อาทิตย์อับแสง (บทที่ 7)
“เห็นเอ๋บอกว่าหมิงมันมาหาคุณแม่เมื่อสองสามวันก่อน” อนุสรณ์ไม่รีรอที่จะเข้าประเด็นทันทีเมื่อหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาภายในห้องนั่งเล่นของบ้านหลังใหญ่
“ก็เรื่องที่เราโอนเงินบางส่วนไปให้ลงทุนกับธนาคารคู่แข่งเขา” คุณหญิงผกามาศบอกโดยไม่ได้หันไปทางอีกฝ่าย
“โธ่…มาเรื่องขี้หมูขี้หมานี่เอง เงินไม่กี่ล้านไม่รู้จะร้อนตัวทำไม”
“ก็คงเพราะเขาต้องรับผิดชอบ และหลายคนก็รู้ว่านี่มันเงินของครอบครัว” ผู้เป็นมารดาบุญธรรมเน้นชัดคำว่า…ครอบครัว
“แต่เป็นเงินของครอบครัวเรานะครับคุณแม่ หมิงไม่เห็นต้องมาเกี่ยว” อนุสรณ์ขมวดหน้านิ่วไม่พอใจ “พี่สาธิตก็ได้ไปส่วนของเขาไปแล้วตอนที่ท่าน…เสีย”
เพราะความเป็นแค่ลูกเลี้ยงของคุณหญิงผกามาศที่ ‘ท่าน’ ไม่เคยยอมรับ ทำให้อนุสรณ์เว้นไม่กล้าเรียก สามีของคุณหญิงผกามาศว่า ‘คุณพ่อ’
‘ท่าน…’ คือสรรพนามที่เขาใช้เรียกเสมอมา
เสียงของคุณหญิงผกามาศยังคงเรียบเมื่อเอ่ย
“สังคมเขาก็รู้กันว่าหมิงเป็นหลานของเธอ เป็นหลานของฉัน” ว่าแล้วหญิงชราจึงยกมือเป็นเชิงปรามเมื่ออีกฝ่ายเตรียมจะแย้ง “ช่างเถอะ เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ระหว่างนี้ก็อย่าเพิ่งไปทำอะไรกับเงินที่อยู่แอลทัส ฉันขี้เกียจมานั่งตอบคำถาม หรือให้คนอื่นเอาเรื่องของครอบครัวเราไปนินทา พูดถึงหลานๆ ฉันก็อยากจะถามเธออยู่เหมือนกันเกี่ยวกับเอ๋ เมื่อไหร่ลูกสาวของเธอจะทำงานเป็นชิ้นเป็นอันเสียที วันๆ ฉันไม่เห็นว่าจะทำอะไร นอกจากออกงานสังคม”
“คุณแม่ครับ” อนุสรณ์ลากเสียงยาว “เอ๋เขาทำตำแหน่งพีอาร์ของโรงแรมก็ต้องออกงานบ่อยๆ ซิครับ เป็นการประชาสัมพันธ์แล้วก็สร้างเครืองข่ายไปในตัว เห็นว่าคืนนี้ก็ต้องออกงานอีกแล้วเพราะมีการเปิดตัวแฟร์ชั่นชุดใหม่ของแบรนด์ดัง”
“ออกงานเพราะเรื่องงานมันก็ดี แต่อย่าไปออกข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์ในทางเสียๆ หายๆ ล่ะ ฉันไม่ชอบ โดยเฉพาะเรื่องผู้ชาย เห็นว่าเป็นข่าวอยู่ไม่ใช่ไหรือ”
“ไม่มีครับ…ไม่มี”
การปฏิเสธทันที เพราะรู้ว่า…มี ข่าวดังแม้ไม่ได้ลงชื่อคู่กรณีชัดๆ แต่หลายคนย่อมเดาออกว่าใคร และเมื่อนั้นอนุสรณ์ก็พลันเปลี่ยนเรื่อง
“วันมะรืนผมต้องไปสัมมานาสี่วันที่อ่องกงกับกลุ่มอบรมหลักสูตรพิเศษนะครับ”
เขาไม่ได้บอกหรอกว่าก็สัมมานานั้นเน้นกิน ดื่ม เที่ยว มากกว่าวิชาการ แล้วไหนจะมีโปร์แกรมข้ามไปมาเก๊าอีกสองวัน
แต่ถึงบอกไปก็เท่านั้น…เพราะคุณหญิงผกามาศก็คงไม่สนใจ
ที่น่าสนคงเป็นจำนวนเงินในบัญชีและโฉนดที่ดินของครอบครัว…ของคุณหญิงที่เหลืออยู่
คุณหญิงผกามาศอายุมาก สุขภาพก็ไม่ดีเหมือนแต่ก่อน
ญาติสนิทที่เหลือนอกจากเขาแล้วก็มีเพียงภูเก็ต
ภูเก็ต…หลานที่คุณหญิงผกามาศไม่รัก เพราะเป็นลูกชายของสาธิต ผู้เป็นทั้งลูกเลี้ยง และเป็นหลานน้าแท้ๆ
ที่หญิงชราไม่ปลื้ม ก็เพียงเพราะสาธิต…กระทำไม่ถูกใจ
ทั้งตำแหน่งหน้าที่การงาน ซึ่งขัดใจคุณหญิง และทั้งเรื่องแต่งงานกับผู้หญิงบ้านนอก ลูกสาวเจ๊กร้านขายยาจีนในอำเภอเล็กๆ แทนที่จะเลือกผู้หญิงที่คุณหญิงผกามาศหมั้นหมายไว้ให้
แล้วไหนจะการหย่าร้างกับผู้หญิงบ้านนอกคนนั้นในที่สุด จนคุณหญิง…สมน้ำหน้า
เมื่อไม่ชอบใจ ตัดขาดไปแล้ว แม้แต่งานศพของสาธิต คุณหญิงผกามาศก็ไม่เหยียบไป
ไม่เหลียวแล
ไม่แม้แต่จะส่งพวงหรีด
ดังนั้น อนุสรณ์ย่อมรู้ว่า ไม่ช้าก็เร็วทุกอย่างก็จะตกเป็นของเขาเพียงผู้เดียว
เขารอมานานแล้ว…ทนรออีกหน่อยก็ย่อมไม่มีปัญหา
การดื่มกินสังสรรค์เช่นนี้มีบ่อยเป็นกิจวัตรสำหรับคนที่มีเพื่อนมากมายเช่นเขา ถ้าไม่ต้องเดินทางเพราะเรื่องงานงานหรือ…เรื่องอื่นใด ชีวิตของเขาก็มีเพื่อน เพื่อนเที่ยว เพื่อนกิน แล้วไหนสาวๆ ที่เขาสามารถเรียกหาได้
ก็อย่างเช่นวันนี้ ที่เพียงเขาโทรฯ หา หญิงสาวที่เขาต้องการพบก็มาหาทันที จนเพื่อนๆ ที่มาด้วยกันในคืนนี้แซวอย่างสนุกเมื่อสาวๆ พร้อมใจกันลุกไปเข้าห้องน้ำ
“ระวังยัยเชอร์รี่ฉีกอกนะเว้ย”
ภูเก็ตยิ้มและส่ายหัวไปกับคำถามนั่น เปรยอย่างสนุกปากเช่นกัน “สีสันของชีวิต”
“จะทนคบกับยัยเชอร์รี่อีกนานแค่ไหนวะ”
“ก็คบๆ ให้เชอร์รี่เบื่อแล้วบอกเลิกไปเอง” คำตอบนั้นไม่ยินดียินร้ายแต่อย่างไร
ตอนนี้เมื่อไม่มีใครที่ดีกว่า…ก็ต้องทน
เขายังทนไหว รอเพียงแต่ว่าเมื่อไรชินนภาจะทนไม่ไหวเท่านั้นเอง
ผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เข้ามา ภูเก็ตแค่ลองคบชั่วคราว ไม่จริงจัง แม้แต่ชินนภา เขาก็ไม่เคยตั้งเธอไว้เป็นตัวจริง
เพราะ…ตัวจริง ยังไม่มีใครที่สามารถมาแทนที่…เธอ คนนั้น
เพราะ…ยังไม่มีใครควรคู่มาแทนที่
“ถือว่าแกยังโชคร้ายอยู่ว่ะ เชอร์รี่ไม่มีวี่แววจะบอกเลิก ไม่รู้ติดใจอะไรแกนักหนา ควงกับแกนานสุดแล้วนะ เท่าที่ฉันรู้มา” คนเป็นเพื่อนหัวเราะก่อนที่จะถามต่อ “ว่าแต่เรื่องคอนโดเป็นไงบ้างวะ ต้องย้ายออกเมื่อไร”
“รอให้ครบกำหนดสัญญา มันอีกตั้งเก้าเดือน” ภูเก็ตหยิบแก้วเหล้าผสมขึ้นมาจิบ “ไม่อยากรีบย้ายออกหรอก ค่าเช่าถูกๆ แบบนี้หายาก”
คำสารภาพในประโยคหลังๆ คือเหตุผลทั้งปวง
ห้องพักขนาดสองห้องนอนบนตึกสูงใจกลางเมือง ราคามักหนักกระเป๋า แต่ห้องนี้…ราคาดีจนเขายังไม่อยากจะปล่อยให้หลุดมือ
และอีกอย่าง ภูเก็ตก็ไม่รู้ว่าจะไปไหน ตั้งแต่เขากลับมาเมืองไทยเมื่อห้าปีก่อน เขาก็พักอยู่ที่นี่ มันเป็นที่พักแห่งเดียวที่เขารู้จักและคุ้นเคย
คุ้น...จนไม่เคยนึกคิดที่จะย้ายไปไหน
ความคุ้นเคย จึงกลายเป็นความเคยชิน เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตโดยปริยาย
ทำให้เขาไม่อยากเปลี่ยน ไม่อยากไปไหนทั้งสิ้น
“แล้วเจ้าของใหม่ยอมเหรอ ไหนแกบอกว่าเจ้าหล่อนพยายามถีบแกออกนี่หว่า”
“เออ…” ชายหนุ่มลากเสียงยาวยอมรับ “หาเรื่องฉันตลอดเวลา ขนาดตอนนั้นไปเจอกันโดยบังเอิญที่งาน ยังทำให้เชอร์รี่เข้าใจผิดเกือบฆ่าฉันตายกลางงาน”
คำบอกนั่นทำให้เพื่อนหัวเราะบอก “นี่ถ้าเชอร์รี่มาเห็นแกกับน้องพริ้ตตี้คืนนี้ก็คงฆ่าแกแน่ๆ ว่ะ แต่รูปหล่ออย่างแกมันเสน่ห์แรง ไม่ลองจับยัยเจ้าของห้องคนใหม่ล่ะวะ เผื่อหล่อนจะใจอ่อน ทำไมวะ…หรือว่าเป็นสาวแก่แม่ม่าย โห…ถ้าเป็นอย่างนั้นสบายแกเลยล่ะ ง่ายฉิบ”
“โอย…ไม่ไหว” ภูเก็ตเติมน้ำแข็งแล้วรินเหล้าจนถึงครึ่งแก้ว จิบอึกใหญ่ “ยัยเจ้าของห้องคนใหม่เป็นดาราดัง…ชื่อเกษรา หนุ่มไฮโซ น้อยใหญ่ นักการเมืองทั้งหลายต่างมาติด ไม่มีทางถึงฉันหรอก”
“เฮ้ย! จริงเหรอวะ” อีกฝ่ายเก็บอาการตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ “โชคดีว่ะ แบบนี้ก็รวบหัวรวบหาจัดการเลย”
“ไม่…” คำปฏิเสธนั้นพร้อมการส่ายหัวคล้ายปลง “ท่าทางจะแรงให้ปวดหัวพอๆ กับเชอร์รี่ อีกอย่างเชอร์รี่คงฉีกอกฉันตายคามือก่อน”
“อย่างกับว่าแกจริงจังกับยัยเชอร์รี่นักนี่ และกับเกด แกก็ไม่ต้องจริงจังหรอก เอาแค่สนุกๆ โธ่…ผู้หญิงที่ผู้ชายหมายปองทั้งประเทศ แกใกล้ชิดขนาดนั้นก็น่าลอง ใช้เสน่ห์ของแกให้เป็นประโยชน์ หนำซ้ำถ้าเขาเกิดชอบแกขึ้นมาจริงๆ เรื่องย้ายห้อง…บางทีหมดสัญญาแล้วแกก็อาจได้อยู่ต่อฟรีๆ สบายๆ ถ้าเขาติดใจแก ก็ลองดูซิวะไม่เสียหายนี่ ถ้าไม่เวริก์แกก็ย้ายออก…จบ”
แม้จะส่ายหน้าไม่เห็นด้วย แต่ในความคิดที่แล่นเร็วก็มีคำพูดของเพื่อนวิ่งย้ำไปมา
“แค่เล่นๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ช่าง และเกษราเองก็อาจไม่ได้ชอบผู้ดีเก่าตกอับอย่างแกก็ได้ แต่เรื่องแบบนี้ไม่ลองไม่รู้”
ภูเก็ตถอนหายใจ
ใช่ซิ…ของแบบนี้บางทีก็ต้องลอง ไม่เสียหายอะไร
แต่ถ้าลอง…ไม่ว่าได้หรือเสีย มันจะคุ้มกับที่ลงทุนหรือเปล่า
(ต่อ)
อาทิตย์อับแสง (บทที่ 7) โดย มานัส
“เห็นเอ๋บอกว่าหมิงมันมาหาคุณแม่เมื่อสองสามวันก่อน” อนุสรณ์ไม่รีรอที่จะเข้าประเด็นทันทีเมื่อหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาภายในห้องนั่งเล่นของบ้านหลังใหญ่
“ก็เรื่องที่เราโอนเงินบางส่วนไปให้ลงทุนกับธนาคารคู่แข่งเขา” คุณหญิงผกามาศบอกโดยไม่ได้หันไปทางอีกฝ่าย
“โธ่…มาเรื่องขี้หมูขี้หมานี่เอง เงินไม่กี่ล้านไม่รู้จะร้อนตัวทำไม”
“ก็คงเพราะเขาต้องรับผิดชอบ และหลายคนก็รู้ว่านี่มันเงินของครอบครัว” ผู้เป็นมารดาบุญธรรมเน้นชัดคำว่า…ครอบครัว
“แต่เป็นเงินของครอบครัวเรานะครับคุณแม่ หมิงไม่เห็นต้องมาเกี่ยว” อนุสรณ์ขมวดหน้านิ่วไม่พอใจ “พี่สาธิตก็ได้ไปส่วนของเขาไปแล้วตอนที่ท่าน…เสีย”
เพราะความเป็นแค่ลูกเลี้ยงของคุณหญิงผกามาศที่ ‘ท่าน’ ไม่เคยยอมรับ ทำให้อนุสรณ์เว้นไม่กล้าเรียก สามีของคุณหญิงผกามาศว่า ‘คุณพ่อ’
‘ท่าน…’ คือสรรพนามที่เขาใช้เรียกเสมอมา
เสียงของคุณหญิงผกามาศยังคงเรียบเมื่อเอ่ย
“สังคมเขาก็รู้กันว่าหมิงเป็นหลานของเธอ เป็นหลานของฉัน” ว่าแล้วหญิงชราจึงยกมือเป็นเชิงปรามเมื่ออีกฝ่ายเตรียมจะแย้ง “ช่างเถอะ เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ระหว่างนี้ก็อย่าเพิ่งไปทำอะไรกับเงินที่อยู่แอลทัส ฉันขี้เกียจมานั่งตอบคำถาม หรือให้คนอื่นเอาเรื่องของครอบครัวเราไปนินทา พูดถึงหลานๆ ฉันก็อยากจะถามเธออยู่เหมือนกันเกี่ยวกับเอ๋ เมื่อไหร่ลูกสาวของเธอจะทำงานเป็นชิ้นเป็นอันเสียที วันๆ ฉันไม่เห็นว่าจะทำอะไร นอกจากออกงานสังคม”
“คุณแม่ครับ” อนุสรณ์ลากเสียงยาว “เอ๋เขาทำตำแหน่งพีอาร์ของโรงแรมก็ต้องออกงานบ่อยๆ ซิครับ เป็นการประชาสัมพันธ์แล้วก็สร้างเครืองข่ายไปในตัว เห็นว่าคืนนี้ก็ต้องออกงานอีกแล้วเพราะมีการเปิดตัวแฟร์ชั่นชุดใหม่ของแบรนด์ดัง”
“ออกงานเพราะเรื่องงานมันก็ดี แต่อย่าไปออกข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์ในทางเสียๆ หายๆ ล่ะ ฉันไม่ชอบ โดยเฉพาะเรื่องผู้ชาย เห็นว่าเป็นข่าวอยู่ไม่ใช่ไหรือ”
“ไม่มีครับ…ไม่มี”
การปฏิเสธทันที เพราะรู้ว่า…มี ข่าวดังแม้ไม่ได้ลงชื่อคู่กรณีชัดๆ แต่หลายคนย่อมเดาออกว่าใคร และเมื่อนั้นอนุสรณ์ก็พลันเปลี่ยนเรื่อง
“วันมะรืนผมต้องไปสัมมานาสี่วันที่อ่องกงกับกลุ่มอบรมหลักสูตรพิเศษนะครับ”
เขาไม่ได้บอกหรอกว่าก็สัมมานานั้นเน้นกิน ดื่ม เที่ยว มากกว่าวิชาการ แล้วไหนจะมีโปร์แกรมข้ามไปมาเก๊าอีกสองวัน
แต่ถึงบอกไปก็เท่านั้น…เพราะคุณหญิงผกามาศก็คงไม่สนใจ
ที่น่าสนคงเป็นจำนวนเงินในบัญชีและโฉนดที่ดินของครอบครัว…ของคุณหญิงที่เหลืออยู่
คุณหญิงผกามาศอายุมาก สุขภาพก็ไม่ดีเหมือนแต่ก่อน
ญาติสนิทที่เหลือนอกจากเขาแล้วก็มีเพียงภูเก็ต
ภูเก็ต…หลานที่คุณหญิงผกามาศไม่รัก เพราะเป็นลูกชายของสาธิต ผู้เป็นทั้งลูกเลี้ยง และเป็นหลานน้าแท้ๆ
ที่หญิงชราไม่ปลื้ม ก็เพียงเพราะสาธิต…กระทำไม่ถูกใจ
ทั้งตำแหน่งหน้าที่การงาน ซึ่งขัดใจคุณหญิง และทั้งเรื่องแต่งงานกับผู้หญิงบ้านนอก ลูกสาวเจ๊กร้านขายยาจีนในอำเภอเล็กๆ แทนที่จะเลือกผู้หญิงที่คุณหญิงผกามาศหมั้นหมายไว้ให้
แล้วไหนจะการหย่าร้างกับผู้หญิงบ้านนอกคนนั้นในที่สุด จนคุณหญิง…สมน้ำหน้า
เมื่อไม่ชอบใจ ตัดขาดไปแล้ว แม้แต่งานศพของสาธิต คุณหญิงผกามาศก็ไม่เหยียบไป
ไม่เหลียวแล
ไม่แม้แต่จะส่งพวงหรีด
ดังนั้น อนุสรณ์ย่อมรู้ว่า ไม่ช้าก็เร็วทุกอย่างก็จะตกเป็นของเขาเพียงผู้เดียว
เขารอมานานแล้ว…ทนรออีกหน่อยก็ย่อมไม่มีปัญหา
การดื่มกินสังสรรค์เช่นนี้มีบ่อยเป็นกิจวัตรสำหรับคนที่มีเพื่อนมากมายเช่นเขา ถ้าไม่ต้องเดินทางเพราะเรื่องงานงานหรือ…เรื่องอื่นใด ชีวิตของเขาก็มีเพื่อน เพื่อนเที่ยว เพื่อนกิน แล้วไหนสาวๆ ที่เขาสามารถเรียกหาได้
ก็อย่างเช่นวันนี้ ที่เพียงเขาโทรฯ หา หญิงสาวที่เขาต้องการพบก็มาหาทันที จนเพื่อนๆ ที่มาด้วยกันในคืนนี้แซวอย่างสนุกเมื่อสาวๆ พร้อมใจกันลุกไปเข้าห้องน้ำ
“ระวังยัยเชอร์รี่ฉีกอกนะเว้ย”
ภูเก็ตยิ้มและส่ายหัวไปกับคำถามนั่น เปรยอย่างสนุกปากเช่นกัน “สีสันของชีวิต”
“จะทนคบกับยัยเชอร์รี่อีกนานแค่ไหนวะ”
“ก็คบๆ ให้เชอร์รี่เบื่อแล้วบอกเลิกไปเอง” คำตอบนั้นไม่ยินดียินร้ายแต่อย่างไร
ตอนนี้เมื่อไม่มีใครที่ดีกว่า…ก็ต้องทน
เขายังทนไหว รอเพียงแต่ว่าเมื่อไรชินนภาจะทนไม่ไหวเท่านั้นเอง
ผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เข้ามา ภูเก็ตแค่ลองคบชั่วคราว ไม่จริงจัง แม้แต่ชินนภา เขาก็ไม่เคยตั้งเธอไว้เป็นตัวจริง
เพราะ…ตัวจริง ยังไม่มีใครที่สามารถมาแทนที่…เธอ คนนั้น
เพราะ…ยังไม่มีใครควรคู่มาแทนที่
“ถือว่าแกยังโชคร้ายอยู่ว่ะ เชอร์รี่ไม่มีวี่แววจะบอกเลิก ไม่รู้ติดใจอะไรแกนักหนา ควงกับแกนานสุดแล้วนะ เท่าที่ฉันรู้มา” คนเป็นเพื่อนหัวเราะก่อนที่จะถามต่อ “ว่าแต่เรื่องคอนโดเป็นไงบ้างวะ ต้องย้ายออกเมื่อไร”
“รอให้ครบกำหนดสัญญา มันอีกตั้งเก้าเดือน” ภูเก็ตหยิบแก้วเหล้าผสมขึ้นมาจิบ “ไม่อยากรีบย้ายออกหรอก ค่าเช่าถูกๆ แบบนี้หายาก”
คำสารภาพในประโยคหลังๆ คือเหตุผลทั้งปวง
ห้องพักขนาดสองห้องนอนบนตึกสูงใจกลางเมือง ราคามักหนักกระเป๋า แต่ห้องนี้…ราคาดีจนเขายังไม่อยากจะปล่อยให้หลุดมือ
และอีกอย่าง ภูเก็ตก็ไม่รู้ว่าจะไปไหน ตั้งแต่เขากลับมาเมืองไทยเมื่อห้าปีก่อน เขาก็พักอยู่ที่นี่ มันเป็นที่พักแห่งเดียวที่เขารู้จักและคุ้นเคย
คุ้น...จนไม่เคยนึกคิดที่จะย้ายไปไหน
ความคุ้นเคย จึงกลายเป็นความเคยชิน เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตโดยปริยาย
ทำให้เขาไม่อยากเปลี่ยน ไม่อยากไปไหนทั้งสิ้น
“แล้วเจ้าของใหม่ยอมเหรอ ไหนแกบอกว่าเจ้าหล่อนพยายามถีบแกออกนี่หว่า”
“เออ…” ชายหนุ่มลากเสียงยาวยอมรับ “หาเรื่องฉันตลอดเวลา ขนาดตอนนั้นไปเจอกันโดยบังเอิญที่งาน ยังทำให้เชอร์รี่เข้าใจผิดเกือบฆ่าฉันตายกลางงาน”
คำบอกนั่นทำให้เพื่อนหัวเราะบอก “นี่ถ้าเชอร์รี่มาเห็นแกกับน้องพริ้ตตี้คืนนี้ก็คงฆ่าแกแน่ๆ ว่ะ แต่รูปหล่ออย่างแกมันเสน่ห์แรง ไม่ลองจับยัยเจ้าของห้องคนใหม่ล่ะวะ เผื่อหล่อนจะใจอ่อน ทำไมวะ…หรือว่าเป็นสาวแก่แม่ม่าย โห…ถ้าเป็นอย่างนั้นสบายแกเลยล่ะ ง่ายฉิบ”
“โอย…ไม่ไหว” ภูเก็ตเติมน้ำแข็งแล้วรินเหล้าจนถึงครึ่งแก้ว จิบอึกใหญ่ “ยัยเจ้าของห้องคนใหม่เป็นดาราดัง…ชื่อเกษรา หนุ่มไฮโซ น้อยใหญ่ นักการเมืองทั้งหลายต่างมาติด ไม่มีทางถึงฉันหรอก”
“เฮ้ย! จริงเหรอวะ” อีกฝ่ายเก็บอาการตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ “โชคดีว่ะ แบบนี้ก็รวบหัวรวบหาจัดการเลย”
“ไม่…” คำปฏิเสธนั้นพร้อมการส่ายหัวคล้ายปลง “ท่าทางจะแรงให้ปวดหัวพอๆ กับเชอร์รี่ อีกอย่างเชอร์รี่คงฉีกอกฉันตายคามือก่อน”
“อย่างกับว่าแกจริงจังกับยัยเชอร์รี่นักนี่ และกับเกด แกก็ไม่ต้องจริงจังหรอก เอาแค่สนุกๆ โธ่…ผู้หญิงที่ผู้ชายหมายปองทั้งประเทศ แกใกล้ชิดขนาดนั้นก็น่าลอง ใช้เสน่ห์ของแกให้เป็นประโยชน์ หนำซ้ำถ้าเขาเกิดชอบแกขึ้นมาจริงๆ เรื่องย้ายห้อง…บางทีหมดสัญญาแล้วแกก็อาจได้อยู่ต่อฟรีๆ สบายๆ ถ้าเขาติดใจแก ก็ลองดูซิวะไม่เสียหายนี่ ถ้าไม่เวริก์แกก็ย้ายออก…จบ”
แม้จะส่ายหน้าไม่เห็นด้วย แต่ในความคิดที่แล่นเร็วก็มีคำพูดของเพื่อนวิ่งย้ำไปมา
“แค่เล่นๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ช่าง และเกษราเองก็อาจไม่ได้ชอบผู้ดีเก่าตกอับอย่างแกก็ได้ แต่เรื่องแบบนี้ไม่ลองไม่รู้”
ภูเก็ตถอนหายใจ
ใช่ซิ…ของแบบนี้บางทีก็ต้องลอง ไม่เสียหายอะไร
แต่ถ้าลอง…ไม่ว่าได้หรือเสีย มันจะคุ้มกับที่ลงทุนหรือเปล่า
(ต่อ)