อาทิตย์อับแสง (บทที่ 5) โดย มานัส

กระทู้สนทนา
อาทิตย์อับแสง (บทที่ 5)




งานที่เข้ามาในช่วงสองสามอาทิตย์หลังจากนั้น ทำให้ภูเก็ตวุ่นอยู่กับมันในทุกวัน ไม่เว้นแม้แต่ในวันหยุด

ปัญหาเศรษฐกิจที่คลุกระอุ มาพร้อมกับความเข้มข้นของการแข่งขันในธุรกิจ ทำให้เขาต้องทุ่มเทกับงานมากกว่าเดิม

การเอาใจใส่ลูกค้าที่มีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย และคารมคมฝีปากเฉพาะตัวทำให้ชายหนุ่มรักษาฐานลูกค้าของตนได้ไม่ยาก หากคนอื่นๆ ในทีมไม่เป็นเช่นนั้นทุกคน

และเวลามี…ปัญหา เขาก็มักต้องดูแลในฐานะหัวหน้าทีม

แต่ภูเก็ตก็จำต้องยอมรับ ปัญหาบางอย่างมันเกินกว่าเขาจะแก้ไข

เรื่องบางเรื่อง

ลูกค้าบางคน

เมื่อคิดได้ตรงนี้ ชายหนุ่มก็พลันถอนหายใจ คิ้วเข้มตวัดขึ้น มองรายการบัญชีของหนึ่งในบรรดา ‘ลูกค้ารายใหญ่’ ที่อยู่ในหนึ่งของสองจอคอมพิวเตอร์ข้างหน้า

สีหน้าเรียบเฉย ครุ่นคิด แลดูจริงจัง หากไม่ได้บ่งบอกอารมณ์อย่างอื่นแต่อย่างใด

จนกระทั่งเขาถูกผู้เป็นหัวหน้าฝ่าย เรียกตัวเข้าไปคุยในห้อง เมื่อนั้นภูเก็ตจึงทิ้งตัวนั่งอย่างอ่อนล้าบนเก้าอี้ที่อยู่อีกฟากโต๊ะจากเจ้านาย

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมครอบครัวของเธอโอนเงินที่ให้เราบริหารไปให้กับธนาคารคู่แข่ง” เสียงคาดคั้น…หาเรื่อง

ใครจะคิดว่าครั้งหนึ่งเขากับ…อีเจ๊ จะเคยสนิทกัน

สนิท…ขนาดว่าฝากดูแลบัญชี ดูแลลูกค้า ดูแลทีมแทนกันได้ แม้สองคนจะคุมคนละทีม

ความห่างเหินก่อเกิดเพียงเพราะว่าตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายที่…อีเจ๊ คิดว่านอนกินมา กลับจู่ๆ มีชื่อของเขาเข้ามาเทียบเคียงช่วงชิง เพราะการเสนอชื่อของ ‘ผู้ใหญ่’ ที่อยู่สำนักงานใหญ่

แต่ในที่สุดตำแหน่งผู้บริหารฝ่ายก็ตกเป็นของ…อีเจ๊ เพียงเพราะว่า อายุ และอายุงานที่มากว่า

ภูเก็ตได้เลื่อนขั้น เพิ่มเงินเดือนพร้อมโบนัสงาม แต่ไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง และต่อให้เสียดายแค่ไหน หากเขาไม่ได้เครียดแค้นโกรธเคียง เพราะอย่างน้อย…ผู้ใหญ่ก็เห็น ถึงขนาดเสนอชื่อ

เพียงแต่เขาไม่คาดคิด…อีเจ๊ จะแค้นฝังหุ่น

ผ่านมาหลายเดือน ก็ลบกลบความเป็นเพื่อนร่วมงานกันมาหลายปี

“ผมเห็นแล้วครับ” ในตอนนี้เขาตอบ…อีเจ๊ เช่นนั้น “แต่เงินที่ออกไปก็ไม่ถึงยี่สิบล้าน ที่เหลือก็ยังอยู่กับเราตั้งเยอะ”

ยี่สิบล้านสำหรับ…ครอบครัวของเขา มันก็เป็นเพียงเศษเงินเท่านั้นเอง

“กลัวว่าจะค่อยๆ ทยอยออกน่ะซิ และถ้าออกไปมากกว่านี้รู้ถึงไหนคงอายเขา เป็นคนดูแลบัญชียังไง เงินในครอบครัวยังรักษาเอาไว้ไม่อยู่” ผู้เป็นนายถอนหายใจ “ถึงฉันจะเข้าใจในปัญหาของเธอ แต่คนอื่นๆ เขาไม่รู้เรื่องราวเหมือนที่ฉันรู้ ยังไงเธอก็พยายามหน่อยก็แล้วกัน”

“ครับ”

“ตอนนี้ธนาคารต่างๆ ประสบปัญหาเรื่องความเชื่อมั่น โดยเฉพาะบริษัทแม่ของเราในต่างประเทศ ให้พวกเราเชื่อว่าที่เมืองไทยไม่มีปัญหาแต่คนนอกไม่รู้ เธออาจต้องสอนพวกทีมของเราเรื่องนี้ จะได้รู้วิธีการสื่อสารแจ้งให้ลูกค้าทราบเพื่อไม่ให้ลูกค้าตกใจ เธอมันพูดเก่ง ก็น่าที่จะสอนพวกนั้นได้”

“ครับ ผมจะหาเวลาคุยกับทีมภายในวันสองวันนี้ แล้วอาทิตย์หน้าผมจะให้ทีมของผมลงไปเทรนด์กับสาขาหลักๆ”

“ไม่แค่สาขาหลัก ต้องไปทุกสาขา เธอไปเองนะ อย่าส่งเด็กๆ ลูกทีม หรือฝ่ายที่ทำเทรนด์นิ่งไป” คำสั่งชัดเจน “ธนาคารของเรามีสาขาไม่เยอะ ก็ไม่น่าจะยากสำหรับเธอไม่ใช่เหรอ”

ไม่ยาก…แต่ก็ไม่ง่าย โดยเฉพาะเมื่อคนทำงานไม่เพียงพอ

แค่ดูแลลูกค้าในมือ ก็หนักหนาสาหัส

และแม้จะรู้สึกเหนื่อยทั้งกายใจ แต่สีหน้าของภูเก็ตไม่ได้บอกเช่นนั้นเมื่อออกมาจากห้องผู้เป็นนาย หากเพื่อนร่วมงานที่เป็นเพื่อนสนิทก็พอเดาได้

“แกโดนอีเจ๊ด่าเรื่องที่ญาติแกย้ายเงินไปธนาคารอื่นเหรอ” สาธิณีเข้ามากระซิบถามอย่างเป็นห่วง

“เปล่า”

“แล้วทำไมทำหน้าเซ็งแบบนั้นวะ”

“ให้โดนด่าก็ยังดี แต่นี่ฉันต้องจัดการน่ะซิ” ภูเก็ตบอกแค่ส่วนเดียว

“คุยกันในครอบครัว แกสบายอยู่แล้ว สาริกาลิ้นทองจัดการเอง ไม่น่าห่วง” หญิงสาวตบบ่าคล้ายให้กำลังใจ มองเพื่อนที่เดินไปที่โต๊ะผู้ช่วยของเขา

“จัดกระเช้าแอปเปิ้ลญี่ปุ่นชุดหนึ่ง แล้วก็ให้คนรถของทีมเรา วิ่งไปเอาขนมเปี๊ยที่แปดริ้วเดี๋ยวนี้ ลูกค้ารายนี้สำคัญ แล้วก็เอาเอกสารเกี่ยวกับการเทรนด์พนักงานประจำสาขาพิมพ์ออกมาพี่ด้วย ขอเป็นเอกสารของรอบปีที่ผ่านมา” คำสั่งไม่มีเคล้าลังเล ก่อนจะหันมาทางเพื่อน “ธิ…เธอกับน้องอีกสักคนสองคนช่วยเตรียมข้อมูลเศรษฐกิจการลงทุนให้ฉันด้วย อ้อ…ส่งอีเมล์หาฮ่องกง และสำนักงานใหญ่ให้ส่งข้อมูลล่าสุดของผลิตภัณฑ์ที่เรามี”

เมื่อสั่งงานเสร็จ ร่างสูงก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทำงานหลังโต๊ะที่รกไปด้วยเอกสาร แล้วแฟ้มสีดำอีกปึก อาการของคนคิ้วขมวด มือกุมขมับบ่งบอกถึงความกังวลใจทั้งหมดได้ดี

เรื่องอะไรก็ไม่หนักหนาสาหัสเท่ากับเรื่อง…ครอบครัว








รถยุโรปคันเล็กวิ่งช้าๆ เข้ามาจอดหน้าประตูรั้วทึบของบ้านหลังใหญ่ใจกลางเมือง เขากดแตรรถเพียงสองที ก็พลันประตูใหญ่พอคนเดินเข้าออกก็ถูกเปิด ตามด้วยร่างของยามในชุดยูนิฟอร์มสีน้ำเงินที่วิ่งเหยาะมาเคาะกระจกรถ

“มาพบคุณท่าน” คำว่า ‘คุณท่าน’ ที่ตอบนั้นเน้นหนัก โดยทั้งคนพูดและคนฟังรู้ว่าหมายถึงผู้ใด “จากธนาคารแอลทัส”

ภูเก็ตมองยามที่วิ่งเหาะๆ กลับไปรายงานอะไรกับคนที่อยู่ข้างใน แล้วจึงวิ่งหน้าตื่นมายังรถที่จอดอยู่

“คุณภูเก็ตหรือเปล่าครับ”

เมื่อนั้น เขาจึงพยักหน้ารับ เห็นว่ายามทำสัญญาณบอกคนที่อยู่ข้างใน จากนั้นประตูเหล็กบานใหญ่ก็ถูกเปิดออกทันที

และเมื่อรถยุโรปคันเล็กเข้ามาจอดสนิทหน้าตัวบ้านหลังใหญ่แล้ว ผู้หญิงวัยเลยกลางคนรูปร่างค่อนข้างท้วมจึงวิ่งเข้ามาอย่างดีใจ

“คุณหนู!”

เสียงเรียกนั้นทำให้ชายหนนุ่มหันไปยิ้มกว้างด้วยแววตาเป็นประกายระยิบสดใส หากแล้วก็เปลี่ยนเป็นสงบนิ่งเก็บอารมณ์และความรู้สึกทั้งปวง ก่อนที่เขาจะเดินอ้อมไปอีกด้านของรถยนต์เพื่อหยิบกระเช้าดอกไม้และห่อขนมเปี๊ย

“ทำไมหายไปนานเชียวคะ” คนถามและคนถูกถามย่อมจำได้ว่า…นานแค่ไหน

นานเหลือเกิน

จะมาสักครั้งก็คราวจำเป็น

“แล้วนี่ ดูหน้าตาเหนื่อยๆ งานหนักหรือคะ” ชวนชื่นถาม…คุณหนู

“พอสมควรครับ” คำตอบไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าหนัก…มากน้อยแค่ไหน “แล้วป้าชื่นล่ะ”

“ป้าก็เรื่อยๆ ค่ะ มา…ป้าช่วย” หญิงชราเอื้อมมือตั้งใจช่วยรับของที่อีกฝ่ายถือไว้จนล้น

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมไหว” ชายหนุ่มย่อมรู้ ถ้าอะไรที่เกี่ยวกับ ‘คุณท่าน’ เขาต้องไหวเสมอ “นี่คุณท่านยังไม่หลับใช่ไหมครับ”

“จวนแล้วค่ะ” ผู้เป็นแม่บ้านและคนสนิทของ ‘คุณท่าน’ บอก “คุณหนูรีบเข้าไปเถอะค่ะ”

ผู้มาเยือนเดินตามเข้าไปภายในบ้านหลังใหญ่ที่ตกแต่งอย่างโอ่อ่า ประดับด้วยเครื่องเรือนชั้นดีราคาเพลง ซึ่งล้วนแต่เป็นของเก่าแก่หายากทั้งสิ้น

ทุกย่างก้าวของเขาซึมซับความคุ้นเคยซึ่งแม้จะมีเพียงไม่กี่ปี...เมื่อนานมาแล้ว แต่เขาก็ยังจำได้

ร่างสูงเดินตัวตรง ดวงหน้าคมคายจริงจังไม่ต่างจากผู้ชายในรูปภาพสีจางๆ ที่แขวนอยู่ตระหง่างกลางห้องรับรองใหญ่ เขาเห็นแล้วว่าที่โซฟาใหญ่นั้นมีร่างเล็กของหญิงชราอีกผู้หนึ่งนั่งอยู่คล้ายดั่งรอการมาของเขา

ภูเก็ตวางของที่ถือลงบนโต๊ะที่ตั้งอยู่ด้านหน้าโซฟาหลุยส์ตัวหนา ก่อนที่จะค่อยๆ คลานเข้าไปเพื่อกราบลงบนตักของหญิงชรา แล้วเขยิบถอยออกมา ลุกขึ้นยืนนิ่งหลังเก้าอี้โซฟาอีกตัว

“ตามสบาย” เสียงที่แฝงด้วยอำนาของหญิงชราลงหนัก สายตาคมกริบหลังแว่นกรอบใสมองผู้มาเยือนไม่วางตา เห็นแล้วว่าร่างสูงของอีกฝ่ายลงนั่งบนเก้าอี้รับแขกที่อยู่ข้างๆ “เธอนึกจะมาก็มา ไม่มีการบอกกล่าวกันก่อน ถึงฉันจะไม่มีงานการอะไร แต่ฉันก็มีเวลา มีแผนของฉัน”

“ผมตั้งใจมากราบคุณท่าน และคิดว่าคงรบกวนเวลาของคุณท่านไม่นาน” เสียงที่บอกจริงจังเป็นทางการ ให้ผ่านมากี่ปีก็ไม่เคยเปลี่ยน “ผมไปหาลูกค้าที่แปดริ้วเลยซื้อขนมเปี๊ยมาฝากคุณท่าน เข้าใจว่าคุณท่านชอบ นอกจากนี้ ผมมีแอ๊ปเปิ้ลจากญี่ปุ่น ตั้งใจเอามาฝากครับ”

“ขอบใจที่เธออุตสาห์นึกถึง” แววตาคมกริบของหญิงชรามองคนที่มาเยือน เสียงเย็นเยือกอ่อนลงเพียงนิดเดียว “เรื่องของเธอมีเท่านี้ใช่ไหม”

“เรื่องส่วนตัวคงมีเท่านี้” เขาเว้นช่วงจังหวะ น้ำเสียงมีความคมเฉียบ เยือกเย็นไม่แพ้อีกฝ่าย “แต่เรื่องงานผมต้องขออนุญาตเรียนถามว่า คุณท่านมีความกังวลใจอะไรหรือเปล่าถึงได้โอนเงินที่คุณท่านมอบหมายให้ทางแอลทัสดูแล ไปธนาคารอื่นเสีย ผมมาก็เผื่อว่าจะได้ตอบข้อสงสัยหรือคำถามใดๆ ที่ท่านมีเกี่ยวกับสถานะและความมั่นคงของธนาคารของเรา หากนั่น คือเหตุผล…ของเหตุผลทั้งหมด”

คำบอกนั่นทำให้คุณหญิงผกามาศปรายตามอง ก่อนจะบอก “เท่าที่ฉันรู้ เราไม่ได้โอนออกหมด มันก็แค่เงินไม่กี่ล้าน เธอจะร้อนตัวทำไม”

เงินไม่กี่สิบล้านบาท…น้อยนิด สำหรับคุณท่าน

แต่ก็มากมายเหลือเกินสำหรับเขา เมื่อนั้นภูเก็ตจึงบอกด้วยเสียงเรียบเป็นการเป็นงาน

“การเริ่มต้นที่ไม่มากก็อาจนำไปสู่การโอนออกที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมในฐานะผู้ดูแลบัญชีตรงนี้ก็จำต้องระวัง เพราะมันหมายถึงผลงานและหน้าทางสังคม…ของผม” ภูเก็ตเน้นหนักในคำหลัง

รู้หรอกว่า…อะไรที่สำคัญหนักหนาสำหรับคุณหญิงผกามาศ

“เงินก้อนนั้นหมายถึงหน้าตาทางสังคมของลูกชายฉันด้วย” ผู้สูงวัยกว่าเน้นชัดทุกคำ “เห็นว่าเพื่อนเขาชักชวนให้เปิดบัญชีก็คงทำไปเพราะเหตุผลนั้น เอาเถอะถ้าจะมีอะไรมากกว่านั้นฉันก็จะให้เขาบอกกับเธอเอง”

เมื่อเป็นเช่นนั้น ภูเก็ตย่อมรู้ว่า…พูดต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ “ครับ ขอบพระคุณครับ”
ความเงียบหลังจากนั้นอีกครู่ใหญ่ จนกระทั่งคุณผกามาศต้องเอ่ยถาม

“ได้ข่าวว่าเธอควงลูกสาวของนายตำรวจใหญ่ออกงานอยู่บ่อยๆ”

“ครับ”

“เห็นว่าฝ่ายแม่เขาก็มีเงินมีเส้นสายการเมือง” หญิงชราถอนหายใจ ไม่บ่งบอกว่าพอใจหรือไม่แต่อย่างไร “ดีแล้วที่เธอเลิกกับผู้หญิงคนก่อนไปได้ เห็นว่าพ่อแม่ไม่ได้มีฐานะอะไร แม่เป็นแค่เสมียนสถานทูต”

“ครับ”

“เธอก็สามสิบกว่าแล้ว” แม้จะบอกเช่นนั้น แต่คนพูดก็ไม่แน่ใจนักว่า…สามสิบเท่าไร “ตำแหน่งหน้าที่การงานก็ดี น่าจะมีครอบครัวเป็นหลักมีฐานได้แล้ว หรือว่ายังรอ…”

“ผมยังไม่พร้อม” คำตอบทันควัน ก่อนที่จะเสริมด้วยเสียงอ่อนลง “ยังไม่เจอใครที่คู่ควรครับ”

“ถ้าพ่อของเธอหรือคุณปู่ของเธอได้ยินก็คงผิดหวังเหมือนฉัน เธอเป็นหลานชายคนเดียวของตระกูลนี้” นี่เป็นความจริง เป็นสิ่งที่หญิงชราจำได้ดี

หากพลันเสียงแหลมก็แทรกขึ้น พร้อมกับการปรากฏกายของหญิงสาวในชุดกระโปรงสั้นสีแดงอมชมพู กระเป๋าสะพายที่คล้องแขนติดยี่ห้อดังจากฝรั่งเศส

“ถึงหมิงจะเป็นหลานชายคนเดียวของตระกูล แต่คุณย่าก็ยังมีหลานคนนี้อีกคนนะคะ” การแต่งตัวเก๋ไก๋ พอๆ กับรอยยิ้มหวาน เพียงแต่ว่าทั้งหมดทั้งปวงก็แค่การแต่งแต้มเสริมขึ้น “เอ๋ก็ใช้นามสกุลนี้เหมือนกัน และพอแต่งงานไปก็จะใช้อยู่ คุณย่าจะกังวลอะไรคะ หลายชายหลานสาวเดี๋ยวนี้เขาเสมอภาพกันแล้วค่ะ”

“จะเข้ามาก็หัดมีมารยาท” เสียงเข้มของคุณผกามาศดุ “นี่อะไร ส่งเสียงดังลั่นราวกลัวคนอื่นไม่รู้ว่าตัวเองมาถึงแล้ว”

“ก็เอ๋รีบเข้ามาดูว่าแขกของคุณย่าเป็นใคร” อรจิราบอกฉะฉาน “ไม่แน่ใจว่าใช่หมิงมั๊ย เพราะร้อยวันพันปีไม่เคยโผล่มา แหม...เอ๋เห็นรถที่จอดแล้วก็คิดว่าน่าจะใช่ แต่มันเป็นรถบีเอ็มรุ่นห้าหกปีมาแล้ว คิดว่าหมิงจะเปลี่ยนรถซะอีก หรือว่าโบนัสปีที่แล้วไม่ดี เลยต้องมาขอแถวนี้”

เพียงแต่ว่าไม่มีคำตอบจากคนที่ถูกถาม ภูเก็ตหันไปทางหญิงชราด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ผมรบกวนเวลาท่านนานแล้ว ต้องขออนุญาตลาครับ”

“พอเอ๋มา หมิงก็จะกลับเลยหรอ” อรจิราประชด มองอีกฝ่ายที่เขาไปทรุดตัวลงก้มลงกราบหญิงชรา

“ผมลาครับ” ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้น ไม่สนใจใครอื่น

การเดินของภูเก็ตนั้นเพียงสาวเท้าช้าๆ ไม่เร่งรีบ จึงทันได้ยินเสียงของอรจิรากำลังพูดกับท่านถึงเรื่องเพื่อนชายคนใหม่ของเธอ โดยคนที่บังเอิญได้ยินรับรู้เพียงว่า ครอบครัวของผู้ชายคนนั้นมีธุรกิจขายเพชรรวมทั้งเป็นผู้นำเข้ารถสปอร์ตยี่ห้อดังด้วย

ภูเก็ตถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

เบื่อหน่าย…

เหนื่อย

ด้วยความจริงว่า นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขา…ตัดสินใจ…ทำ เมื่อนานมาแล้ว





(ต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่