เมื่อวันพุธ (27-11-2013) ที่ผ่านมา มีสาวลูกครึ่งเยอรมันเชิญไปกินข้าวเย็นที่ร้าน Rossini's ห้องอาหารอิตาเลี่ยนในโรงแรม Sheraton Grande
ด้วยความมั่นใจว่าเวลาหกโมงครึ่งที่นัดกินข้าวเย็น ร้านเปิด หกโมง [เบนชอบกินอาหารเย็นเร็วหน่อยค่ะ เพราะถ้ากินดึกและกินเยอะแบบที่กินอยู่ทุกวันนี้คงได้กลิ้งแทนเดิน (กินเร็วมันช่วยจริงๆนะ)] กทม รถติดชัวร์ ก็นั่ง BTS แทน เพราะว่าสถานีอโศกเชื่อมกับโรงแรมเลย
โดยปกติแล้วเบนจะไม่ค่อยกินข้าวโรงแรมเองเท่าไหร เพราะว่าก็เพิ่งเริ่มทำงาน เงินก็ไม่ได้มีมากอะไร จะกินก็เฉพาะเวลาไปกับพ่อแม่ แต่พอมานั่งดูจริงๆ ราคาในเมนูก็ไม่ได้แพงกว่าร้านอาหารอิตาเลี่ยนดีดีข้างนอกเท่าไหรเลย ไปถึงหกโมงครึ่งพอดีเวลาเป๊ะ ก็มีฝรั่งสองคนยืนอยู่หน้าร้าน แต่ไม่น่าเชื่อว่าฝรั่งคนหนึ่งที่เป็น Manager F&B จะจำเบนได้ทั้งที่เคยมาแค่ครั้งเดียว ประทับใจจริงๆ หลังจากนั้นเค้าก็พาเข้าไปนั่งข้างใน ซึ่งวันนี้เบนเอาน้องชายมากินด้วยกัน เพราะจะได้ลองได้หลายๆอย่าง แถมน้องชายตามใจ จะสั่งอะไรก็ได้ เลือกได้หมด
ตาม style ร้านหรูบนโรงแรม บรรยากาศก็ต้องสลัวๆหน่อย แล้วที่นี้ก็ formal มาก แต่บริการนั้นเป็นกันเอง คนเสิร์ฟน่ารักทุกคน เรื่อง service นี่ประทับใจมากสำหรับที่นี้
อยากแรกที่ได้ตาม style ร้านอิตาเลี่ยนก็ต้องมีขนมปัง ของที่นี้เค้าให้คนละครึ่งก้อน ซึ่งก้อนหนึ่งมีถึง 4 รสชาติ มาแบบร้อนๆ ถ้าหิวนี่กินหมดได้ เพราะน้องชายเบนกินเกือบหมด 555 เพราะรสชาติดีกว่าขนมปังอิตาเลี่ยนทั่วไป
หลังจากนั้น chef ก็ออกมาทักทาย แล้วก็แนะนำเมนูอาหารว่าควรจะสั่งอะไร อยากให้ลองอะไร ซึ่ง chef ว่าไงก็คงต้องว่างั้น จัดไป
ก็อีกนั้นแหละ เพื่อทำให้เรารู้สึกว่าเป็นคนพิเศษ ก็ต้องมีของฟรีมาให้กินก่อน นั้นก็คือ Vitello Tonato ซึ่งเป็นเนื้อลูกวัว slide บางราดด้วยซอสทูน่า จานนี้เป็นจานของแคว้น Piemonte ซึ่งเบนทานบ่อยมาก แต่เมืองไทยไม่ค่อยมีให้ทานเท่าไหร
แล้วก็เริ่มของจริงด้วย Antipasti 2 อย่าง คือ
Cappesante scottate, covolfiori caramellizati con vaniglia e olive taggiasche 560 บาท
= seared scallops, caramelised cauliflowers scented with vanilla, taggiasche olives
เค้าบอกว่าตัวนี้หอยสดมาจาก Hokkaido หอยตัวใหญ่รสหวาน ซอสเค้าจะเบาๆรสชาติไม่ค่อยจัดมาก จานนี้สำหรับคนที่ชอบทานรสอ่อน
fegato grasso d'oca in padella, zucca amarelti 790 บาท
= seared goosed liver, pumpkin espuma, amaretti crumble
ซอสของ foie gras ซึ่งทำเป็นโฟมเบาๆจากฟังทองนั้นเบนไม่เคยกินที่ไหนมาก่อน ซึ่งเบนว่าเข้ากับตับห่านได้ดีมาก ลงตัว แต่ว่าตัวตับห่านเองนั้นถึงจะความสุกกำลังดี แต่ว่าเนื้อด้านในเละๆ ไม่จับตัวกันเป็นก้อน สำหรับเบนเสียคะแนนตรงนี้ไม่พอควร
ก่อนจะไปถึง primi ที่นี้ chef เค้าภูมิใจเสนอ Zuppa di carrciofi con parmigiano 24 mesi (480 บาท)
= "Tuscan" artichoke soup with 24 month aged parmesan
ปกติเมนูซุปจะเป็นเมนูที่เบนหลีกเลี่ยงจะไม่สั่งเวลากินอาหารอิตาเลี่ยนเท่าไหร เพราะซุปอิตาเลี่ยนกินทีไหรก็ไม่เห็นจะอร่อยสักที สู้ฝรั่งเศสไม่ได้ แต่เชฟแบบว่าขยั่นขยอมาก จะไม่ลองก็ไ่ได้ เพราะฉะนั้นก็ลอง ก็ถือว่าออกมาได้ดีกว่าที่คิด คำอธิบายรสชาติก็คือ ซุปรสอาจิโชกรสชาติอ่อนๆ ชีสไม่ได้มีความเด่นเท่าไหร ใส่มาเป็นฟองๆนิดๆด้านบน แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ เติมเนื้อ Artichoke เข้าไปจะดีมาก
ต่อด้วย Primi ในโต๊ะนั้นนั่งกัน 3 คน แต่เราขอให้ chef มาแบบ portion เล็กแบ่งมาให้เราเลย จะได้ไม่ต้องตักแบ่งกันเองตรงกลาง เพราะฉะนั้นภาพที่เห็นจะไม่ใช้ขนาดจริงเวลาที่ไปสั่งแบบปกตินะค่ะ ที่นี้จะสามารถเลือกเป็น size : appetizer or main ซึ่งราคาก็จะแตกต่างกัน
Linguine alle congole, basilico e zuchini (Appetizer 460 บาท : Main 670 บาท)
= linguine with clams, white wine, basil and zucchini
เส้นลวกได้กำลังดี ไม่ถึงกับ aldente แต่ว่าจานนี้ก็รสชาติอ่อนอีกแล้ว ต้องเกลือเพิ่มถึงจะพอไหว เบนว่าธรรมดาๆ ไม่น่าตื่นเต้นสำหรับคอ vongole ทั้งหลาย
Pansotti di arrosto di vitello al tartufo (Appetizer 460 บาท : Main 670 บาท)
= home made "pansotti" filled with roasted veal, truffle sauce
จานนี้เป็น hi-light ของมื้อนี้เลย ทั้งเบนและน้องชายยกให้เป็นจานโปรดของมื้อ pansotti นั้นคล้ายกับ ravioli เป็นเส้นที่ยัดไส้ด้วยเนื้อลูกวัว ราด้ด้วยซอสครีม truffle แล้วสีแดงๆนั้นเป็นฟอง beetroot ทุกอย่างเข้ากันได้อย่างลงตัว ซอสเค้าเด็ดจริงๆ
ในที่สุดก็มาถึง main เอาจริงๆเลือกชุดมาผิดมาก เพราะว่ารัดรูปและไม่สามารถขยายได้ มาถึงตอนนี้เริ่มหายใจไม่ออก
ถ้าใครเคยตามอ่านเรื่องอื่นๆของเบนก็จะรู้ว่าเบนชอบกินเนื้อเป็นชีวิตจิตใจ แต่เชฟอีกนั้นแหละ ดูท่าจะไม่ยอมให้กินเนื้อ บอกว่าเนื้อมันธรรมดา หากินที่ไหนก็ได้ เออออก็ได้ กินตามที่คุณบอกก็ได้ ก็เลยกลายเป็น
Meruzzo nero, espuma di patata, polvere di San Daniele ( 920 บาท ) ตามเดิมว่าในรูป size เล็กกว่าปกติ
= black cod with potato foam and San Daniele ham powder alfredo russo for rossini's
ปลาสุกกำลังดี แต่รสชาติค่อนข้างจืด โชคดีที่มีผง ham เค็มๆโรยมาข้างบนช่วยเอาไว้
จานนี้เป็นแกะที่ทำด้วยวิธีการ sous vide เนื้อแกะนุ่ม texture ออกมาดีมาก แต่โดยส่วนตัวเบนแล้วชอบกินแกะที่กลิ่นแรงๆ แต่จานนี้ไม่มีกลิ่นเลย ถ้าใครชอบกินแกะแบบไม่มีกลิ่น จานนี้ใช่สำหรับคุณ
มื้ออาหารจะจบไม่ได้ถ้าไม่ได้กินของหวาน เบนก็จัดการสั่งให้ทั้งตัวเองและน้องชาย
คงจะไม่มีใครทายถูกว่าจานนี้คืออะไรแน่นอน
จานนี้คือ Banoffee จานนี้ก็อีกแล้วเชฟภูมิใจมากเป็นผลงานสร้างสรรค์ของเค้า ตอนเค้าถามว่าเป็นไงบ้าง ตอบได้คำเดียวว่า "It's different"
มันเหมือน panacotta รสกล้วย คู่กับผง chocolate แล้วก็มี sorbet รสมะม่วง กล้วย มะละกอ วางมาข้างๆ ซึ่งก็ไม่ได้คิดว่ามันเค้ากันเท่าไหร
Tiramisu (320 บาท)
ที่ใหญ่มาก tiramisu ที่นี้เป็นแบบเบาๆ ถ้าไม่อิ่มมากก็คงกินไปเรื่อยๆได้ แต่เหมาะกับการแบ่งสองมากกว่า
สรุป
ร้านนี้เบนประทับใจกับการบริการมากเป็นพิเศษ
อาหารนั้นใช้ได้ เค้าเลือกวัตถุดิบมาอย่างดี ถ้าวันนั้นอะไรมาสดๆเค้าก็จะแนะนำให้กินตัวนั้น
เมนูแนะนำ Pansotti
[SR] review : Rossini's อีกหนึ่งร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่มีคุณภาพ
ด้วยความมั่นใจว่าเวลาหกโมงครึ่งที่นัดกินข้าวเย็น ร้านเปิด หกโมง [เบนชอบกินอาหารเย็นเร็วหน่อยค่ะ เพราะถ้ากินดึกและกินเยอะแบบที่กินอยู่ทุกวันนี้คงได้กลิ้งแทนเดิน (กินเร็วมันช่วยจริงๆนะ)] กทม รถติดชัวร์ ก็นั่ง BTS แทน เพราะว่าสถานีอโศกเชื่อมกับโรงแรมเลย
โดยปกติแล้วเบนจะไม่ค่อยกินข้าวโรงแรมเองเท่าไหร เพราะว่าก็เพิ่งเริ่มทำงาน เงินก็ไม่ได้มีมากอะไร จะกินก็เฉพาะเวลาไปกับพ่อแม่ แต่พอมานั่งดูจริงๆ ราคาในเมนูก็ไม่ได้แพงกว่าร้านอาหารอิตาเลี่ยนดีดีข้างนอกเท่าไหรเลย ไปถึงหกโมงครึ่งพอดีเวลาเป๊ะ ก็มีฝรั่งสองคนยืนอยู่หน้าร้าน แต่ไม่น่าเชื่อว่าฝรั่งคนหนึ่งที่เป็น Manager F&B จะจำเบนได้ทั้งที่เคยมาแค่ครั้งเดียว ประทับใจจริงๆ หลังจากนั้นเค้าก็พาเข้าไปนั่งข้างใน ซึ่งวันนี้เบนเอาน้องชายมากินด้วยกัน เพราะจะได้ลองได้หลายๆอย่าง แถมน้องชายตามใจ จะสั่งอะไรก็ได้ เลือกได้หมด
ตาม style ร้านหรูบนโรงแรม บรรยากาศก็ต้องสลัวๆหน่อย แล้วที่นี้ก็ formal มาก แต่บริการนั้นเป็นกันเอง คนเสิร์ฟน่ารักทุกคน เรื่อง service นี่ประทับใจมากสำหรับที่นี้
อยากแรกที่ได้ตาม style ร้านอิตาเลี่ยนก็ต้องมีขนมปัง ของที่นี้เค้าให้คนละครึ่งก้อน ซึ่งก้อนหนึ่งมีถึง 4 รสชาติ มาแบบร้อนๆ ถ้าหิวนี่กินหมดได้ เพราะน้องชายเบนกินเกือบหมด 555 เพราะรสชาติดีกว่าขนมปังอิตาเลี่ยนทั่วไป
หลังจากนั้น chef ก็ออกมาทักทาย แล้วก็แนะนำเมนูอาหารว่าควรจะสั่งอะไร อยากให้ลองอะไร ซึ่ง chef ว่าไงก็คงต้องว่างั้น จัดไป
ก็อีกนั้นแหละ เพื่อทำให้เรารู้สึกว่าเป็นคนพิเศษ ก็ต้องมีของฟรีมาให้กินก่อน นั้นก็คือ Vitello Tonato ซึ่งเป็นเนื้อลูกวัว slide บางราดด้วยซอสทูน่า จานนี้เป็นจานของแคว้น Piemonte ซึ่งเบนทานบ่อยมาก แต่เมืองไทยไม่ค่อยมีให้ทานเท่าไหร
แล้วก็เริ่มของจริงด้วย Antipasti 2 อย่าง คือ
Cappesante scottate, covolfiori caramellizati con vaniglia e olive taggiasche 560 บาท
= seared scallops, caramelised cauliflowers scented with vanilla, taggiasche olives
เค้าบอกว่าตัวนี้หอยสดมาจาก Hokkaido หอยตัวใหญ่รสหวาน ซอสเค้าจะเบาๆรสชาติไม่ค่อยจัดมาก จานนี้สำหรับคนที่ชอบทานรสอ่อน
fegato grasso d'oca in padella, zucca amarelti 790 บาท
= seared goosed liver, pumpkin espuma, amaretti crumble
ซอสของ foie gras ซึ่งทำเป็นโฟมเบาๆจากฟังทองนั้นเบนไม่เคยกินที่ไหนมาก่อน ซึ่งเบนว่าเข้ากับตับห่านได้ดีมาก ลงตัว แต่ว่าตัวตับห่านเองนั้นถึงจะความสุกกำลังดี แต่ว่าเนื้อด้านในเละๆ ไม่จับตัวกันเป็นก้อน สำหรับเบนเสียคะแนนตรงนี้ไม่พอควร
ก่อนจะไปถึง primi ที่นี้ chef เค้าภูมิใจเสนอ Zuppa di carrciofi con parmigiano 24 mesi (480 บาท)
= "Tuscan" artichoke soup with 24 month aged parmesan
ปกติเมนูซุปจะเป็นเมนูที่เบนหลีกเลี่ยงจะไม่สั่งเวลากินอาหารอิตาเลี่ยนเท่าไหร เพราะซุปอิตาเลี่ยนกินทีไหรก็ไม่เห็นจะอร่อยสักที สู้ฝรั่งเศสไม่ได้ แต่เชฟแบบว่าขยั่นขยอมาก จะไม่ลองก็ไ่ได้ เพราะฉะนั้นก็ลอง ก็ถือว่าออกมาได้ดีกว่าที่คิด คำอธิบายรสชาติก็คือ ซุปรสอาจิโชกรสชาติอ่อนๆ ชีสไม่ได้มีความเด่นเท่าไหร ใส่มาเป็นฟองๆนิดๆด้านบน แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ เติมเนื้อ Artichoke เข้าไปจะดีมาก
ต่อด้วย Primi ในโต๊ะนั้นนั่งกัน 3 คน แต่เราขอให้ chef มาแบบ portion เล็กแบ่งมาให้เราเลย จะได้ไม่ต้องตักแบ่งกันเองตรงกลาง เพราะฉะนั้นภาพที่เห็นจะไม่ใช้ขนาดจริงเวลาที่ไปสั่งแบบปกตินะค่ะ ที่นี้จะสามารถเลือกเป็น size : appetizer or main ซึ่งราคาก็จะแตกต่างกัน
Linguine alle congole, basilico e zuchini (Appetizer 460 บาท : Main 670 บาท)
= linguine with clams, white wine, basil and zucchini
เส้นลวกได้กำลังดี ไม่ถึงกับ aldente แต่ว่าจานนี้ก็รสชาติอ่อนอีกแล้ว ต้องเกลือเพิ่มถึงจะพอไหว เบนว่าธรรมดาๆ ไม่น่าตื่นเต้นสำหรับคอ vongole ทั้งหลาย
Pansotti di arrosto di vitello al tartufo (Appetizer 460 บาท : Main 670 บาท)
= home made "pansotti" filled with roasted veal, truffle sauce
จานนี้เป็น hi-light ของมื้อนี้เลย ทั้งเบนและน้องชายยกให้เป็นจานโปรดของมื้อ pansotti นั้นคล้ายกับ ravioli เป็นเส้นที่ยัดไส้ด้วยเนื้อลูกวัว ราด้ด้วยซอสครีม truffle แล้วสีแดงๆนั้นเป็นฟอง beetroot ทุกอย่างเข้ากันได้อย่างลงตัว ซอสเค้าเด็ดจริงๆ
ในที่สุดก็มาถึง main เอาจริงๆเลือกชุดมาผิดมาก เพราะว่ารัดรูปและไม่สามารถขยายได้ มาถึงตอนนี้เริ่มหายใจไม่ออก
ถ้าใครเคยตามอ่านเรื่องอื่นๆของเบนก็จะรู้ว่าเบนชอบกินเนื้อเป็นชีวิตจิตใจ แต่เชฟอีกนั้นแหละ ดูท่าจะไม่ยอมให้กินเนื้อ บอกว่าเนื้อมันธรรมดา หากินที่ไหนก็ได้ เออออก็ได้ กินตามที่คุณบอกก็ได้ ก็เลยกลายเป็น
Meruzzo nero, espuma di patata, polvere di San Daniele ( 920 บาท ) ตามเดิมว่าในรูป size เล็กกว่าปกติ
= black cod with potato foam and San Daniele ham powder alfredo russo for rossini's
ปลาสุกกำลังดี แต่รสชาติค่อนข้างจืด โชคดีที่มีผง ham เค็มๆโรยมาข้างบนช่วยเอาไว้
จานนี้เป็นแกะที่ทำด้วยวิธีการ sous vide เนื้อแกะนุ่ม texture ออกมาดีมาก แต่โดยส่วนตัวเบนแล้วชอบกินแกะที่กลิ่นแรงๆ แต่จานนี้ไม่มีกลิ่นเลย ถ้าใครชอบกินแกะแบบไม่มีกลิ่น จานนี้ใช่สำหรับคุณ
มื้ออาหารจะจบไม่ได้ถ้าไม่ได้กินของหวาน เบนก็จัดการสั่งให้ทั้งตัวเองและน้องชาย
คงจะไม่มีใครทายถูกว่าจานนี้คืออะไรแน่นอน
จานนี้คือ Banoffee จานนี้ก็อีกแล้วเชฟภูมิใจมากเป็นผลงานสร้างสรรค์ของเค้า ตอนเค้าถามว่าเป็นไงบ้าง ตอบได้คำเดียวว่า "It's different"
มันเหมือน panacotta รสกล้วย คู่กับผง chocolate แล้วก็มี sorbet รสมะม่วง กล้วย มะละกอ วางมาข้างๆ ซึ่งก็ไม่ได้คิดว่ามันเค้ากันเท่าไหร
Tiramisu (320 บาท)
ที่ใหญ่มาก tiramisu ที่นี้เป็นแบบเบาๆ ถ้าไม่อิ่มมากก็คงกินไปเรื่อยๆได้ แต่เหมาะกับการแบ่งสองมากกว่า
สรุป
ร้านนี้เบนประทับใจกับการบริการมากเป็นพิเศษ
อาหารนั้นใช้ได้ เค้าเลือกวัตถุดิบมาอย่างดี ถ้าวันนั้นอะไรมาสดๆเค้าก็จะแนะนำให้กินตัวนั้น
เมนูแนะนำ Pansotti