อาทิตย์อับแสง (บทที่ 10)
มือใหญ่ของคนที่เคยชินกับงานในออฟฟิศ เอื้อมไปแตะที่ก้านแก้วไวน์เพียงเบา ดวงตาคมของใบหน้านิ่งเฉยมองไวน์แดงที่บัดนี้ไหวไปตามแรงหมุน แล้วจึงเหลือบมองทางประตูทางเข้าห้องอาหารอิตาเลี่ยนของโรงแรมหรู
พลันที่เห็นผู้ชายวัยเลยกลางคนเดินเข้ามา โดยมีเหล่าพนักงานเข้าไปไหว้ต้อนรับ ภูเก็ตก็ลุกขึ้นยืนแล้วยกมือไหว้เช่นกัน
การมาของคนซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหารสูงสุดของธนาคารที่ติดอันดับต้นๆ ของประเทศ เรียกความสนใจจากหลายโต๊ะ
ท่านเจ้าสัวมากด้วยทรัพย์พอๆ กับอิทธิพล และแม้ธนาคารจะไม่ติดอันดับต้นๆ แต่ก็แกร่งและมีศักยภาพเพราะมากพอที่จะทำให้เจ้าสัวเกรียงไกรเป็นที่เกรงใจของบุคคลทั่วไป
พนักงานของร้านดูแลเป็นพิเศษ อีกทั้งผู้จัดการโรงแรมก็มาบริการด้วยตัวเอง
“เป็นอย่างไรบ้าง” นั่นเป็นคำถามที่ผู้แก่วัยกว่ามีให้อีกฝ่ายทุกครั้งที่เจอ
“ดีครับ” และนั่นก็เป็นคำตอบที่ภูเก็ตมักจะให้เสมอ คงเหมือนเช่นคำถาม “แล้วคุณลุงล่ะครับ”
สิบกว่าปีที่แล้วเคยเรียกท่านเจ้าสัวอย่าไร บัดนี้เขาก็เรียกเช่นเดิมอย่างนั้น
การสนทนาระหว่างผู้ชายต่างวัยสองคนต่อจากนั้นย่อมมีแตกต่างกันไป คงเช่นการสั่งอาหารและดื่มไวน์ชั้นดีจากฝรั่งเศส จนกระทั่งผู้สูงวัยกว่าถามในเรื่องที่ทั้งคู่...มักคิดถึงเหมือนกัน
“ได้ข่าวจากระรินบ้างไหม”
“ไม่” คำตอบเช่นนี้ของเขามันเป็นเช่นนี้ตลอดห้าปีกว่าที่ผ่านมา
ข่าว…สุดท้ายที่ได้รับก็ เป็นเพียงข้อความสั้นๆ ส่งจากชื่ออีเมล์ที่เขาไม่คุ้นเคย
‘ฉันปลอดภัย และสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้แม้ว่ายังคิดถึงคุณอยู่ แต่ก็ไม่ทรมานเหมือนช่วงแรกๆ เวลาและระยะทางมันช่วยได้ดีทีเดียว…รัก’
รัก…มันจะมีประโยชน์อะไร
‘ผมทำอะไรให้คุณ…’ นั่นคือสิ่งที่เขาได้ถามตัวเอง และได้ส่งอีเมล์ถามหญิงสาว
ทว่าไม่มีคำตอบใดๆ
และตลอดห้าปีที่ผ่านมา…ก็ยังไม่มีคำตอบ
“ระรินโทรฯ มาหาลุงเมื่อวาน” เจ้าสัวเกรียงไกรเอ่ย เห็นแล้วแววประหลาดใจระคนยินดีจากสีหน้าของอีกฝ่าย
“ระรินอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไรบ้างครับ” คำถามนั่นคาดคั้น
“คุยกันได้ไม่กี่นาที แต่ลุงก็บอกไปแล้วว่า…ใจร้าย ใจร้ายกับพ่อกับพี่ๆ แถมยังใจร้ายกับคนที่รัก แต่ระรินไม่พูดอะไรอีกเลย”
“ผมรอระริน รอให้พูด อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าเพราะอะไร ว่าผมทำอะไรลงไปที่ทำให้ระรินต้องหนีไป ถ้าผมมีโอกาสแก้ไข…ถ้าทำได้ก็อยากทำ”
“ลองโทรฯ กลับมาแบบนี้ ไม่แน่…โอกาสของเธอคงจะอีกไม่นาน” เจ้าสัวหัวเราะ “แต่เธอเถอะ จะเคลียร์ตัวเองได้ไหม หรือว่าสามารถให้โอกาสลูกสาวของลุงได้หรือเปล่า”
คำบอกนั่นทำให้คนฟังเพียงหัวเราะในลำคอ ด้วยรู้ว่า คนที่รอโอกาสไม่ใช่ระริน หากเป็นเขาเอง
แม้เสร็จธุระในการ...พบ เจ้าสัวเกรียงไกร มาหลายชั่วโมงแล้ว แต่กว่าภูเก็ตจะกลับเข้ามาที่คอนโดก็เกือบตีสอง
ความคิดเขายังคงจมอยู่กับระริน มันเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่เขาได้พบกับท่านเจ้าสัว เพราะเป้าสนทนาคงไม่พ้นหญิงสาวผู้เป็นยอดดวงใจของคนทั้งสอง
ร่างสูงของภูเก็ตเซเพียงนิดเมื่อก้าวออกจากลิฟต์ ไม่ใช่เพราะฤทธิ์เครื่องดื่มความมึนเมา หากเพราะความรู้สึก
ผู้หญิงที่เขาอยู่ด้วย ไม่ว่าคนไหน
หรือแม้แต่ผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาเพิ่งใช้เวลาสองชั่วโมงอยู่ด้วยกัน ไม่มีใครทำให้เขา...ลืมระรินได้เลย
เพราะภูเก็ตมักเปรียบ
ไม่มีใครเหมือนระริน
เสียงกุกกักจากประตูห้องข้างๆ ทำให้เขาหันไป เห็นร่างบางระหงคุ้นตาเปิดประตูเดินเดินออกมาใกล้แค่เอื้อมมือ
รอยยิ้มละไมคลี่ออกบางๆ บนใบหน้าผุดผ่องนั่นคล้ายแลดูคุ้นเคย คลับคล้ายคลับคลาว่าเขาเคยเห็นที่ไหน
…หมิงดื่มหนักอีกแล้ว นี่หิวไหม เดี๋ยวระรินต้มข้าวต้มให้นะจ๊ะ...
“ระริน…” เขาครางเบาๆ ภายใต้การถอนหายใจ
ร่างสูงก้าวเข้าไปหา มือยกขึ้นตั้งใจจะแตะปอยผมที่สยายลงแตะที่แก้ม พร้อมๆ กับหน้าที่ยื่นเข้าไปเกือบชิด
“อีตาภูเก็ต!”
เสียงตะคอกดังลั่นพร้อม กับการผลักร่างของเขาออกอย่างรุนแรงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัว
เขากระพริบตาสองสามที อยากจะคิดว่าตรงหน้าคือภาพลวงตา เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่
ไม่ใช่ระริน
ไม่ใช่ใครอื่น...นอกจากเกษรา
ภูเก็ตถอยร่นไปเพียงก้าว มองอีกฝ่ายเต็มตา เห็นว่าหญิงสาวในชุดเสื้อยืดตัวใหญ่ กางเกงยืดลำลองขายาวใช้มืออีกข้างที่ว่างเท้าเอว ส่วนมืออีกข้างที่มีถุงขยะเล็กๆ ยื่นออกชี้มาทางเขา และแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่เขาก็เห็นสีแดงระเรื่องบนแก้มของเธอผ่อนกระจ่างชัด
“ไอ้ลามก ไอ้ขี้เมา!” เสียงตวาดลั่นดังแสบแก้วหู จนอีกฝ่ายสะดุ้ง “ไอ้โรคจิต!”
“ผม...ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้...ไม่ใช่แบบนั้น” เขาอึกอัก รู้สึกตะกุกตะกักในคำพูดเหลือเกิน “เกด...หนูปีบ...”
“ใครให้เรียกฉันอย่างนั้น”
“คุณเกษรา” การเอ่ยชื่อไม่เต็มคำ แต่ก็เปล่งชัด แล้วเจ้าตัวจึงหันไปไขกุญแจเปิดประตูห้องพัก “ผม...ผมขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจนะ...หนูปีบ”
การเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงคุ้นเคยนั้นแผ่วเบายิ่งกว่าคำใดๆ ก่อนหน้า
แต่กว่าเกษราจะรู้ตัว ประตูห้องของเขาก็ถูกปิดลงแล้ว
การซุบซิบหรือบทสนทนาลับหลังนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับแวดวงสังคมออฟฟิศ การเมืองที่มีมิตรไมตรีเพียงรอยยิ้มที่สรรค์สร้าง หากไร้ความจริงใจมีบ่อยครั้งในทุกวัน และวันนี้ก็เช่นกันเมื่อข่าวของเขานัดทานข้าวกับเจ้าสัวของธนาคารคู่แข่งนั้นแพร่ออกไป
“สนิทกับท่านเป็นการส่วนตัว” ภูเก็ตได้แจ้งผู้เป็นเจ้านายไปเช่นนั้น
หากก็โดนย้อนกลับ “มันไม่ควร มันผิดกฎระเบียบ”
“การรู้จักคนในแวดวงสังคมมันไม่ผิดนะครับ โดยเฉพาะเมื่อผมมีหน้าที่ที่ต้องออกไปพบเจอคน” การเถียงเช่นนี้จะมีเมื่อเขาเห็นว่าสมควร “อีกอย่างท่านเจ้าสัวคงไม่สนใจข้อมูลลับของฝ่ายเรานักหรอกครับ แบงก์ของท่านน่ะใหญ่กว่าเราเยอะ”
“แล้วไปเจอทำไม ทีหลังเอาณัฐไปด้วย”
คนที่ขึ้นเสียงย่อมรู้…นายธนาคารชื่อดังนั้นมากด้วยบารมี ธนาคารที่แม้จะเป็นเชื้อสายไทยล้วนๆ แต่ก็มีความแข็งแกร่งและมั่นคง พอๆ กับมีอิทธิพล
คนที่จะเข้าไปถึงเจ้าสัวผู้มิใช่แค่ผู้บริหาร แต่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ด้วยย่อมไม่ธรรมดา
“เรื่องส่วนตัวครับ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องงาน อีกอย่างถ้าวันนั้นณัฐเห็นผมนั่งอยู่ก็เข้ามาทักได้” ภูเก็ตเหลือบมองเพื่อนร่วมงานหรือ…ผู้ที่ทำตัวเป็นคู่แข่งของเขา
ท่านั่งของคนๆ นั้นในเก้าอี้ข้างๆ แฝงความมั่นใจบางอย่างที่คล้ายเป็นกระจกสะท้อนให้เห็นตัวเขาเอง
ไม่ใช่…ภูเก็ตย่อมรู้
“ผมคงไม่กล้าทัก” ณัฐบอกด้วยน้ำเสียงแฝงรอยเยาะ สายตานิ่งเย็นชา มองคู่กรณีหัวจรดเท้า “ไม่รู้ว่าคุยเรื่องงานหรือเรื่องลับอะไรกันหรือเปล่า”
“ถ้าเป็นความลับที่ไม่อยากให้ใครรู้ ก็คงไม่โง่ไปคุยในที่พลุกพร่านอย่างนั้น” คราวนี้เขาแสร้งหัวเราะ “คนทำงานที่แบงก์นี้คงไม่มีใครโง่อย่างนั้น และถ้าเป็นเรื่องงานท่านเกรียงไกรก็ไม่ต้องมาคุยกับผมเอง ผมคงไม่สำคัญขนาดนั้น…หรือว่าผมสำคัญ หรือว่าใครกันที่โง่”
แม้จะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงแกมเยาะ หากสีหน้าของเขาเมื่อเดินออกมาข้างนอกห้องของผู้เป็นนายกลับบึ้งตึง กรามขบแน่นราวโกรธจัดจนสาธิณีต้องเข้ามาถามด้วยความเป็นกังวล
“ไม่เป็นไร นายเกลียดเราเพราะเราอาจดีเด่นจนเป็นภัย แต่กับณัฐ…ไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้” ภูเก็ตบอกภายใต้การถอนหายใจ “คนเรามันแปลกกว่าสัตว์ชนิดอื่นก็ตรงนี้…เกลียดโดยไม่มีเหตุผล”
“ไอ้ณัฐนี่ต้องมีปัญหาทางจิต หรือไม่ก็อะไรบางอย่าง” สาธิณีบอก “ แต่มันเหมือนเงาของแกเลยนะ คล้ายกันหลายอย่าง”
“ไม่!” การค้านนั้นหนักแน่น “อย่างน้อยถ้าเราจะรักจะเกลียดใครมันก็ต้องมีเหตุผล”
“ไม่เสมอหรอก บางทีคนเราก็เกลียดกันเพราะแค่เหม็นขี้หน้า ฆ่ากันมานักต่อนักแล้ว และก็บางทีคนเราก็รักกันโดยไม่มีเหตุผล”
“ฉันยังไม่เคยรักใครโดยไม่มีเหตุผล” ภูเก็ตหัวเราะด้วยรู้สึกขบขันจริงๆ
“ไอ้เวร! ก็แต่ละคนที่แกไปรักเขามันสวยๆ ทั้งนั้น”
“ใคร?” แววตานั้นมีรอยฉงน
“ตั้งแต่ฉันรู้จักแก ก็ปาเข้าไปกี่คนแล้ว นิ้วมือไม่พอนับว่ะ”
“สวยที่หน้าตา…”
“เออซิ…” ผู้เป็นเพื่อนและเพื่อนร่วมงานหัวเราะเสียงดัง “เพราะสาวๆ ของแกที่ฉันรู้จักก็เป็นยังงั้นทุกคน”
“ยกเว้นเธอกับอีเจ๊ที่อยู่ในห้อง” คำพูดถึงนายนั้นลงหนัก ราวว่าแม้แต่ชื่อก็ยังไม่อาจเอ่ยถึง
อีเจ๊…ที่เมื่อก่อนตอนที่ยังไม่ก้าวเข้ามาเป็นใหญ่นั้นสนิทกับเขาและสาธิณี เพียงแต่ว่าพอมีอำนาจ คนก็เปลี่ยน ทว่าเปลี่ยนด้วยภายใต้ยิ้มแย้มที่ยังคงมีเขาเท่านั้นที่รู้ว่าใจของนายไม่ได้ยิ้มด้วยเลย
นายคนก่อน…เคยดันเขาขึ้นมาให้โดดเด่น หากพอนายคนก่อนไป ก็ต้องมีคนใหม่เข้ามาแทน ผู้ใหญ่หลายคนเสนอชื่อเขาให้เข้าชิง และผู้ใหญ่หลายคนก็เสนอชื่อ…อีเจ๊ ผู้เป็นเจ้านายของฝ่ายคนปัจจุบัน
เขาแพ้อย่างที่คาดไว้เพราะอายุ และอายุงานที่น้อยกว่า แต่น้ำใจนักกีฬาก็ยังคงอยู่ เขาอยู่เป็นรองได้ เพียงแต่ขอให้ทำงานเป็นทีม ทว่าในตอนนี้ไม่เป็นเช่นนั้น
ดังนั้นจึงไม่แปลกเมื่อมีคำสั่งออกมา “ให้ทีมซีย้ายเข้ามาใต้ทีมบีของณัฐ”
“ก็เพราะแกให้ทีมของแกเน้นที่ตัวแกมากกว่าที่ทีม คนในทีมซีเขาไม่อยากเข้าไปอยู่ตรงนั้น” นั่นคือข้ออ้างของ...อีเจ๊ เมื่อเขาถามถึงเหตุผล
“แต่คนของผมงานล้น”
“ก็ฉันบอกแล้วไงให้แบ่งพอร์ตใหญ่ๆ ของแก มาให้ณัฐ แต่ลูกค้าของแกก็ยึดติดกับตัวแก”
ทีมที่ทำงานดีจนลูกค้าชื่นชอบไม่ยอมไปไหน กลับโดนลงโทษแบบนี้เสียนี่
ความยุติธรรมมีเสียที่ไหน
(ต่อ)
อาทิตย์อับแสง (บทที่ 10) โดย มานัส
มือใหญ่ของคนที่เคยชินกับงานในออฟฟิศ เอื้อมไปแตะที่ก้านแก้วไวน์เพียงเบา ดวงตาคมของใบหน้านิ่งเฉยมองไวน์แดงที่บัดนี้ไหวไปตามแรงหมุน แล้วจึงเหลือบมองทางประตูทางเข้าห้องอาหารอิตาเลี่ยนของโรงแรมหรู
พลันที่เห็นผู้ชายวัยเลยกลางคนเดินเข้ามา โดยมีเหล่าพนักงานเข้าไปไหว้ต้อนรับ ภูเก็ตก็ลุกขึ้นยืนแล้วยกมือไหว้เช่นกัน
การมาของคนซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหารสูงสุดของธนาคารที่ติดอันดับต้นๆ ของประเทศ เรียกความสนใจจากหลายโต๊ะ
ท่านเจ้าสัวมากด้วยทรัพย์พอๆ กับอิทธิพล และแม้ธนาคารจะไม่ติดอันดับต้นๆ แต่ก็แกร่งและมีศักยภาพเพราะมากพอที่จะทำให้เจ้าสัวเกรียงไกรเป็นที่เกรงใจของบุคคลทั่วไป
พนักงานของร้านดูแลเป็นพิเศษ อีกทั้งผู้จัดการโรงแรมก็มาบริการด้วยตัวเอง
“เป็นอย่างไรบ้าง” นั่นเป็นคำถามที่ผู้แก่วัยกว่ามีให้อีกฝ่ายทุกครั้งที่เจอ
“ดีครับ” และนั่นก็เป็นคำตอบที่ภูเก็ตมักจะให้เสมอ คงเหมือนเช่นคำถาม “แล้วคุณลุงล่ะครับ”
สิบกว่าปีที่แล้วเคยเรียกท่านเจ้าสัวอย่าไร บัดนี้เขาก็เรียกเช่นเดิมอย่างนั้น
การสนทนาระหว่างผู้ชายต่างวัยสองคนต่อจากนั้นย่อมมีแตกต่างกันไป คงเช่นการสั่งอาหารและดื่มไวน์ชั้นดีจากฝรั่งเศส จนกระทั่งผู้สูงวัยกว่าถามในเรื่องที่ทั้งคู่...มักคิดถึงเหมือนกัน
“ได้ข่าวจากระรินบ้างไหม”
“ไม่” คำตอบเช่นนี้ของเขามันเป็นเช่นนี้ตลอดห้าปีกว่าที่ผ่านมา
ข่าว…สุดท้ายที่ได้รับก็ เป็นเพียงข้อความสั้นๆ ส่งจากชื่ออีเมล์ที่เขาไม่คุ้นเคย
‘ฉันปลอดภัย และสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้แม้ว่ายังคิดถึงคุณอยู่ แต่ก็ไม่ทรมานเหมือนช่วงแรกๆ เวลาและระยะทางมันช่วยได้ดีทีเดียว…รัก’
รัก…มันจะมีประโยชน์อะไร
‘ผมทำอะไรให้คุณ…’ นั่นคือสิ่งที่เขาได้ถามตัวเอง และได้ส่งอีเมล์ถามหญิงสาว
ทว่าไม่มีคำตอบใดๆ
และตลอดห้าปีที่ผ่านมา…ก็ยังไม่มีคำตอบ
“ระรินโทรฯ มาหาลุงเมื่อวาน” เจ้าสัวเกรียงไกรเอ่ย เห็นแล้วแววประหลาดใจระคนยินดีจากสีหน้าของอีกฝ่าย
“ระรินอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไรบ้างครับ” คำถามนั่นคาดคั้น
“คุยกันได้ไม่กี่นาที แต่ลุงก็บอกไปแล้วว่า…ใจร้าย ใจร้ายกับพ่อกับพี่ๆ แถมยังใจร้ายกับคนที่รัก แต่ระรินไม่พูดอะไรอีกเลย”
“ผมรอระริน รอให้พูด อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าเพราะอะไร ว่าผมทำอะไรลงไปที่ทำให้ระรินต้องหนีไป ถ้าผมมีโอกาสแก้ไข…ถ้าทำได้ก็อยากทำ”
“ลองโทรฯ กลับมาแบบนี้ ไม่แน่…โอกาสของเธอคงจะอีกไม่นาน” เจ้าสัวหัวเราะ “แต่เธอเถอะ จะเคลียร์ตัวเองได้ไหม หรือว่าสามารถให้โอกาสลูกสาวของลุงได้หรือเปล่า”
คำบอกนั่นทำให้คนฟังเพียงหัวเราะในลำคอ ด้วยรู้ว่า คนที่รอโอกาสไม่ใช่ระริน หากเป็นเขาเอง
แม้เสร็จธุระในการ...พบ เจ้าสัวเกรียงไกร มาหลายชั่วโมงแล้ว แต่กว่าภูเก็ตจะกลับเข้ามาที่คอนโดก็เกือบตีสอง
ความคิดเขายังคงจมอยู่กับระริน มันเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่เขาได้พบกับท่านเจ้าสัว เพราะเป้าสนทนาคงไม่พ้นหญิงสาวผู้เป็นยอดดวงใจของคนทั้งสอง
ร่างสูงของภูเก็ตเซเพียงนิดเมื่อก้าวออกจากลิฟต์ ไม่ใช่เพราะฤทธิ์เครื่องดื่มความมึนเมา หากเพราะความรู้สึก
ผู้หญิงที่เขาอยู่ด้วย ไม่ว่าคนไหน
หรือแม้แต่ผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาเพิ่งใช้เวลาสองชั่วโมงอยู่ด้วยกัน ไม่มีใครทำให้เขา...ลืมระรินได้เลย
เพราะภูเก็ตมักเปรียบ
ไม่มีใครเหมือนระริน
เสียงกุกกักจากประตูห้องข้างๆ ทำให้เขาหันไป เห็นร่างบางระหงคุ้นตาเปิดประตูเดินเดินออกมาใกล้แค่เอื้อมมือ
รอยยิ้มละไมคลี่ออกบางๆ บนใบหน้าผุดผ่องนั่นคล้ายแลดูคุ้นเคย คลับคล้ายคลับคลาว่าเขาเคยเห็นที่ไหน
…หมิงดื่มหนักอีกแล้ว นี่หิวไหม เดี๋ยวระรินต้มข้าวต้มให้นะจ๊ะ...
“ระริน…” เขาครางเบาๆ ภายใต้การถอนหายใจ
ร่างสูงก้าวเข้าไปหา มือยกขึ้นตั้งใจจะแตะปอยผมที่สยายลงแตะที่แก้ม พร้อมๆ กับหน้าที่ยื่นเข้าไปเกือบชิด
“อีตาภูเก็ต!”
เสียงตะคอกดังลั่นพร้อม กับการผลักร่างของเขาออกอย่างรุนแรงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัว
เขากระพริบตาสองสามที อยากจะคิดว่าตรงหน้าคือภาพลวงตา เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่
ไม่ใช่ระริน
ไม่ใช่ใครอื่น...นอกจากเกษรา
ภูเก็ตถอยร่นไปเพียงก้าว มองอีกฝ่ายเต็มตา เห็นว่าหญิงสาวในชุดเสื้อยืดตัวใหญ่ กางเกงยืดลำลองขายาวใช้มืออีกข้างที่ว่างเท้าเอว ส่วนมืออีกข้างที่มีถุงขยะเล็กๆ ยื่นออกชี้มาทางเขา และแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่เขาก็เห็นสีแดงระเรื่องบนแก้มของเธอผ่อนกระจ่างชัด
“ไอ้ลามก ไอ้ขี้เมา!” เสียงตวาดลั่นดังแสบแก้วหู จนอีกฝ่ายสะดุ้ง “ไอ้โรคจิต!”
“ผม...ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้...ไม่ใช่แบบนั้น” เขาอึกอัก รู้สึกตะกุกตะกักในคำพูดเหลือเกิน “เกด...หนูปีบ...”
“ใครให้เรียกฉันอย่างนั้น”
“คุณเกษรา” การเอ่ยชื่อไม่เต็มคำ แต่ก็เปล่งชัด แล้วเจ้าตัวจึงหันไปไขกุญแจเปิดประตูห้องพัก “ผม...ผมขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจนะ...หนูปีบ”
การเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงคุ้นเคยนั้นแผ่วเบายิ่งกว่าคำใดๆ ก่อนหน้า
แต่กว่าเกษราจะรู้ตัว ประตูห้องของเขาก็ถูกปิดลงแล้ว
การซุบซิบหรือบทสนทนาลับหลังนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับแวดวงสังคมออฟฟิศ การเมืองที่มีมิตรไมตรีเพียงรอยยิ้มที่สรรค์สร้าง หากไร้ความจริงใจมีบ่อยครั้งในทุกวัน และวันนี้ก็เช่นกันเมื่อข่าวของเขานัดทานข้าวกับเจ้าสัวของธนาคารคู่แข่งนั้นแพร่ออกไป
“สนิทกับท่านเป็นการส่วนตัว” ภูเก็ตได้แจ้งผู้เป็นเจ้านายไปเช่นนั้น
หากก็โดนย้อนกลับ “มันไม่ควร มันผิดกฎระเบียบ”
“การรู้จักคนในแวดวงสังคมมันไม่ผิดนะครับ โดยเฉพาะเมื่อผมมีหน้าที่ที่ต้องออกไปพบเจอคน” การเถียงเช่นนี้จะมีเมื่อเขาเห็นว่าสมควร “อีกอย่างท่านเจ้าสัวคงไม่สนใจข้อมูลลับของฝ่ายเรานักหรอกครับ แบงก์ของท่านน่ะใหญ่กว่าเราเยอะ”
“แล้วไปเจอทำไม ทีหลังเอาณัฐไปด้วย”
คนที่ขึ้นเสียงย่อมรู้…นายธนาคารชื่อดังนั้นมากด้วยบารมี ธนาคารที่แม้จะเป็นเชื้อสายไทยล้วนๆ แต่ก็มีความแข็งแกร่งและมั่นคง พอๆ กับมีอิทธิพล
คนที่จะเข้าไปถึงเจ้าสัวผู้มิใช่แค่ผู้บริหาร แต่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ด้วยย่อมไม่ธรรมดา
“เรื่องส่วนตัวครับ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องงาน อีกอย่างถ้าวันนั้นณัฐเห็นผมนั่งอยู่ก็เข้ามาทักได้” ภูเก็ตเหลือบมองเพื่อนร่วมงานหรือ…ผู้ที่ทำตัวเป็นคู่แข่งของเขา
ท่านั่งของคนๆ นั้นในเก้าอี้ข้างๆ แฝงความมั่นใจบางอย่างที่คล้ายเป็นกระจกสะท้อนให้เห็นตัวเขาเอง
ไม่ใช่…ภูเก็ตย่อมรู้
“ผมคงไม่กล้าทัก” ณัฐบอกด้วยน้ำเสียงแฝงรอยเยาะ สายตานิ่งเย็นชา มองคู่กรณีหัวจรดเท้า “ไม่รู้ว่าคุยเรื่องงานหรือเรื่องลับอะไรกันหรือเปล่า”
“ถ้าเป็นความลับที่ไม่อยากให้ใครรู้ ก็คงไม่โง่ไปคุยในที่พลุกพร่านอย่างนั้น” คราวนี้เขาแสร้งหัวเราะ “คนทำงานที่แบงก์นี้คงไม่มีใครโง่อย่างนั้น และถ้าเป็นเรื่องงานท่านเกรียงไกรก็ไม่ต้องมาคุยกับผมเอง ผมคงไม่สำคัญขนาดนั้น…หรือว่าผมสำคัญ หรือว่าใครกันที่โง่”
แม้จะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงแกมเยาะ หากสีหน้าของเขาเมื่อเดินออกมาข้างนอกห้องของผู้เป็นนายกลับบึ้งตึง กรามขบแน่นราวโกรธจัดจนสาธิณีต้องเข้ามาถามด้วยความเป็นกังวล
“ไม่เป็นไร นายเกลียดเราเพราะเราอาจดีเด่นจนเป็นภัย แต่กับณัฐ…ไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้” ภูเก็ตบอกภายใต้การถอนหายใจ “คนเรามันแปลกกว่าสัตว์ชนิดอื่นก็ตรงนี้…เกลียดโดยไม่มีเหตุผล”
“ไอ้ณัฐนี่ต้องมีปัญหาทางจิต หรือไม่ก็อะไรบางอย่าง” สาธิณีบอก “ แต่มันเหมือนเงาของแกเลยนะ คล้ายกันหลายอย่าง”
“ไม่!” การค้านนั้นหนักแน่น “อย่างน้อยถ้าเราจะรักจะเกลียดใครมันก็ต้องมีเหตุผล”
“ไม่เสมอหรอก บางทีคนเราก็เกลียดกันเพราะแค่เหม็นขี้หน้า ฆ่ากันมานักต่อนักแล้ว และก็บางทีคนเราก็รักกันโดยไม่มีเหตุผล”
“ฉันยังไม่เคยรักใครโดยไม่มีเหตุผล” ภูเก็ตหัวเราะด้วยรู้สึกขบขันจริงๆ
“ไอ้เวร! ก็แต่ละคนที่แกไปรักเขามันสวยๆ ทั้งนั้น”
“ใคร?” แววตานั้นมีรอยฉงน
“ตั้งแต่ฉันรู้จักแก ก็ปาเข้าไปกี่คนแล้ว นิ้วมือไม่พอนับว่ะ”
“สวยที่หน้าตา…”
“เออซิ…” ผู้เป็นเพื่อนและเพื่อนร่วมงานหัวเราะเสียงดัง “เพราะสาวๆ ของแกที่ฉันรู้จักก็เป็นยังงั้นทุกคน”
“ยกเว้นเธอกับอีเจ๊ที่อยู่ในห้อง” คำพูดถึงนายนั้นลงหนัก ราวว่าแม้แต่ชื่อก็ยังไม่อาจเอ่ยถึง
อีเจ๊…ที่เมื่อก่อนตอนที่ยังไม่ก้าวเข้ามาเป็นใหญ่นั้นสนิทกับเขาและสาธิณี เพียงแต่ว่าพอมีอำนาจ คนก็เปลี่ยน ทว่าเปลี่ยนด้วยภายใต้ยิ้มแย้มที่ยังคงมีเขาเท่านั้นที่รู้ว่าใจของนายไม่ได้ยิ้มด้วยเลย
นายคนก่อน…เคยดันเขาขึ้นมาให้โดดเด่น หากพอนายคนก่อนไป ก็ต้องมีคนใหม่เข้ามาแทน ผู้ใหญ่หลายคนเสนอชื่อเขาให้เข้าชิง และผู้ใหญ่หลายคนก็เสนอชื่อ…อีเจ๊ ผู้เป็นเจ้านายของฝ่ายคนปัจจุบัน
เขาแพ้อย่างที่คาดไว้เพราะอายุ และอายุงานที่น้อยกว่า แต่น้ำใจนักกีฬาก็ยังคงอยู่ เขาอยู่เป็นรองได้ เพียงแต่ขอให้ทำงานเป็นทีม ทว่าในตอนนี้ไม่เป็นเช่นนั้น
ดังนั้นจึงไม่แปลกเมื่อมีคำสั่งออกมา “ให้ทีมซีย้ายเข้ามาใต้ทีมบีของณัฐ”
“ก็เพราะแกให้ทีมของแกเน้นที่ตัวแกมากกว่าที่ทีม คนในทีมซีเขาไม่อยากเข้าไปอยู่ตรงนั้น” นั่นคือข้ออ้างของ...อีเจ๊ เมื่อเขาถามถึงเหตุผล
“แต่คนของผมงานล้น”
“ก็ฉันบอกแล้วไงให้แบ่งพอร์ตใหญ่ๆ ของแก มาให้ณัฐ แต่ลูกค้าของแกก็ยึดติดกับตัวแก”
ทีมที่ทำงานดีจนลูกค้าชื่นชอบไม่ยอมไปไหน กลับโดนลงโทษแบบนี้เสียนี่
ความยุติธรรมมีเสียที่ไหน
(ต่อ)