๆเพื่อโหวตได้แล้วนะ เพียงแค่ให้ประชาชนเช็คได้ว่าคะแนนที่เขาใส่เข้าไปตรงกับที่เขาเลือกจริงเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วองค์กรอิสระ-ฝ่ายค้าน-รัฐบาลมีสิทธิในการตรวจสอบโปรแกรมในการลงประชามติว่าถูกต้องหรือมีการ hack หรือไม่
ตัวอย่าง รถไฟ 2 ล้านล้าน รัฐบาลต้องออกมานำเสนอโครงการสิ่งที่ประชาชนน่าจะได้หรือคาดว่าจะได้ในช่วงเวลา 90 วันหลังเสนอโครงการแล้วให้ลงประชามติ ส่วนฝ่ายค้านเห็นด้วยแต่เห็นว่า 2 ล้านล้านเยอะไป เขาสามารถหาผู้รับเหมามาได้ในราคา 5หมื่นล้าน ตรงจุดนี้ก็ต้องให้แสดงตัวว่าใครทำให้ได้ 5หมื่นล้าน ไม่ใช่สมมุติเทพขึ้นมาว่าเสกรถไฟฟ้าได้ในราคา 5หมื่นล้าน พอครบ 90 วัน สุดท้ายให้โต้ผ่านทีวีโดยไม่ใช่การโต้ในสภาแต่เป็นการนำเสนอให้ประชาชนเชื่อในแนวทางของใคร แต่ถ้าประาชนไม่เอาก็โหวตไม่เอาได้ โครงการก็ล้มไปเลยไม่เอาทั้งคู่ วิธีนี้สุดซอยก็ไม่ผ่านโดยไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อแล้ว... ทะเลาะกันครั้งนึง2วันเสียหายน่าจะเกินจัดประชามติไปหลายรอบอยู่