อาทิตย์อับแสง (บทที่ 28)
แม้ตั้งใจจะไม่ฟังคำเตือนของหลานชาย แต่คุณหญิงผกามาศก็อดไม่ได้ที่จะหยิบแฟ้มของใบแสดงยอดเงินลงทุนกับธนาคารแอลทัส
“คุณแม่จะเอาไปทำไม”
อนุสรณ์สงสัยเมื่อตอนที่ยื่นแฟ้มเล่มหนา หากคุณหญิงผกามาศชายตามองลูกเลี้ยง ก่อนจะกล่าว
“เงินก็เงินของฉัน หรือว่าฉันไม่มีสิทธิ์รู้”
และการที่ได้รู้ก็ทำให้คุณหญิงตระหนักในความจริงว่า จำนวนเงินที่ปรากฏในใบแจ้งยอดแสดงฐานะทางการจากธนาคารแอลทัส ต่างจากจำนวนที่คิดว่าควรจะเป็นมากนัก
การลงทุนที่ควรจะเพิ่มพูนกลับลดน้อยลง
“ทำไมแยกเป็นสองบัญชี” คำถามเค้นด้วยความสงสัย
“ผมไม่ไว้ใจให้ภูเก็ตดูแลทั้งหมดครับ” อนุสรณ์แจ้งผู้เป็นมารดา
“เธอจะไว้ใจหรือไม่ นั่นไม่ใช่เรื่อง ฉันไม่ได้สั่งให้ย้าย”
“แต่หมิงไว้ใจไม่นะครับคุณแม่ เท่าที่ผมรู้มา ทางแบงก์กำลังสอบสวนเรื่องมีการผ่องถ่ายเงินในบัญชีของลูกค้าออกไปอยู่ ผมเองก็สงสัยเหมือนกันเพราะเงินลงทุนของเราที่อยู่กับแอลทัสลดลงไปมาก”
“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน”
“เป็นไปได้ซิครับ เห็นว่ามีการผ่องถ่ายเงินไปบัญชีที่ธนาคารของเจ้าสัวเกรียงไกร แล้วมีเงินที่โอนไปบัญชีในต่างประเทศอีก ตอนนี้ผมรอผลสอบจากแอลทัสอยู่ แต่ได้สั่งการไปแล้วว่าให้ระงับห้ามมีการเคลื่อนไหวใดๆ กับบัญชีของเรา”
อนุสรณ์เล่าได้เป็นฉากๆ คำพูดเตรียมมาเป็นเดือนแล้วเผื่อว่าวันใดวันหนึ่งคุณท่านถาม เอกสารที่เขายื่นให้หญิงชราก็ถูกจัดเตรียมมาแล้วอย่างดีเช่นกัน
การปลอมแปลงนั้นให้เหมือน หลอกสายตาไม่ให้คนแก่จับพิรุธได้
จริง ฤๅ เท็จ ไม่สำคัญถ้าหลอกคุณท่านได้
รอยยิ้มของเขาคลี่ออกอย่างคนที่กำชัยชนะเมื่อเห็นหน้าของหญิงชรา
“นี่แค่ส่วนหนึ่งที่ทางคุณณัฐส่งมาให้ คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะครับ เราจะต้องจัดการ
เรื่องนี้แน่”
“ฉันไม่เชื่อ!” เสียงเฉียบคมทำให้อีกฝ่ายสะดุ้ง
“มันเป็นความจริงนะครับคุณแม่ เอกสารก็มีให้เห็น แบงก์ก็กำลังสืบอยู่”
“บอกให้เขาหยุด” คำสั่งคล้ายว่าทุกอย่าง…ง่าย “เรื่องนี้ถ้าคนนอกรู้ ฉันเสียหาย”
และคำบอกนั่นทำให้อนุสรณ์แสยะยิ้มอีกครั้ง
คุณท่าน…ห่วงตัวเอง ห่วงชื่อเสียงของตัวเองอยู่ดี
“ผมจะประสานงานกับทางแอลทัสเองครับ คุณแม่ไม่ต้องห่วง” เขาบอกเช่นนั้น โดยมีแต่ตัวเองที่รู้ว่าการประสานก็เพียงแค่กับณัฐ ผู้ดูแลบัญชีที่มีผลประโยชน์ร่วมกับเขาเท่านั้น คำสั่งที่คุณหญิงผกามาศย้ำ ก็เป็นเพียงแค่คำที่ออกมาจากปากของหญิงชรา และอนุสรณ์ก็เลือกที่จะไม่ทำตาม
ถ้าเอาผิดภูเก็ตได้ สื่อก็ต้องเล่นข่าว ไม่มีทางเลี่ยงได้พ้น และเมื่อถึงเวลานั้นคุณหญิงผกามาศจะรับได้สักแค่ไหนกัน
“เรื่องไปถึงไหนแล้ว” อนุสรณ์ถามนายธนาคารอีกหลายวันต่อมา ก่อนจะกำชับความวิตก “อย่าให้สาวมาถึงพวกเราล่ะ”
“คุณทำตามที่ผมบอกก็แล้วกัน” เสียงเฉียบห้วนมีแววไม่พอใจบางอย่าง
“ก็ทำแล้ว ยังมีอะไรต้องทำอีกเหรอ” เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายไม่แน่ใจนัก เพราะการสื่อสารทางวาจาของณัฐช่างเข้าใจยากเหลือเกิน…พูดไม่รู้เรื่อง
หลายทีเรื่องที่เข้าใจกลับกลายเป็นว่าไม่ใช้เช่นนั้น แต่ที่รู้แนน่ชัดคือ ณัฐเกลียดภูเก็ต แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับอนุสรณ์
“อย่าลืมเรื่องลายเซ็นของคุณหญิง…”
นั่นคือหนึ่งอย่างในอีกเรื่องงที่ณัฐย้ำซ้ำซากอย่างรำคาญ และมีหลายอย่างที่ต้องเตือน
คนอย่างอนุสรณ์มีเงิน มีความโลภ แต่ไม่มีความฉลาดเลยสักนิด แต่คนแบบนี้…จูงง่าย และณัฐก็กำลังจูงไปในทางที่เอื้อยผลประโยชน์ บรรลุเป้าหมายของเขาให้เร็วที่สุด ทว่าเร็ว…แค่ไหนก็ไม่เคยเร็วทันใจ
และความคิดนี้ทำให้ณัฐถอนหายใจเมื่อวางสายแล้ว มองไปรอบๆ ตัว
บ้านเล็กหลังเก่าแก่นักในแถบชานเมือง มันทรุดโทรมมาหลายปี แต่เขาไม่เคยคิดซ่อม อาจเพราะไม่มีเวลา หรือว่าเขาคงไม่เคยมองเห็นความสำคัญ
บ้านที่มีแต่ความทรงจำแสนปวดร้าวจะมีค่าอะไร ทุกวันนี้จำต้องอยู่ก็เพื่อ… รอเวลาที่เขาจะไปจากมันตลอดกาล
เมื่อมีเงินมากพอ ให้อยู่ส่วนไหนของมุมโลกเขาก็อยู่ได้
เงินซื้อความสบาย ซื้อทุกอย่างดั่งใจต้องการ แม้ว่ามันอาจจะไม่สามารถซื้อหัวใจของผู้หญิงที่เขารักได้เลย
พลันความคิดหยุดชะงัก มือขวาที่มีรอยแผลเป็นกำแน่น นิ้วของมืออีกข้างกดลงหนักตามรอยแผลที่ลากยาวขึ้นเลยข้อศอก ชายหนุ่มจมอยู่ในห้วงความคิดนานแสนนาน ไม่ได้ยินแม้เสียงก๊อกแก๊กของประตูรั้วด้านนอก จะรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ประตูบานเลื่อนของห้องรับแขกด้านหน้าเปิดออก แต่เขาก็ยังคงนั่งพิงโซฟา ดวงตาแข็งกร้าวมองหญิงสาวผู้เป็นลูกของแม่เลี้ยง
“ออกไปไหนมาทั้งวัน ทำไมกลับมาป่านนี้” ณัฐกระชากเสียงถาม ดวงตาจ้องมองอีกฝ่ายพยายามจับผิด
หน้าตาของอัญชลีดูสดใส ร่าเริงเป็นพิเศษ เป็นความสดใสที่เขาไม่ได้เห็นมานานแสนนาน แล้วไหนชุดกระโปรงรัดรูปสีดำแนบตัวยาวลงมาเหนือเข่าเล็กน้อย ทำให้เห็นแทบทุกสัดส่วนของร่างกาย
อัญชลีเป็นคนสวยถึงขึ้นสวยจัด ยิ่งได้แต่งหน้าแต่งตัวแล้วเธอก็ไม่ต่างจากดารานางแบบ หรือลูกผู้ลากมากดีคนไหน
เพียงแต่ใจ…ที่หน้าตาความสวยไม่สามารถที่จะทดแทนได้
หน้าสวยด้วยรอยยิ้ม แต่ณัฐรู้…ใจของอัญชลีไม่ต่างจากเขา ดังนั้น…เราถึงเข้ากันได้ดี
“นัดกับเพื่อน…” หญิงสาวตวัดเสียง ต่างจากอัญชลีที่คนของแอลทัสคุ้นเคย ต่างจากผู้หญิงตัวเล็กที่ถูกอิมอล์รังแก
เสียงแบบนี้ หน้าตา ท่าทางเช่นนี้…นี่คืออัญชลีตัวจริง
“ใคร เพื่อนที่ไหน” ณัฐสงสัย เพราะรู้ดีว่า…เพื่อนของอีกฝ่ายมีไม่มาก
“สมัยเรียน” หญิงสาวหลบสายตาเสหันมองบรรดาแฟ้มเอกสารบนโต๊ะยาวหน้าโซฟา
“ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องติดต่อ” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามีคำสั่งเช่นนี้ “อีกไม่นานเราก็จะไป…”
“ทำไมต้องไป” และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่อัญชลีตวัดเสียงถาม “ถ้าพี่ณัฐอยากไปก็ไปคนเดียว ทำไมแอนนี่ต้องไปกับพี่ณัฐด้วย”
“สิ่งที่เราทำกันอยู่ เธอคิดว่าถ้าเรื่องแดงขึ้นมาแล้วเธอจะรอดเหรอ”
“แอนนี่ไม่ได้ทำอะไร พี่ณัฐกับไอ้อิมอล์นั่นแหละที่จะไม่รอด! ทำแบบนี้คิดเหรอว่าจะชนะใจคนอื่น จะเอาชนะคนอื่นได้ ต่อให้หนี ก็ต้องหนีไปตลอดชีวิต แอนนี่ไม่เอาด้วยหรอก วิ่งหางจุกตูด…”
ยังไม่ทันจบประโยคหลังคนที่นั่งตัวแข็งบนโซฟาสีเทาตวัดตัวลุกขึ้น ก้าวขายาวเร็ว ไม่สนที่จะปิดบังอาการกระเผลกของขาที่ต่อด้วยขาเทียม เขาปรี่เข้ามาคว้าต้นคอของหญิงสาวกำแน่น
“พูดบ้าอะไร” ณัฐคำราม บีบคอเล็กในอุ้มมือจนร่างเล็กดิ้นพลาดๆ โดยที่เขาไม่สนใจการข่วน หรือการผลักไสอย่างบ้าคลั่งไม่ต่างกัน
และเมื่อบังคับอารมณ์ของตนเองได้แล้ว เขาจึงตวัดมือออกผลักร่างนั้นออกไปเต็มแรง จงใจให้กระแทกกับกำแพงอีกด้าน
“ไอ้บ้า! ไอ้สารเลว! ก็เพราะบ้าอย่างนี้ถึงไม่มีใครรักแก ไม่มีใครอยากอยู่ด้วย ไม่มีใครต้องการแก ผู้หญิงคนไหนๆ ก็ไม่รักแก”
เป็นครั้งแรกที่อัญชลีกล้าตะคอกเช่นนี้ใส่ผู้ที่เธอเคยเห็นว่าเป็นพี่ชายที่เธอรักและนับถือ เพียงแต่ว่าสองสามปีที่ผ่ามานี่ แค่คิดถึงคำว่าพี่ชาย หญิงสาวก็แทบสำลักทุกครั้งไป
จิตใจของณัฐไม่ปรกติ มันเป็นมาตั้งนานแล้ว อาการ…เริ่มหลังจากที่พ่อของเธอแต่งงานกับแม่ของณัฐได้ปีสองปี ตอนนั้นเธอยังเด็กนัก ไม่รับรู้ ไม่เห็น ไม่สนใจ
รู้เพียงว่าเธอมี…พี่ ที่มักจะมีเรื่องให้พ่อและแม่เลี้ยงของเธอปวดหัว ร้อนใจเสมอๆ
ทางออกที่ดีที่สุด คือให้ณัฐไปต่อปริญญาโทฯ ต่างประเทศ
เงินของครอบครัวฐานะปานกลางหมดไปเยอะสำหรับทางออกในครั้งนั้น
จนกระทั่งในที่สุดก็เกิดเรื่อง
และเหมือนจะมีเรื่องไม่หยุดไม่หย่อน ถึงทุกวันนี้
ในเวลานี้ หญิงสาวรู้สึกแปลบตามช่วงแขนที่กระแทกกับกำแพง ก่อนที่ความเจ็บแสบจะกระตุกกระชากให้สั่นสะท้านทั้งตัว ปวดไปทั้งร่างกาย
ณัฐ…ต่างจากภูเก็ตโดยสิ้นเชิง
ร่างกายของหญิงสาวราวจะแตกเป็นเสี่ยงๆ จิตใจของณัฐไม่ปรกติ พอๆ กับบทรักของเขา
อัญชลีลุกขึ้นช้าๆ จากเตียงนอน ไม่แม้จะเหลียวหลังไปมองคนที่ล้มตัวนอนข้างๆ จากหางตาเธอเห็นขาเทียมของเขากระเด็นไปอยู่อีกด้านของห้องนอนเล็กๆ
ขา...ที่ยิ่งสร้างปมในใจของณัฐให้เพิ่มพูน
ปม…ที่หญิงสาวเคยคิดว่าต้องมีสักวนที่แก้ได้ คลายได้ เพียงแต่ว่านับวัน มันยิ่งมัดแน่นเข้าไปทุกที
ความน้อยเนื้อต่ำใจ ความโกรธ อาฆาตแค้น นับวันยิ่งทวีคูณ จนบางทีอัญชลีอดคิดไม่ได้ว่าทำไม ณัฐแค้นใจเพียงนี้เชียวหรือที่ไม่สามารถเทียบเท่าภูเก็ตได้?
นี่เป็นครั้งแรกในหกปีที่เธออยากหัวเราะดังๆ เพียงเพราะว่าเธอมั่นใจนักว่า ณัฐไม่มีส่วนไหนที่จะเท่าเทียมภูเก็ตได้เลย
รูปลักษณ์ คารม ความอ่อนหวาน อ่อนโยน และหลายๆ อย่างในภูเก็ตที่เธอเคยสัมผัสทำให้หญิงสาวมั่นใจ ณัฐเทียบกับภูเก็ตไม่ได้เลยเพียงเสี้ยวธุลีดิน
เพราะในเวลานี้ เธอก็ยังคงคิดถึงแต่ภูเก็ต สายตาที่เหลือบมองร่างของผู้ชายอีกคนภายใต้ผ้าห่มหนานั้น เหยียด…รังเกียจ…ขยะแขยง
ผู้หญิงคนนั้น คงเคยรู้สึกเช่นเดียวกันกับเธอ…มิน่าล่ะ!
(ต่อ)
อาทิตย์อับแสง (บทที่ 28) โดย มานัส
แม้ตั้งใจจะไม่ฟังคำเตือนของหลานชาย แต่คุณหญิงผกามาศก็อดไม่ได้ที่จะหยิบแฟ้มของใบแสดงยอดเงินลงทุนกับธนาคารแอลทัส
“คุณแม่จะเอาไปทำไม”
อนุสรณ์สงสัยเมื่อตอนที่ยื่นแฟ้มเล่มหนา หากคุณหญิงผกามาศชายตามองลูกเลี้ยง ก่อนจะกล่าว
“เงินก็เงินของฉัน หรือว่าฉันไม่มีสิทธิ์รู้”
และการที่ได้รู้ก็ทำให้คุณหญิงตระหนักในความจริงว่า จำนวนเงินที่ปรากฏในใบแจ้งยอดแสดงฐานะทางการจากธนาคารแอลทัส ต่างจากจำนวนที่คิดว่าควรจะเป็นมากนัก
การลงทุนที่ควรจะเพิ่มพูนกลับลดน้อยลง
“ทำไมแยกเป็นสองบัญชี” คำถามเค้นด้วยความสงสัย
“ผมไม่ไว้ใจให้ภูเก็ตดูแลทั้งหมดครับ” อนุสรณ์แจ้งผู้เป็นมารดา
“เธอจะไว้ใจหรือไม่ นั่นไม่ใช่เรื่อง ฉันไม่ได้สั่งให้ย้าย”
“แต่หมิงไว้ใจไม่นะครับคุณแม่ เท่าที่ผมรู้มา ทางแบงก์กำลังสอบสวนเรื่องมีการผ่องถ่ายเงินในบัญชีของลูกค้าออกไปอยู่ ผมเองก็สงสัยเหมือนกันเพราะเงินลงทุนของเราที่อยู่กับแอลทัสลดลงไปมาก”
“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน”
“เป็นไปได้ซิครับ เห็นว่ามีการผ่องถ่ายเงินไปบัญชีที่ธนาคารของเจ้าสัวเกรียงไกร แล้วมีเงินที่โอนไปบัญชีในต่างประเทศอีก ตอนนี้ผมรอผลสอบจากแอลทัสอยู่ แต่ได้สั่งการไปแล้วว่าให้ระงับห้ามมีการเคลื่อนไหวใดๆ กับบัญชีของเรา”
อนุสรณ์เล่าได้เป็นฉากๆ คำพูดเตรียมมาเป็นเดือนแล้วเผื่อว่าวันใดวันหนึ่งคุณท่านถาม เอกสารที่เขายื่นให้หญิงชราก็ถูกจัดเตรียมมาแล้วอย่างดีเช่นกัน
การปลอมแปลงนั้นให้เหมือน หลอกสายตาไม่ให้คนแก่จับพิรุธได้
จริง ฤๅ เท็จ ไม่สำคัญถ้าหลอกคุณท่านได้
รอยยิ้มของเขาคลี่ออกอย่างคนที่กำชัยชนะเมื่อเห็นหน้าของหญิงชรา
“นี่แค่ส่วนหนึ่งที่ทางคุณณัฐส่งมาให้ คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะครับ เราจะต้องจัดการ
เรื่องนี้แน่”
“ฉันไม่เชื่อ!” เสียงเฉียบคมทำให้อีกฝ่ายสะดุ้ง
“มันเป็นความจริงนะครับคุณแม่ เอกสารก็มีให้เห็น แบงก์ก็กำลังสืบอยู่”
“บอกให้เขาหยุด” คำสั่งคล้ายว่าทุกอย่าง…ง่าย “เรื่องนี้ถ้าคนนอกรู้ ฉันเสียหาย”
และคำบอกนั่นทำให้อนุสรณ์แสยะยิ้มอีกครั้ง
คุณท่าน…ห่วงตัวเอง ห่วงชื่อเสียงของตัวเองอยู่ดี
“ผมจะประสานงานกับทางแอลทัสเองครับ คุณแม่ไม่ต้องห่วง” เขาบอกเช่นนั้น โดยมีแต่ตัวเองที่รู้ว่าการประสานก็เพียงแค่กับณัฐ ผู้ดูแลบัญชีที่มีผลประโยชน์ร่วมกับเขาเท่านั้น คำสั่งที่คุณหญิงผกามาศย้ำ ก็เป็นเพียงแค่คำที่ออกมาจากปากของหญิงชรา และอนุสรณ์ก็เลือกที่จะไม่ทำตาม
ถ้าเอาผิดภูเก็ตได้ สื่อก็ต้องเล่นข่าว ไม่มีทางเลี่ยงได้พ้น และเมื่อถึงเวลานั้นคุณหญิงผกามาศจะรับได้สักแค่ไหนกัน
“เรื่องไปถึงไหนแล้ว” อนุสรณ์ถามนายธนาคารอีกหลายวันต่อมา ก่อนจะกำชับความวิตก “อย่าให้สาวมาถึงพวกเราล่ะ”
“คุณทำตามที่ผมบอกก็แล้วกัน” เสียงเฉียบห้วนมีแววไม่พอใจบางอย่าง
“ก็ทำแล้ว ยังมีอะไรต้องทำอีกเหรอ” เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายไม่แน่ใจนัก เพราะการสื่อสารทางวาจาของณัฐช่างเข้าใจยากเหลือเกิน…พูดไม่รู้เรื่อง
หลายทีเรื่องที่เข้าใจกลับกลายเป็นว่าไม่ใช้เช่นนั้น แต่ที่รู้แนน่ชัดคือ ณัฐเกลียดภูเก็ต แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับอนุสรณ์
“อย่าลืมเรื่องลายเซ็นของคุณหญิง…”
นั่นคือหนึ่งอย่างในอีกเรื่องงที่ณัฐย้ำซ้ำซากอย่างรำคาญ และมีหลายอย่างที่ต้องเตือน
คนอย่างอนุสรณ์มีเงิน มีความโลภ แต่ไม่มีความฉลาดเลยสักนิด แต่คนแบบนี้…จูงง่าย และณัฐก็กำลังจูงไปในทางที่เอื้อยผลประโยชน์ บรรลุเป้าหมายของเขาให้เร็วที่สุด ทว่าเร็ว…แค่ไหนก็ไม่เคยเร็วทันใจ
และความคิดนี้ทำให้ณัฐถอนหายใจเมื่อวางสายแล้ว มองไปรอบๆ ตัว
บ้านเล็กหลังเก่าแก่นักในแถบชานเมือง มันทรุดโทรมมาหลายปี แต่เขาไม่เคยคิดซ่อม อาจเพราะไม่มีเวลา หรือว่าเขาคงไม่เคยมองเห็นความสำคัญ
บ้านที่มีแต่ความทรงจำแสนปวดร้าวจะมีค่าอะไร ทุกวันนี้จำต้องอยู่ก็เพื่อ… รอเวลาที่เขาจะไปจากมันตลอดกาล
เมื่อมีเงินมากพอ ให้อยู่ส่วนไหนของมุมโลกเขาก็อยู่ได้
เงินซื้อความสบาย ซื้อทุกอย่างดั่งใจต้องการ แม้ว่ามันอาจจะไม่สามารถซื้อหัวใจของผู้หญิงที่เขารักได้เลย
พลันความคิดหยุดชะงัก มือขวาที่มีรอยแผลเป็นกำแน่น นิ้วของมืออีกข้างกดลงหนักตามรอยแผลที่ลากยาวขึ้นเลยข้อศอก ชายหนุ่มจมอยู่ในห้วงความคิดนานแสนนาน ไม่ได้ยินแม้เสียงก๊อกแก๊กของประตูรั้วด้านนอก จะรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ประตูบานเลื่อนของห้องรับแขกด้านหน้าเปิดออก แต่เขาก็ยังคงนั่งพิงโซฟา ดวงตาแข็งกร้าวมองหญิงสาวผู้เป็นลูกของแม่เลี้ยง
“ออกไปไหนมาทั้งวัน ทำไมกลับมาป่านนี้” ณัฐกระชากเสียงถาม ดวงตาจ้องมองอีกฝ่ายพยายามจับผิด
หน้าตาของอัญชลีดูสดใส ร่าเริงเป็นพิเศษ เป็นความสดใสที่เขาไม่ได้เห็นมานานแสนนาน แล้วไหนชุดกระโปรงรัดรูปสีดำแนบตัวยาวลงมาเหนือเข่าเล็กน้อย ทำให้เห็นแทบทุกสัดส่วนของร่างกาย
อัญชลีเป็นคนสวยถึงขึ้นสวยจัด ยิ่งได้แต่งหน้าแต่งตัวแล้วเธอก็ไม่ต่างจากดารานางแบบ หรือลูกผู้ลากมากดีคนไหน
เพียงแต่ใจ…ที่หน้าตาความสวยไม่สามารถที่จะทดแทนได้
หน้าสวยด้วยรอยยิ้ม แต่ณัฐรู้…ใจของอัญชลีไม่ต่างจากเขา ดังนั้น…เราถึงเข้ากันได้ดี
“นัดกับเพื่อน…” หญิงสาวตวัดเสียง ต่างจากอัญชลีที่คนของแอลทัสคุ้นเคย ต่างจากผู้หญิงตัวเล็กที่ถูกอิมอล์รังแก
เสียงแบบนี้ หน้าตา ท่าทางเช่นนี้…นี่คืออัญชลีตัวจริง
“ใคร เพื่อนที่ไหน” ณัฐสงสัย เพราะรู้ดีว่า…เพื่อนของอีกฝ่ายมีไม่มาก
“สมัยเรียน” หญิงสาวหลบสายตาเสหันมองบรรดาแฟ้มเอกสารบนโต๊ะยาวหน้าโซฟา
“ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องติดต่อ” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามีคำสั่งเช่นนี้ “อีกไม่นานเราก็จะไป…”
“ทำไมต้องไป” และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่อัญชลีตวัดเสียงถาม “ถ้าพี่ณัฐอยากไปก็ไปคนเดียว ทำไมแอนนี่ต้องไปกับพี่ณัฐด้วย”
“สิ่งที่เราทำกันอยู่ เธอคิดว่าถ้าเรื่องแดงขึ้นมาแล้วเธอจะรอดเหรอ”
“แอนนี่ไม่ได้ทำอะไร พี่ณัฐกับไอ้อิมอล์นั่นแหละที่จะไม่รอด! ทำแบบนี้คิดเหรอว่าจะชนะใจคนอื่น จะเอาชนะคนอื่นได้ ต่อให้หนี ก็ต้องหนีไปตลอดชีวิต แอนนี่ไม่เอาด้วยหรอก วิ่งหางจุกตูด…”
ยังไม่ทันจบประโยคหลังคนที่นั่งตัวแข็งบนโซฟาสีเทาตวัดตัวลุกขึ้น ก้าวขายาวเร็ว ไม่สนที่จะปิดบังอาการกระเผลกของขาที่ต่อด้วยขาเทียม เขาปรี่เข้ามาคว้าต้นคอของหญิงสาวกำแน่น
“พูดบ้าอะไร” ณัฐคำราม บีบคอเล็กในอุ้มมือจนร่างเล็กดิ้นพลาดๆ โดยที่เขาไม่สนใจการข่วน หรือการผลักไสอย่างบ้าคลั่งไม่ต่างกัน
และเมื่อบังคับอารมณ์ของตนเองได้แล้ว เขาจึงตวัดมือออกผลักร่างนั้นออกไปเต็มแรง จงใจให้กระแทกกับกำแพงอีกด้าน
“ไอ้บ้า! ไอ้สารเลว! ก็เพราะบ้าอย่างนี้ถึงไม่มีใครรักแก ไม่มีใครอยากอยู่ด้วย ไม่มีใครต้องการแก ผู้หญิงคนไหนๆ ก็ไม่รักแก”
เป็นครั้งแรกที่อัญชลีกล้าตะคอกเช่นนี้ใส่ผู้ที่เธอเคยเห็นว่าเป็นพี่ชายที่เธอรักและนับถือ เพียงแต่ว่าสองสามปีที่ผ่ามานี่ แค่คิดถึงคำว่าพี่ชาย หญิงสาวก็แทบสำลักทุกครั้งไป
จิตใจของณัฐไม่ปรกติ มันเป็นมาตั้งนานแล้ว อาการ…เริ่มหลังจากที่พ่อของเธอแต่งงานกับแม่ของณัฐได้ปีสองปี ตอนนั้นเธอยังเด็กนัก ไม่รับรู้ ไม่เห็น ไม่สนใจ
รู้เพียงว่าเธอมี…พี่ ที่มักจะมีเรื่องให้พ่อและแม่เลี้ยงของเธอปวดหัว ร้อนใจเสมอๆ
ทางออกที่ดีที่สุด คือให้ณัฐไปต่อปริญญาโทฯ ต่างประเทศ
เงินของครอบครัวฐานะปานกลางหมดไปเยอะสำหรับทางออกในครั้งนั้น
จนกระทั่งในที่สุดก็เกิดเรื่อง
และเหมือนจะมีเรื่องไม่หยุดไม่หย่อน ถึงทุกวันนี้
ในเวลานี้ หญิงสาวรู้สึกแปลบตามช่วงแขนที่กระแทกกับกำแพง ก่อนที่ความเจ็บแสบจะกระตุกกระชากให้สั่นสะท้านทั้งตัว ปวดไปทั้งร่างกาย
ณัฐ…ต่างจากภูเก็ตโดยสิ้นเชิง
ร่างกายของหญิงสาวราวจะแตกเป็นเสี่ยงๆ จิตใจของณัฐไม่ปรกติ พอๆ กับบทรักของเขา
อัญชลีลุกขึ้นช้าๆ จากเตียงนอน ไม่แม้จะเหลียวหลังไปมองคนที่ล้มตัวนอนข้างๆ จากหางตาเธอเห็นขาเทียมของเขากระเด็นไปอยู่อีกด้านของห้องนอนเล็กๆ
ขา...ที่ยิ่งสร้างปมในใจของณัฐให้เพิ่มพูน
ปม…ที่หญิงสาวเคยคิดว่าต้องมีสักวนที่แก้ได้ คลายได้ เพียงแต่ว่านับวัน มันยิ่งมัดแน่นเข้าไปทุกที
ความน้อยเนื้อต่ำใจ ความโกรธ อาฆาตแค้น นับวันยิ่งทวีคูณ จนบางทีอัญชลีอดคิดไม่ได้ว่าทำไม ณัฐแค้นใจเพียงนี้เชียวหรือที่ไม่สามารถเทียบเท่าภูเก็ตได้?
นี่เป็นครั้งแรกในหกปีที่เธออยากหัวเราะดังๆ เพียงเพราะว่าเธอมั่นใจนักว่า ณัฐไม่มีส่วนไหนที่จะเท่าเทียมภูเก็ตได้เลย
รูปลักษณ์ คารม ความอ่อนหวาน อ่อนโยน และหลายๆ อย่างในภูเก็ตที่เธอเคยสัมผัสทำให้หญิงสาวมั่นใจ ณัฐเทียบกับภูเก็ตไม่ได้เลยเพียงเสี้ยวธุลีดิน
เพราะในเวลานี้ เธอก็ยังคงคิดถึงแต่ภูเก็ต สายตาที่เหลือบมองร่างของผู้ชายอีกคนภายใต้ผ้าห่มหนานั้น เหยียด…รังเกียจ…ขยะแขยง
ผู้หญิงคนนั้น คงเคยรู้สึกเช่นเดียวกันกับเธอ…มิน่าล่ะ!
(ต่อ)