ร้านอิตาเลี่ยน ร้านไหนว่าดัง ร้านไหนว่าเด็ด เบนต้องตรากตำไปให้ได้ ไม่ว่าจะในประเทศไทยหรือว่าที่อิตาลีเอง จะถูกจะแพงไม่สำคัญ(ล้อเล่น สำคัญนิดหน่อยตอนแพง) โดยมีข้ออ้างให้ตัวเองเสมอว่า “เราทำเพื่องาน” เราจะต้องไปลองด้วยตัวเองก่อนที่จะพาลูกค้า Fove Food Tour ไป มันช่างเป็นข้ออ้างในการใช้เงินลงทุนที่ทำให้การไปกินอาหารแพงๆแล้วไม่รู้สึกผิดที่ดีที่สุด
เบนได้มีโอกาสไปกินร้านนี้เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2013 หลังจากที่นำทริปลูกค้าที่แสนจะน่ารักของ Fove Food Tour แบบ private มาก คือ แค่ 3 คนไป แยกย้ายกันที่ Milan แล้วเบนก็กระโดดขึ้นรถไฟจาก Milan ลงมาที่แคว้น Campania ทางตอนใต้ของอิตาลี เพื่อทำการสำรวจร้านอาหาร ที่เที่ยว และที่พัก สำหรับทริปปี 2014
เมืองหลักๆที่ไปสำรวจในครั้งนี้ คือ Amalfi Coast, Capri and Sorrento เพราะว่า Napoli เคยไปกับครอบครัวแล้ว และก็ยังไปทริปสำรวจอาหารกับมหาลัยด้วย ร้านพิซซ่าร้านไหนเด็ดสุดใน Napoli เบนไปลองมาเรียบร้อย
ประทับใจมากกับอาหารทางตอนใต้ ปกติเบนจะคุ้นเคยกับอาหารทางตอนเหนือ ซึ่งมีเอกลักษณ์ คือพวกเนื้อสัตว์ cheese และ cured meat แต่พอมาทางตอนใต้ เอกลักษณ์คืออาหารสด ไม่ว่าจะอาหารทะเล ผัก ผลไม้ ทุกอย่างสดและรสชาติเข้มข้นถึงใจมาก อร่อยเกือบทุกมื้อแต่ก็มีมื้อที่พลาดบ้างเหมือนกัน
มาว่าถึงร้าน Torre del Saracino ร้านนี้เป็นร้านอาหารที่ได้รับ 2 Michelin star (สำหรับใครที่ยังมีความสงสัยเกี่ยวกับร้านอาหร Michelin star สามารถตามไปอ่านได้ที่
http://fovefood.wordpress.com/2013/01/12/michelin-star-ดาวยางรถ/)
ร้านนี้อยู่ในเมืองเล็กๆที่ชื่อว่า Vico Equence เป็นเมืองที่อยู่ใกล้ๆกับ Sorrento ตอนแรกเบนก็คิดว่าแวะ Sorrento แบบผ่านๆ แต่จุดมุ่งหมายคือจะไปกิน Torre del Saracino เลยจำเป็นต้องเลื่อนตั๋วเครื่องบินและอยู่ที่ Sorrento นานขึ้น แถมร้านนี้ Public transport ไปไม่ถึงอีกต่างหาก ทำให้เบนต้องเช่ารถเพื่อไปกิน เรียกว่าทุ่มเทที่สุดเพื่อที่จะไปแล้ว
คืนวันที่ไปนั้นฝนตกหนักมากๆ ถนนก็เล็ก ขึ้นเขาลงเขา รถก็ติด แล้วยังเป็นรถเกียร์กระบุกอีก โอโหหหหห ทนสอบฝีมือมาก เรียกว่าเสียเงินแล้ว เสี่ยงชีวิตด้วย ตอนขับรถมืดๆนั่งคิด เสี่ยงชีวิตขนาดนี้ อร่อยยังไงก็คงไม่คุ้ม
ในที่สุดหลังจากขับรถมาเกือบชั่วโมงก็มาถึงร้าน มืดและยังฝนตกฟ้าฝ่าอยู่ เบนเป็นคนแรกที่ไปถึงร้าน เพราะร้านเค้าเปิดตอน 2 ทุ่ม เบนไปถึงสองทุ่มกว่า แต่คนอื่นเริ่มทยอยกันมาใกล้ๆสามทุ่ม ซึ่งมีทั้งคู่รัก และครอบครัว แต่ทั้งหมดเป็นคนอิตาเลี่ยนท้องถิ่น ไม่มีนักท่องเที่ยว เบนเป็นมาคนเดียวก็ประหลาดแล้วแถมเป็นเอเชียหัวดำอีก
ร้านนี้ก็เหมือนร้านอาหารหรูๆปกติ คือ บริการต้องเลิศ โดยปกติเวลาเบนไปนั่งกินข้าวคนเดียวที่อิตาลี คนเสิร์ฟ เจ้าของร้าน ทุกคนจะ Friendly กับเบนมาก เพราะกลัวเบนเหงา แต่มากินข้าวคนเดียวมื้อนี้เป็นมื้อแรกที่รู้สึกเหงามาก เพราะบริการจะต้องเนียบ ไม่มีการมาคุยเล่นกับลูกค้า เบนเลยสัญญากับตัวเองว่า จะไม่ไปกินอาหารร้านหรูๆคนเดียวอีกแล้ว เพราะว่ากว่าจะเสิร์ฟแต่ละ course จบ นั่งทานอยู่เกือบ 4 ชั่วโมง ไม่มีใครคุยด้วยเลย
หลังจากบ่นจบแล้วก็มาที่เรื่องอาหาร เบนกะจัดเต็ม 11 courses (140euro=6,000 บาท) แต่ว่ามันดันต้องสั่งอย่างน้อยสองคน อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำไมไม่ควรไปกินอาหารคนเดียว เบนสั่งได้แค่แบบ Salvatore Proposal คือ มีทั้งหมด 7 courses แต่เค้าก็น่ารัก บอกว่าถ้าสามารถเอาอย่างอื่นมาให้ชิมได้ เค้าก็จะเอามาให้ สรุปแล้ววันนี้ก็ได้กินอาหาร 11 อย่างตามใจอยาก
ว่าแต่ลืมพูดถึง chef คนดังเลย Chef คนนี้ถือว่าเป็น chef ที่ดังมาก แทบจะดังที่สุดในอิตาลีแล้ว ออกรายการทีวีหลายรายการมาก ชื่อ Gennaro เบนคิดว่าเค้าน่าจะอยู่ในครัววันที่เบนไปกิน แต่เค้าไม่ออกมาต้อนรับลูกค้าเหมือน chef ทั่วไป คงเพราะเป็น chef คนดัง ใครๆก็คงอยากเจอ
จานแรกเป็นเหมือน welcome dish ที่ทุกคนจะได้ แล้วแต่ว่าเค้ามีอะไรจะทำอะไรออกมาใหม่ให้ลอง
จานนี้เป็นคล้ายๆกับ sorbet ผัก และเครอท ที่โรยหน้าด้วยขิงและมะกอก ก็แปลกๆแต่ว่าไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมาก
เริ่ม Antipasta จานแรกเป็น soup bell paper และข้างๆเหมือนเป็นข้าวพอง ไม่ค่อยกรอบเท่าไหร คิดว่าถ้ามีแต่ซุป texture น่าจะดีกว่า ซึ่งก็ไม่ได้ตื่นเต้นกับซุปผักจานนี้เช่นกัน
จานนี้เป็น Lasagna รูปแบบใหม่ ชื่อว่า Raw lasagnetta of scampi, anchovies, cuttlefish and red prawns จากที่เห็นว่าจานนี้จะเป็นของสดเกือบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเส้น Pasta หรือว่าไส้ที่ทำจากมาจากกุ้งสด ซึ่งต้องขอบอกว่าสดและรสชาติดีมาก รวมถึงเมื่อกินคู่กับ pesto sauce สีเขียวๆที่อยู่ข้างๆก็เข้ากันไปอีกแบบ แทนที่จะเป็นเนื้อและมะเขือเทศแบบ Lasagna ทั่วไป ก็เป็นกุ้งสดและซอสโหระพาแทน จานนี้ถูกใจเลยทีเดียว
Aubergins “Alla Scapece”, Atlantic bonito, oysters, lemon and vanilla parfumed.
ตัวนี้เป็นผักย่างและหอยนางรมสดที่ ก็เข้ากันได้ดี แต่พูดตามตรงว่าไม่ติดใจอะไรเพราะตอนนี้ที่เขียนอยู่ยังจำรสชาติไม่ได้เลย
จานนี้เป็นหนึ่งในจานที่คนเสิร์ฟบอกว่าเป็นจาน signature ของ chef และลูกค้าทุกคนก็ชอบ เพราะเค้าจะมาถามเป็นหลังจากกินเสร็จทุกจานว่าเป็นอย่างไร โอเคไหม ส่วนใหญ่เบนก็แค่ตอบว่า “It’s ok” แต่จานนี้พูดกับเค้านานหน่อยว่ามันน่าสนใจมาก เพราะว่าซุปนั้นทำมาจากมะกอก ซึ่งรสชาติอ่อนและเข้ากับปลาได้อย่างลงตัว
Nocellara Olive soup with almonds, fennel puree and scabbard fish
เป็นอีกหนึ่งจานที่มีความน่าสนใจ คือ Risotto ซอสมะเขือเทศที่เป็น Cherry tomatoes ที่มาจากเมือง Sorrento ที่มีรสชาติจัดจ้าน topped ด้วย ปลาหมึกยัดไส้ชีส Mozzarella อร่อยใช้ได้เลย แต่แปลกมากที่ร้าน Michelin ไม่ใช้มีดมาด้วยกับจานนี้ เพราะหันไปมองโต๊ะอื่นก็ลำบากกับการตัดปลาหมึกด้วยส้อมเหมือนเบน เรื่องการบริการสำหรับร้าน Michelin ควรจะไร้ที่ติ
จานนี้เป็นเหมือนกับจานที่ chef และทุกคนในร้านภูมิใจมากที่สุด เพราะจะทำให้ลูกค้านักกินทั้งหลายตื่นเต้น แต่เบนดันได้กินจานนี้มาแล้วจากอีกร้านหนึ่งบนเกาะ Capri ซึ่งเป็นร้านที่เบนจะพาลูกทัวร์ของ Fove Food Tour : Coast trip ไปที่ร้านนี้ เพราะร้านนี้เป็นร้านที่อยู่ในโรงแรมที่หรูที่สุดของเกาะ และมีวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดในเกาะอีกด้วย โดย chef ของร้านนั้นเป็น chef ที่เคยเป็นมือขวาของ chef Gennano ซึ่งเค้าได้ทำจานนี้ให้เบนทานด้วย
จานนี้เป็นการผสม pasta 11 อย่างเข้าด้วยกัน ในซุป Lobster bisque แบบเข้นข้น รู้สึกถึงมันกุ้งทุกคำที่กิน
จานนี้ปลาข้างนอกแห้ง แล้วข้างในไม่สุก แถมคาวอีกต่างหาก จานเล็กนิดเดียว แต่กินให้หมดตามมารยาทไม่ไหวจริงๆ
หลังจากที่กินมาแต่อาหารทะเลเป็นอาทิตย์ พอเค้าบอกว่าจะมีจานเนื้อเป็นจานสุดท้ายก็แอบดีใจ แต่ดันมาเจอหมูสองชิ้นเล็กๆ แถมเป็นแบบจีนประยุกค์ที่ไม่ได้ทำได้ดีกว่าแบบ original เพราะว่าหนังไม่กรอบและเหนียว เลยจบกันไป
ต่อด้วยขนมกับ gelato ที่ทำจาก Mozzarella cheese ซึ่งอร่อยแบบ WOWWWW!!!!!!!!! ชอบมากๆ หวานกำลังดีและความมันจากชีส ความหอมจากเม็ด vanilla แล้วเค้าเสิร์ฟคู่กับลูกแพร์ที่ต้มในชา ซึ่งจืดมาก กินคู่กันก็ยังจืดไปหน่อย เบนก็อดไม่ได้ที่จะขอ Gelato เพิ่ม เพราะอร่อยโลกลืมจริงจัง
สรุปคือ สำหรับเบน เบนว่าไม่คุ้มเลยกับเงินที่ต้องจ่าย ความจริงเบนต้องจ่าย 140 euro แต่เค้าลดให้เหลือ 120 euro (ไม่รวมไวน์เลย เพราะว่าไม่ได้ดื่ม เนื่องจากต้องขับรถกลับเอง) รวมถึงความพยายามทั้งหมดเพื่อที่จะได้มากินร้านนี้ เรียกได้ว่าผิดหวังก็ว่าได้ แต่ไม่มากนัก เพราะยังมี gelato mozzarella ช่วยเอาไว้
โดยส่วนตัวเบนแล้ว เบนคิดว่าอาหารอิตาเลี่ยนนั้นไม่เหมาะกับการไปร้าน Michelin เท่าไหรนัก เนื่องจากการจะร้านเป็น Michelin จะต้องมี inovation ที่อาหารจะไม่เป็นแบบ traditional อีกต่อไป ซึ่งเบนคิดว่าอาหารอิตาเลี่ยนแบบที่เบนชอบคือแบบ traditional ร้านบ้านๆที่มีสูตรสืบทอดต่อกันมายาวนาน เจ้าของร้านทำเองเสิร์ฟเอง ออกมาดูแลลูกค้าด้วยตัวเอง Family style อย่างนั้นสิ เข้าถึง culture ของการกินอิตาเลี่ยนอย่างแท้จริง
[CR] ร้านอาหารอิตาเลี่ยน "2 Michelin Star" สุดหรู..... อร่อยคุ้มค่าขนาดไหน
เบนได้มีโอกาสไปกินร้านนี้เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2013 หลังจากที่นำทริปลูกค้าที่แสนจะน่ารักของ Fove Food Tour แบบ private มาก คือ แค่ 3 คนไป แยกย้ายกันที่ Milan แล้วเบนก็กระโดดขึ้นรถไฟจาก Milan ลงมาที่แคว้น Campania ทางตอนใต้ของอิตาลี เพื่อทำการสำรวจร้านอาหาร ที่เที่ยว และที่พัก สำหรับทริปปี 2014
เมืองหลักๆที่ไปสำรวจในครั้งนี้ คือ Amalfi Coast, Capri and Sorrento เพราะว่า Napoli เคยไปกับครอบครัวแล้ว และก็ยังไปทริปสำรวจอาหารกับมหาลัยด้วย ร้านพิซซ่าร้านไหนเด็ดสุดใน Napoli เบนไปลองมาเรียบร้อย
ประทับใจมากกับอาหารทางตอนใต้ ปกติเบนจะคุ้นเคยกับอาหารทางตอนเหนือ ซึ่งมีเอกลักษณ์ คือพวกเนื้อสัตว์ cheese และ cured meat แต่พอมาทางตอนใต้ เอกลักษณ์คืออาหารสด ไม่ว่าจะอาหารทะเล ผัก ผลไม้ ทุกอย่างสดและรสชาติเข้มข้นถึงใจมาก อร่อยเกือบทุกมื้อแต่ก็มีมื้อที่พลาดบ้างเหมือนกัน
มาว่าถึงร้าน Torre del Saracino ร้านนี้เป็นร้านอาหารที่ได้รับ 2 Michelin star (สำหรับใครที่ยังมีความสงสัยเกี่ยวกับร้านอาหร Michelin star สามารถตามไปอ่านได้ที่ http://fovefood.wordpress.com/2013/01/12/michelin-star-ดาวยางรถ/)
ร้านนี้อยู่ในเมืองเล็กๆที่ชื่อว่า Vico Equence เป็นเมืองที่อยู่ใกล้ๆกับ Sorrento ตอนแรกเบนก็คิดว่าแวะ Sorrento แบบผ่านๆ แต่จุดมุ่งหมายคือจะไปกิน Torre del Saracino เลยจำเป็นต้องเลื่อนตั๋วเครื่องบินและอยู่ที่ Sorrento นานขึ้น แถมร้านนี้ Public transport ไปไม่ถึงอีกต่างหาก ทำให้เบนต้องเช่ารถเพื่อไปกิน เรียกว่าทุ่มเทที่สุดเพื่อที่จะไปแล้ว
คืนวันที่ไปนั้นฝนตกหนักมากๆ ถนนก็เล็ก ขึ้นเขาลงเขา รถก็ติด แล้วยังเป็นรถเกียร์กระบุกอีก โอโหหหหห ทนสอบฝีมือมาก เรียกว่าเสียเงินแล้ว เสี่ยงชีวิตด้วย ตอนขับรถมืดๆนั่งคิด เสี่ยงชีวิตขนาดนี้ อร่อยยังไงก็คงไม่คุ้ม
ในที่สุดหลังจากขับรถมาเกือบชั่วโมงก็มาถึงร้าน มืดและยังฝนตกฟ้าฝ่าอยู่ เบนเป็นคนแรกที่ไปถึงร้าน เพราะร้านเค้าเปิดตอน 2 ทุ่ม เบนไปถึงสองทุ่มกว่า แต่คนอื่นเริ่มทยอยกันมาใกล้ๆสามทุ่ม ซึ่งมีทั้งคู่รัก และครอบครัว แต่ทั้งหมดเป็นคนอิตาเลี่ยนท้องถิ่น ไม่มีนักท่องเที่ยว เบนเป็นมาคนเดียวก็ประหลาดแล้วแถมเป็นเอเชียหัวดำอีก
ร้านนี้ก็เหมือนร้านอาหารหรูๆปกติ คือ บริการต้องเลิศ โดยปกติเวลาเบนไปนั่งกินข้าวคนเดียวที่อิตาลี คนเสิร์ฟ เจ้าของร้าน ทุกคนจะ Friendly กับเบนมาก เพราะกลัวเบนเหงา แต่มากินข้าวคนเดียวมื้อนี้เป็นมื้อแรกที่รู้สึกเหงามาก เพราะบริการจะต้องเนียบ ไม่มีการมาคุยเล่นกับลูกค้า เบนเลยสัญญากับตัวเองว่า จะไม่ไปกินอาหารร้านหรูๆคนเดียวอีกแล้ว เพราะว่ากว่าจะเสิร์ฟแต่ละ course จบ นั่งทานอยู่เกือบ 4 ชั่วโมง ไม่มีใครคุยด้วยเลย
หลังจากบ่นจบแล้วก็มาที่เรื่องอาหาร เบนกะจัดเต็ม 11 courses (140euro=6,000 บาท) แต่ว่ามันดันต้องสั่งอย่างน้อยสองคน อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำไมไม่ควรไปกินอาหารคนเดียว เบนสั่งได้แค่แบบ Salvatore Proposal คือ มีทั้งหมด 7 courses แต่เค้าก็น่ารัก บอกว่าถ้าสามารถเอาอย่างอื่นมาให้ชิมได้ เค้าก็จะเอามาให้ สรุปแล้ววันนี้ก็ได้กินอาหาร 11 อย่างตามใจอยาก
ว่าแต่ลืมพูดถึง chef คนดังเลย Chef คนนี้ถือว่าเป็น chef ที่ดังมาก แทบจะดังที่สุดในอิตาลีแล้ว ออกรายการทีวีหลายรายการมาก ชื่อ Gennaro เบนคิดว่าเค้าน่าจะอยู่ในครัววันที่เบนไปกิน แต่เค้าไม่ออกมาต้อนรับลูกค้าเหมือน chef ทั่วไป คงเพราะเป็น chef คนดัง ใครๆก็คงอยากเจอ
จานแรกเป็นเหมือน welcome dish ที่ทุกคนจะได้ แล้วแต่ว่าเค้ามีอะไรจะทำอะไรออกมาใหม่ให้ลอง
จานนี้เป็นคล้ายๆกับ sorbet ผัก และเครอท ที่โรยหน้าด้วยขิงและมะกอก ก็แปลกๆแต่ว่าไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมาก
เริ่ม Antipasta จานแรกเป็น soup bell paper และข้างๆเหมือนเป็นข้าวพอง ไม่ค่อยกรอบเท่าไหร คิดว่าถ้ามีแต่ซุป texture น่าจะดีกว่า ซึ่งก็ไม่ได้ตื่นเต้นกับซุปผักจานนี้เช่นกัน
จานนี้เป็น Lasagna รูปแบบใหม่ ชื่อว่า Raw lasagnetta of scampi, anchovies, cuttlefish and red prawns จากที่เห็นว่าจานนี้จะเป็นของสดเกือบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเส้น Pasta หรือว่าไส้ที่ทำจากมาจากกุ้งสด ซึ่งต้องขอบอกว่าสดและรสชาติดีมาก รวมถึงเมื่อกินคู่กับ pesto sauce สีเขียวๆที่อยู่ข้างๆก็เข้ากันไปอีกแบบ แทนที่จะเป็นเนื้อและมะเขือเทศแบบ Lasagna ทั่วไป ก็เป็นกุ้งสดและซอสโหระพาแทน จานนี้ถูกใจเลยทีเดียว
Aubergins “Alla Scapece”, Atlantic bonito, oysters, lemon and vanilla parfumed.
ตัวนี้เป็นผักย่างและหอยนางรมสดที่ ก็เข้ากันได้ดี แต่พูดตามตรงว่าไม่ติดใจอะไรเพราะตอนนี้ที่เขียนอยู่ยังจำรสชาติไม่ได้เลย
จานนี้เป็นหนึ่งในจานที่คนเสิร์ฟบอกว่าเป็นจาน signature ของ chef และลูกค้าทุกคนก็ชอบ เพราะเค้าจะมาถามเป็นหลังจากกินเสร็จทุกจานว่าเป็นอย่างไร โอเคไหม ส่วนใหญ่เบนก็แค่ตอบว่า “It’s ok” แต่จานนี้พูดกับเค้านานหน่อยว่ามันน่าสนใจมาก เพราะว่าซุปนั้นทำมาจากมะกอก ซึ่งรสชาติอ่อนและเข้ากับปลาได้อย่างลงตัว
Nocellara Olive soup with almonds, fennel puree and scabbard fish
เป็นอีกหนึ่งจานที่มีความน่าสนใจ คือ Risotto ซอสมะเขือเทศที่เป็น Cherry tomatoes ที่มาจากเมือง Sorrento ที่มีรสชาติจัดจ้าน topped ด้วย ปลาหมึกยัดไส้ชีส Mozzarella อร่อยใช้ได้เลย แต่แปลกมากที่ร้าน Michelin ไม่ใช้มีดมาด้วยกับจานนี้ เพราะหันไปมองโต๊ะอื่นก็ลำบากกับการตัดปลาหมึกด้วยส้อมเหมือนเบน เรื่องการบริการสำหรับร้าน Michelin ควรจะไร้ที่ติ
จานนี้เป็นเหมือนกับจานที่ chef และทุกคนในร้านภูมิใจมากที่สุด เพราะจะทำให้ลูกค้านักกินทั้งหลายตื่นเต้น แต่เบนดันได้กินจานนี้มาแล้วจากอีกร้านหนึ่งบนเกาะ Capri ซึ่งเป็นร้านที่เบนจะพาลูกทัวร์ของ Fove Food Tour : Coast trip ไปที่ร้านนี้ เพราะร้านนี้เป็นร้านที่อยู่ในโรงแรมที่หรูที่สุดของเกาะ และมีวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดในเกาะอีกด้วย โดย chef ของร้านนั้นเป็น chef ที่เคยเป็นมือขวาของ chef Gennano ซึ่งเค้าได้ทำจานนี้ให้เบนทานด้วย
จานนี้เป็นการผสม pasta 11 อย่างเข้าด้วยกัน ในซุป Lobster bisque แบบเข้นข้น รู้สึกถึงมันกุ้งทุกคำที่กิน
จานนี้ปลาข้างนอกแห้ง แล้วข้างในไม่สุก แถมคาวอีกต่างหาก จานเล็กนิดเดียว แต่กินให้หมดตามมารยาทไม่ไหวจริงๆ
หลังจากที่กินมาแต่อาหารทะเลเป็นอาทิตย์ พอเค้าบอกว่าจะมีจานเนื้อเป็นจานสุดท้ายก็แอบดีใจ แต่ดันมาเจอหมูสองชิ้นเล็กๆ แถมเป็นแบบจีนประยุกค์ที่ไม่ได้ทำได้ดีกว่าแบบ original เพราะว่าหนังไม่กรอบและเหนียว เลยจบกันไป
ต่อด้วยขนมกับ gelato ที่ทำจาก Mozzarella cheese ซึ่งอร่อยแบบ WOWWWW!!!!!!!!! ชอบมากๆ หวานกำลังดีและความมันจากชีส ความหอมจากเม็ด vanilla แล้วเค้าเสิร์ฟคู่กับลูกแพร์ที่ต้มในชา ซึ่งจืดมาก กินคู่กันก็ยังจืดไปหน่อย เบนก็อดไม่ได้ที่จะขอ Gelato เพิ่ม เพราะอร่อยโลกลืมจริงจัง
สรุปคือ สำหรับเบน เบนว่าไม่คุ้มเลยกับเงินที่ต้องจ่าย ความจริงเบนต้องจ่าย 140 euro แต่เค้าลดให้เหลือ 120 euro (ไม่รวมไวน์เลย เพราะว่าไม่ได้ดื่ม เนื่องจากต้องขับรถกลับเอง) รวมถึงความพยายามทั้งหมดเพื่อที่จะได้มากินร้านนี้ เรียกได้ว่าผิดหวังก็ว่าได้ แต่ไม่มากนัก เพราะยังมี gelato mozzarella ช่วยเอาไว้
โดยส่วนตัวเบนแล้ว เบนคิดว่าอาหารอิตาเลี่ยนนั้นไม่เหมาะกับการไปร้าน Michelin เท่าไหรนัก เนื่องจากการจะร้านเป็น Michelin จะต้องมี inovation ที่อาหารจะไม่เป็นแบบ traditional อีกต่อไป ซึ่งเบนคิดว่าอาหารอิตาเลี่ยนแบบที่เบนชอบคือแบบ traditional ร้านบ้านๆที่มีสูตรสืบทอดต่อกันมายาวนาน เจ้าของร้านทำเองเสิร์ฟเอง ออกมาดูแลลูกค้าด้วยตัวเอง Family style อย่างนั้นสิ เข้าถึง culture ของการกินอิตาเลี่ยนอย่างแท้จริง
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น