มีหลายคนไถ่ถามกันมาว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.นั้น ควรจะเปลี่ยนชื่อเป็น
"คณะกรรมการการไม่เลือกตั้ง" หรือ "กมต." เลยดีกว่าไหม หลังจากที่มีทีท่ามาหลายครั้ง
จนกระทั่งล่าสุดแถลงอย่างเป็นทางการเรียกร้องให้รัฐบาลเลื่อนการเลือกตั้ง
ทั้งที่ข่าววงในยืนยันว่า ฝ่ายรัฐบาลได้เคยเสนอให้เปลี่ยนสถานที่ในการรับสมัครหรือจับเบอร์
โดยมีหน่วยราชการหลายแห่งที่มีความพร้อม และป้องกันการปิดล้อมจากผู้ประท้วงได้
แต่ กกต.ก็ยืนยันจะใช้ที่เดิม และม็อบก็มาปิดล้อมตามเดิม จนเกิดการปะทะรุนแรง ถึงขั้นมี
ตำรวจต้องเสียชีวิต
แล้ว กกต.ก็ยกเป็นเหตุมาเรียกร้องรัฐบาลเลื่อนการเลือกตั้ง แถมบอกด้วยว่า ถ้าไม่เลื่อน
ก็อาจจะต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง แปลได้ง่ายๆ ว่าเตรียมลาออกนั่นเอง
ความจริงมีบางคนในกรรมการชุดนี้ แสดงท่าทียึกๆ ยักๆ มาตั้งแต่ยังไม่ทันเปิดให้พรรคการเมือง
ยื่นใบสมัครด้วยซ้ำ
แต่คาดเดาได้ไม่ยาก เพราะกรรมการบางคนที่ว่า เคยแสดงทัศนคติของตนเองอย่างเปิดเผย
มาตลอดในระยะหลายปีมานี้ที่บ้านเมืองเราเกิดความขัดแย้งรุนแรง
โดยเคยประกาศตัวเป็นเจ้าของพื้นที่เมืองหลวง ไม่ยินยอมให้คนต่างจังหวัดเข้ามาชุมนุม
ประท้วงเมื่อปี 2553
จนต้องมีนักวิชาการออกมาเตือนสติว่า กรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางการปกครอง ไม่ใช่พื้นที่
จังหวัดของใคร ประเทศไทยนั้นเป็นของทุกคน
ทัศนคติแบบนี้ ดูจะสอดคล้องกับกลุ่มที่กำลังชุมนุมเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นชนชั้นสูงและชนชั้นกลาง
เมืองกรุง ต้องการทวงอำนาจจากมือของประชาชนในชนบท
ดังเช่น ที่พยายามจะสร้างกระแสให้แก้ไขกติกาการเลือกตั้งใหม่ ไม่ควรใช้ระบบ 1 คน 1 เสียง
แล้วยังมีทายาทกิจการใหญ่โต ให้สัมภาษณ์ว่า คนชนบทยังไม่มีความรู้เรื่องประชาธิปไตยพอ
เล่นเอาทั้งผู้บริหารกิจการต้องออกขอโทษประชาชนคนชนบท ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
และต้องเชิญลูกหลานไปเปลี่ยนนามสกุลใหม่ เมื่อไม่ยอมเปลี่ยนความคิดทางการเมืองแบบดู
หมิ่นทางชนชั้น
สงสัย กกต.ท่านนี้ คงเกิดอารมณ์ความรู้สึกร่วมจนระงับไม่อยู่
ทำให้ลืมอำนาจหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ ในฐานะกรรมการการเลือกตั้ง
แม้ว่าคงจะมีข้ออ้างป้องกันตัวเองได้ ทำนองว่าได้พยายามจัดแล้ว แต่เพราะมีประชาชนไม่เห็นด้วย
มาประท้วงจนเกิดความรุนแรง
แต่การไม่ยอมเปลี่ยนสถานที่ อ้างว่าเปลี่ยนไปเขาก็ตามไปล้อมอีก ไม่เกิดประโยชน์
ทั้งที่สถานที่ที่มีการเสนอให้เปลี่ยนไปใช้นั้น เป็นหน่วยราชการที่มีความพร้อมสูงกว่า
สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง
วันนี้สังคมไทยมองเห็นชัดเจนทะลุปรุโปร่งแล้วว่า การที่กลุ่มชุมนุมเคลื่อนไหวยืนยันไม่ยอม
ให้มีการเลือกตั้งขณะนี้ มีพรรคการเมืองใหญ่สนองรับด้วยการบอยคอต
ทีแรกจัดม็อบหนึ่งมาปิดล้อมสถานที่สมัคร แล้วคงเกรงผลกระทบเป็นตราบาปประทับ
พรรคการเมือง เลยสับเปลี่ยนหน่วยกำลังมาปิดล้อมแทน
มาล่าสุดท่าทีของ กกต.ที่ออกมาเช่นนี้ ช่วยไม่ได้ที่จะถูกมองว่าไปในทิศทางเดียวกัน
สังคมนั้น มีสิทธิคิดต่างกันได้
แต่อย่าลืมว่าสิทธิในการเลือกตั้ง เป็นพื้นฐานสำคัญของสิทธิทางการเมืองที่ประชาชนใน
ประเทศประชาธิปไตยต้องมี
คิดไม่เหมือนกันอย่างไรก็ตาม
การห้ามหรือปิดกั้นสิทธิของคน 48 ล้านนั้น ถือว่ารุนแรงที่สุด
(ที่มา:มติชนรายวัน 27 ธ.ค.2556)
ร่วมเป็นแฟนเพจเฟซบุ๊กกับมติชนออนไลน์
www.facebook.com/MatichonOnline
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1388141028&grpid=&catid=02&subcatid=0207
เห็นด้วยไหม เปลี่ยน กกต. เป็นกมต. เพื่อให้สมกับการทำหน้าที่
กกต.หรือ กมต. โดย สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 มติชนออนไลน์ ... ตามมาอ่านกัน กมต. คืออะไร ????
"คณะกรรมการการไม่เลือกตั้ง" หรือ "กมต." เลยดีกว่าไหม หลังจากที่มีทีท่ามาหลายครั้ง
จนกระทั่งล่าสุดแถลงอย่างเป็นทางการเรียกร้องให้รัฐบาลเลื่อนการเลือกตั้ง
ทั้งที่ข่าววงในยืนยันว่า ฝ่ายรัฐบาลได้เคยเสนอให้เปลี่ยนสถานที่ในการรับสมัครหรือจับเบอร์
โดยมีหน่วยราชการหลายแห่งที่มีความพร้อม และป้องกันการปิดล้อมจากผู้ประท้วงได้
แต่ กกต.ก็ยืนยันจะใช้ที่เดิม และม็อบก็มาปิดล้อมตามเดิม จนเกิดการปะทะรุนแรง ถึงขั้นมี
ตำรวจต้องเสียชีวิต
แล้ว กกต.ก็ยกเป็นเหตุมาเรียกร้องรัฐบาลเลื่อนการเลือกตั้ง แถมบอกด้วยว่า ถ้าไม่เลื่อน
ก็อาจจะต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง แปลได้ง่ายๆ ว่าเตรียมลาออกนั่นเอง
ความจริงมีบางคนในกรรมการชุดนี้ แสดงท่าทียึกๆ ยักๆ มาตั้งแต่ยังไม่ทันเปิดให้พรรคการเมือง
ยื่นใบสมัครด้วยซ้ำ
แต่คาดเดาได้ไม่ยาก เพราะกรรมการบางคนที่ว่า เคยแสดงทัศนคติของตนเองอย่างเปิดเผย
มาตลอดในระยะหลายปีมานี้ที่บ้านเมืองเราเกิดความขัดแย้งรุนแรง
โดยเคยประกาศตัวเป็นเจ้าของพื้นที่เมืองหลวง ไม่ยินยอมให้คนต่างจังหวัดเข้ามาชุมนุม
ประท้วงเมื่อปี 2553
จนต้องมีนักวิชาการออกมาเตือนสติว่า กรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางการปกครอง ไม่ใช่พื้นที่
จังหวัดของใคร ประเทศไทยนั้นเป็นของทุกคน
ทัศนคติแบบนี้ ดูจะสอดคล้องกับกลุ่มที่กำลังชุมนุมเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นชนชั้นสูงและชนชั้นกลาง
เมืองกรุง ต้องการทวงอำนาจจากมือของประชาชนในชนบท
ดังเช่น ที่พยายามจะสร้างกระแสให้แก้ไขกติกาการเลือกตั้งใหม่ ไม่ควรใช้ระบบ 1 คน 1 เสียง
แล้วยังมีทายาทกิจการใหญ่โต ให้สัมภาษณ์ว่า คนชนบทยังไม่มีความรู้เรื่องประชาธิปไตยพอ
เล่นเอาทั้งผู้บริหารกิจการต้องออกขอโทษประชาชนคนชนบท ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
และต้องเชิญลูกหลานไปเปลี่ยนนามสกุลใหม่ เมื่อไม่ยอมเปลี่ยนความคิดทางการเมืองแบบดู
หมิ่นทางชนชั้น
สงสัย กกต.ท่านนี้ คงเกิดอารมณ์ความรู้สึกร่วมจนระงับไม่อยู่
ทำให้ลืมอำนาจหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ ในฐานะกรรมการการเลือกตั้ง
แม้ว่าคงจะมีข้ออ้างป้องกันตัวเองได้ ทำนองว่าได้พยายามจัดแล้ว แต่เพราะมีประชาชนไม่เห็นด้วย
มาประท้วงจนเกิดความรุนแรง
แต่การไม่ยอมเปลี่ยนสถานที่ อ้างว่าเปลี่ยนไปเขาก็ตามไปล้อมอีก ไม่เกิดประโยชน์
ทั้งที่สถานที่ที่มีการเสนอให้เปลี่ยนไปใช้นั้น เป็นหน่วยราชการที่มีความพร้อมสูงกว่า
สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง
วันนี้สังคมไทยมองเห็นชัดเจนทะลุปรุโปร่งแล้วว่า การที่กลุ่มชุมนุมเคลื่อนไหวยืนยันไม่ยอม
ให้มีการเลือกตั้งขณะนี้ มีพรรคการเมืองใหญ่สนองรับด้วยการบอยคอต
ทีแรกจัดม็อบหนึ่งมาปิดล้อมสถานที่สมัคร แล้วคงเกรงผลกระทบเป็นตราบาปประทับ
พรรคการเมือง เลยสับเปลี่ยนหน่วยกำลังมาปิดล้อมแทน
มาล่าสุดท่าทีของ กกต.ที่ออกมาเช่นนี้ ช่วยไม่ได้ที่จะถูกมองว่าไปในทิศทางเดียวกัน
สังคมนั้น มีสิทธิคิดต่างกันได้
แต่อย่าลืมว่าสิทธิในการเลือกตั้ง เป็นพื้นฐานสำคัญของสิทธิทางการเมืองที่ประชาชนใน
ประเทศประชาธิปไตยต้องมี
คิดไม่เหมือนกันอย่างไรก็ตาม
การห้ามหรือปิดกั้นสิทธิของคน 48 ล้านนั้น ถือว่ารุนแรงที่สุด
(ที่มา:มติชนรายวัน 27 ธ.ค.2556)
ร่วมเป็นแฟนเพจเฟซบุ๊กกับมติชนออนไลน์
www.facebook.com/MatichonOnline
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1388141028&grpid=&catid=02&subcatid=0207
เห็นด้วยไหม เปลี่ยน กกต. เป็นกมต. เพื่อให้สมกับการทำหน้าที่