บทก่อนหน้า
บทนำ
http://ppantip.com/topic/31223069
บทที่ ๑
http://ppantip.com/topic/31235568
วิลเลียม แคมพ์เบลล์ นั่งมองผู้หญิงที่ถูกคลื่นพัดขึ้นฝั่งบนชายหาดหน้าสถานีแปรรูปวาฬของเขาหลังจากพายุงวงช้างลูกย่อมเกิดขึ้นเมื่อครู่ใหญ่ที่ผ่านมาด้วยสายตากังขาและเป็นกังวล เธอดูแปลกประหลาดไปจากผู้คนที่เขารู้จัก หญิงสาวไม่ใช่คนผิวขาวอย่างเขา แต่ก็ไม่ใช่คนผิวดำอย่างชาวพื้นเมือง เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ ก็ดูแปลกประหลาดอย่างที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ชายหนุ่มลงไปที่หน้าชายหาดในเช้าวันนี้เพราะทนการรบเร้าของโมราน หัวหน้าคนงานและหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญของเขาที่สถานีแปรรูปวาฬแห่งนี้ไม่ไหว โมรานยืนยันกับเขาว่า เช้าวันนี้จะต้องมีพายุงวงช้างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในเวลาเดียวกับเรือล่าวาฬของบิดาที่เขาทำหน้าที่เป็นนายเรือล่มเมื่อสิบปีก่อน
“บรรพบุรุษของเราเล่าต่อกันมา ว่าในทะเลไม่ห่างจากชายหาดตรงนี้มากนัก จะมีพายุงวงช้างเกิดขึ้นทุก ๆ สิบปี และไม่ใช่พายุธรรมดา แต่เป็นประตูมิติที่จะเปิดให้สองมิติเชื่อมถึงกันขณะที่พายุจะหมุนเกลียวคลื่นทำให้มิติเปิดอ้าออก เหมือนอย่างที่เรือของนายท่านหายไปต่อหน้าต่อตานั่นล่ะครับ”
โมรานเคยบอกกับเขาว่าอย่างนั้น แต่ถึงแม้จะเชื่อว่าพวกกูรี [1] อาจมีการบันทึกเหตุการณ์พายุที่เกิดขึ้นในบริเวณนี้และพบว่าเกิดเหตุการณ์ซ้ำ ๆ ในทุกสิบปี แต่จะให้เขาเชื่อว่า พายุที่ว่าเป็นการเปิดประตูมิติอย่างที่พวกกูรีเชื่อกัน เขาคิดว่ามันฟังดูเป็นนิทานมากเกินไป แม้เขาจะเห็นว่าเรือทั้งลำพร้อมทั้งลูกเรือของเขาทั้งหมดหายไปต่อหน้าต่อตาก็ตาม แต่นั่นอาจจะเป็นเพียงภาพหลอนของคนที่ชีวิตกำลังเฉียดใกล้ความตายก็เป็นได้ เรือของเขาอาจจะเพียงจมลง และลูกเรือทั้งหมดตายในทะเล ร่างกายสลายเป็นอาหารของสัตว์ทะเลไปหมด มีเขาที่โชคดีรอดชีวิตเพียงผู้เดียว
เขาเป็นหนี้ชีวิตโมราน หัวหน้าเผ่าชาวกูรีที่อาศัยอยู่ลึกเข้าไปจากชายฝั่ง แต่จะเข้ามาตรวจตราชายหาดในทุก ๆ สิบปีที่เกิดเหตุการณ์พายุงวงช้าง และนั่นทำให้ได้พบชายหนุ่มที่ถูกคลื่นซัดขึ้นมาเกยหาด และช่วยชีวิตเขาเอาไว้
แม้ผู้คนในเผ่าจะกระเหี้ยนกระหือรือที่จะเอาชีวิตเขา เพราะเป็นพวกผิวขาวที่เข้ามาบุกรุกผืนดินที่พวกเขาเจ้าของแผ่นดินอาศัยอยู่มาช้านาน แต่โมรานกลับเห็นต่าง หัวหน้าเผ่ามองว่า ผืนดินแห่งนี้จะไม่มีความสงบสุขอีกต่อไปเพราะเริ่มมีผู้บุกรุกเข้ามา และหากต่อต้านด้วยความรุนแรง สิ่งที่จะได้รับกลับมาคือการสิ้นสูญของเผ่าพันธุ์ เพราะอานุภาพอาวุธของพวกผู้บุกรุกช่างร้ายแรง ที่โมรานเคยรู้เห็นมาแล้วจากพื้นที่อื่น ๆ ที่พี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์ถูกตามล่าและฆ่าทิ้งราวกับสัตว์เดรัจฉาน โมรานจึงคิดว่า เผ่าของเขาจะต้องปรับตัวที่จะอยู่ร่วมกันกับพวกผู้บุกรุกเหล่านี้ให้ได้ และนั่นก็ถือว่าเป็นโชคดีของชายหนุ่ม หาไม่แล้วป่านนี้เขาคงจะกลายเป็นผีเฝ้าป่าอยู่ที่นี่ แทนที่จะเป็นเจ้าของสถานีแปรรูปวาฬอย่างในปัจจุบัน
โมรานรับเขาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเผ่า สอนให้เขารู้จักการใช้ชีวิตในป่า ทำความรู้จักกับสัตว์ทุกตัว ต้นไม้ทุกต้น การอยู่ร่วมกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยระหว่างคนและธรรมชาติ เขารู้วิธีหาอาหารและน้ำด้วยมือเปล่า อย่างที่พวกกูรีสามารถทำได้ เวลาเกือบปีที่เขาอาศัยอยู่กับพวกกูรี ภายใต้การคุ้มครองของโมราน ทำให้เขาได้สำรวจพื้นที่รอบ ๆ บริเวณ และพบว่าชายฝั่งบริเวณนี้เหมาะสมที่จะตั้งสถานีล่าวาฬขึ้นยิ่งนัก ด้วยน่านน้ำบริเวณนี้เป็นเส้นทางอพยพของวาฬ ทำให้ในฤดูล่าวาฬจะมีวาฬชุกชุม และอยู่ไม่ไกลจากชายฝั่งมากนัก หากเขาสร้างสถานีแปรรูปวาฬตรงนี้ จะช่วยร่นระยะเวลาเดินทางของเรือล่าวาฬทั้งหลาย ซึ่งแทนที่จะต้องเดินทางต่อไปจนถึงโบตานีย์เบย์ ก็แวะส่งวาฬที่สถานีแปรรูปของเขาได้ นอกจากนี้บริเวณนี้ยังอยู่ห่างจากเมลเบิร์นเพียงเดินเรือหนึ่งวันเท่านั้น หากเขาต้องการซื้อหาสิ่งของที่จำเป็น ก็ไม่ลำบากที่จะเดินทางเข้าสู่เมลเบิร์น ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของชายฝั่งบริเวณนี้
ชายหนุ่มใช้เวลาที่เขามีเหลือเฟือถากถางพื้นที่เตรียมพร้อมสำหรับสร้างสถานีแปรรูปวาฬ พร้อมทั้งเก็บหาเศษไม้เตรียมพร้อมสำหรับสร้างอาคารสถานี ซึ่งไม้เหล่านี้มาจากเรือที่ล่มบริเวณใกล้ชายฝั่งซึ่งคลื่นจะพัดเศษไม้เข้าฝั่งเป็นจำนวนมากทีเดียว
เขาเตรียมความพร้อมในการสร้างสถานีอยู่เป็นปี จนกระทั่งฤดูกาลล่าวาฬหมุนเวียนมาอีกครั้ง ชายหนุ่มขอติดเรือล่าวาฬกลับซิดนีย์ ไปหาบิดาและขอทุนมาสร้างสถานีล่าวาฬของเขาเอง ในตอนแรกบิดาไม่เห็นด้วย แต่เมื่อเขายืนยันและมุ่งมั่นที่จะสร้างธุรกิจของเขาเองให้ได้ บิดาจึงต้องยอมแพ้ และยอมให้เงินในส่วนที่ควรจะเป็นของเขา ชายหนุ่มกลับมาสร้างสถานีและต่อเรือ โดยมีชนพื้นเมืองในเผ่าของโมรานเป็นคนงาน และโมรานก็ช่วยเขาทำงานที่สถานีตั้งแต่ระยะเริ่มต้น จนตอนนี้ผ่านมาเก้าปี สถานีล่าวาฬของเขาเจริญก้าวหน้าและสร้างความมั่งคั่งให้เขาไม่น้อยเลยทีเดียว
เมื่อสถานีล่าวาฬของเขาเปิดทำการพร้อมทั้งท่าเรือเล็ก ๆ เพื่อเป็นท่าสำหรับเทียบเรือที่เข้ามารับซื้อน้ำมันวาฬจากสถานีของเขา ก่อให้เกิดเมืองเล็ก ๆ ขึ้นมา เมืองพอร์ตแคมพ์เบลล์ซึ่งตั้งชื่อตามนามสกุลของเขา เป็นเมืองขนาดเล็กตั้งอยู่ใกล้ชายฝั่งด้านทิศตะวันออกของออสเตรเลีย ซึ่งอยู่ทางใต้ของเมลเบิร์นเล็กน้อย มีตลาดซื้อขายสินค้าที่ผู้คนในเมืองนำมาขาย มีพื้นที่การเกษตรอยู่เป็นส่วนใหญ่ มีโรงพยาบาลเล็ก ๆ ที่เขาสร้างขึ้นในบริเวณสถานี ทั้งนี้เพื่อที่จะได้มีที่รักษาคนงานของเขาในกรณีเจ็บป่วย โดยเขาชวน เออร์เนสท์ วิลสัน เพื่อนสนิทวัยเด็กที่เข้าโรงเรียนด้วยกัน และเรียนต่อจนจบแพทย์ ให้มาเป็นนายแพทย์ประจำโรงพยาบาลเล็ก ๆ ของเขา แม้จะเป็นโรงพยาบาลที่เปิดขึ้นเพื่อรักษาคนงานในสถานี แต่ชายหนุ่มก็เปิดให้บริการต่อผู้คนในเมืองด้วยเช่นกัน นอกจากนี้เขายังสร้างอาคารหลังขนาดย่อมเพื่อเป็นสถานที่สอนเขียนอ่านและการเรือนให้กับเด็ก ๆ ลูกคนงาน รวมทั้งลูกของชาวเมืองที่ต้องการเข้ามาเรียนด้วย โดยมีเอลิซาเบธ ภรรยาของนายแพทย์เออร์เนสท์ ทำหน้าที่เป็นครูสอน
วิลเลียมมองดูผู้หญิงที่ยังคงหลับสนิทเพราะฤทธิ์ยาที่นายแพทย์เออร์เนสท์ฉีดให้พลางถอนหายใจ เออร์เนสท์เข้ามาตรวจดูอาการของหญิงสาวที่ไม่ได้หมดสติเสียทีเดียว แต่ก็ดูไม่มีสติรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนบ้าง จนนายแพทย์หนุ่มเพื่อนสนิทของเขาฉีดยาให้ และบอกเขาว่ายาจะทำให้คนไข้ของเขาหลับไปอีกพักใหญ่ ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วง เพียงดูแลให้หญิงสาวได้รับความอบอุ่นอย่างเพียงพอก็พอแล้ว และหลังอาหารเย็น เพื่อนของเขาจะเข้ามาดูอาการอีกที
“ผู้หญิงคนนี้มาจากต่างมิติ ดูเสื้อผ้าของนางสิ นายท่านเคยเห็นใครแต่งตัวแบบนี้บ้าง นางต้องหลุดเข้ามาที่มิติของเราตอนประตูมิติเปิดพร้อม ๆ กับพายุงวงช้างนั่นแน่ ๆ” โมรานบอกเขาหลังจากที่เขา โมราน และคนงานจำนวนหนึ่งไปพบหญิงสาวฟุบอยู่บนชายหาด หลังจากพายุงวงช้างสงบลง เขาไม่เถียงว่าเขาไม่เคยเห็นคนผิวสีนี้และแต่งตัวประหลาดแบบนี้ แต่จะให้สรุปว่าเธอมาจากต่างมิติมันก็เหลือเชื่อเกินกว่าที่เขาจะยอมรับได้ คงต้องรอถามเอากับเจ้าตัวว่าเธอมาจากไหนกันแน่ เมื่อหญิงสาวตื่นขึ้นมากระมัง
วิลเลียมขยับเข้าไปใกล้เตียงเมื่อมองเห็นคนที่นอนหลับสนิทขยับตัวพร้อมพึมพำเบา ๆ
“น้ำ ขอน้ำ” หญิงสาวพึมพำเป็นภาษาที่เขาไม่เข้าใจ
“คุณว่าอะไรนะครับ” ชายหนุ่มถามคนที่ยังคงหลับตา ส่ายหน้าไปมาอยู่บนเตียง
“น้ำค่ะ ขอน้ำหน่อย ฉันหิวน้ำ” หญิงสาวยังคงพูดด้วยสำเนียงสูง ๆ ต่ำ ๆ ที่เขาไม่เข้าใจอยู่นั่นเอง
“คุณพูดภาษาของเราได้ไหม” ชายหนุ่มถาม เพราะดูเหมือนหญิงสาวจะพูดภาษาของเธอ ซึ่งเป็นภาษาที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน และเขาไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดอะไรอยู่
“ขอน้ำค่ะ” ณัฐญาณ์เปลี่ยนภาษาพูดอัตโนมัติเมื่อได้ยินเสียงทุ้มตอบกลับมา เพราะเรียนอยู่ประเทศอังกฤษหลายปี และทำงานที่ต้องใช้ภาษาตลอดเวลา ทำให้หญิงสาวสามารถสลับกลับไปมาระหว่างสองภาษาได้โดยไม่ต้องหยุดคิด
วิลเลียมเดินไปหยิบเหยือกน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงก่อนจะรินใส่แก้วและเดินเข้าไปหาคนที่ยังนอนอยู่บนเตียง ชายหนุ่มประคองหญิงสาวให้ลุกขึ้นนั่งและจ่อแก้วตรงริมฝีปาก
“ค่อย ๆ จิบ” บอกเสียงนุ่ม ณัฐญาณ์จิบน้ำช้า ๆ ตามคำบอกของคนที่ประคองอยู่ ก่อนจะกล่าวเสียงเบา
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวมองชายหนุ่มที่แต่งตัวดูเป็นทางการในเสื้อเชิ้ตแขนยาวตัวในสีขาว เสื้อกั๊กสีเดียวกัน ติดโบว์ไทด์สีดำ กางเกงสีเดียวกับโบว์ และรองเท้าหนังสีดำแบบมีส้นปลายแหลมขัดมันเงาวับ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปสังเกตเครื่องเรือนที่อยู่ในห้อง การตกแต่งห้องเหมือนกับห้องพักในโรงแรมและพิพิธภัณฑ์แคมพ์เบลล์ที่เธอพักอยู่ หรือว่าเธอกลับมาที่โรงแรมหลังจากเฮลิคอปเตอร์ตก แต่เธอไม่เห็นรู้ว่าพนักงานของโรงแรมจะแต่งตัวให้เข้ากับธีมของโรงแรมด้วย
“ฉันอยู่ที่ไหนคะ” ตัดสินใจถาม
“สถานีแปรรูปวาฬแคมพ์เบลล์” ชายหนุ่มตอบ คนถามขมวดคิ้ว ถามซ้ำเพื่อความแน่ใจ
“โรงแรมและพิพิธภัณฑ์ ซึ่งในอดีตเคยเป็นสถานีแปรรูปวาฬ ใช่ไหมคะ”
“ไม่มีอดีต ที่นี่คือสถานีแปรรูปวาฬของผม ไม่มีโรงแรมหรือพิพิธภัณฑ์อย่างที่คุณว่า” ชายหนุ่มตอบน้ำเสียงปราณี คงเป็นเพราะเพิ่งประสบอุบัติเหตุรุนแรงและตื่นขึ้นมาในสถานที่แปลกตากับคนแปลกหน้ากระมัง จึงทำให้หญิงสาวสับสนและพูดอะไรแปลก ๆ ออกมา
ณัฐญาณ์คิดตามคำพูดของชายหนุ่ม สถานีแปรรูปวาฬ... สถานีแปรรูปวาฬของเขา... ถ้าอย่างนั้นเขาก็คือ...
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นเพื่อมองชายหนุ่มที่อยู่กับเธอตลอดเวลา นับตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ก่อนจะตาเบิกกว้างเมื่อจำได้ว่าเขาคือชายหนุ่มในรูปในหนังสือแนะนำและประวัติของโรงแรมและพิพิธภัณฑ์ที่เธอเข้าพัก อีกทั้งเป็นคนเดียวกับที่เธอฝันถึงก่อนที่จะสะดุ้งตื่นเมื่อเช้านี้ ทั้งรูปถ่ายและภาพในฝันดูไม่ชัดเจนนัก หากแต่ผู้ชายตรงหน้านี้มองดูเหมือนจริง... จนเธอกลัว...
“วิลเลียม แคมพ์เบลล์” ชายหนุ่มแนะนำตัวพร้อมโค้งให้แสดงการทักทาย
“ไม่จริง เราต้องฝันไปแน่ ๆ” คนที่ยังนอนอยู่บนเตียงพึมพำกับตนเอง พยายามหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นใหม่ โดยหวังว่าทุกอย่างตรงหน้าจะเป็นเพียงความฝัน หากคนที่ควรจะเป็นเพียงคนในฝันกลับยืนยันเสียงหนักแน่น
“ทุกอย่างเป็นความจริง แต่ไม่ต้องกังวลไป คุณจะอยู่ที่นี่อย่างสุขสบายในฐานะแขกของผม ผมจะดูแลคุณอย่างดีที่สุด จนกว่าเราจะติดต่อบิดามารดาของคุณได้และส่งคุณกลับไปหาท่านอย่างปลอดภัย”
“ถ้าทุกอย่างเป็นความจริงอย่างที่คุณว่า แล้วฉันจะกลับไปได้อย่างไรคะกัปตัน” หญิงสาวพึมพำ พูดกับตนเองมากกว่าที่จะถามคนตรงหน้า มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่ผู้ชายที่กำลังพูดอยู่กับเธอคือ กัปตันวิลเลียม แคมพ์เบลล์ เจ้าของสถานีล่าวาฬซึ่งในปัจจุบันได้กลายเป็นโรงแรมและพิพิธภัณฑ์ที่เธอเข้าพักขณะเดินทางมาท่องเที่ยวที่ออสเตรเลีย นี่คือชีวิตจริง เธอจะย้อนเวลากลับมาอดีตได้อย่างไร เรื่องราวเหลือเชื่อแบบนั้นมีแต่ในนิยายเท่านั้นล่ะ
ตื่นเสียที ณัฐญาณ์ หญิงสาวบอกตนเองในใจ
ผู้ที่ถูกเรียกว่ากัปตันขมวดคิ้วมุ่นด้วยความประหลาดใจ เธอรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นกัปตันทั้ง ๆ ที่เขายังยังไม่เคยกล่าวถึงตำแหน่งนั้นแพ้เพียงครั้งเดียว และเมื่อเห็นสีหน้าแสดงความไม่เข้าใจของชายหนุ่ม คนที่ยังนอนอยู่บนเตียงก็ตอบน้ำเสียงสะบัด เพราะความรู้สึกอัดอั้นภายใน
“สงสัยหรือคะ ทำไมฉันรู้จักคุณ เอาเป็นว่าฉันรู้จักคุณมากกว่าที่คุณจะคาดถึงเชียวล่ะค่ะ”
จากหนังสือประวัติของคุณอย่างไรเล่ากัปตันวิลเลียม แคมพ์เบลล์
“คุณรู้จักผมแล้ว จะไม่ให้เกียรติผมได้รู้จักแขกของผมบ้างหรือครับ” เป็นวิธีการถามชื่อของชายหนุ่ม
“ฉันชื่อณัฐค่ะ ณัฐญาณ์” หญิงสาวตอบ
“แนท นาทาย่าห์” ชายหนุ่มทวนชื่อหญิงสาวด้วยสำเนียงภาษาของตน โดยไม่รู้เลยว่า ชื่อที่เขาเรียก กระแทกใจคนที่ถูกเรียกเข้าอย่างจัง
[1] กูรี: ชื่อที่ชนเผ่าอะบอริจินในเขตนิวเซาธ์เวลส์และวิคตอเรียเรียกตนเอง
สุดปลายฝัน บทที่ ๒
บทนำ http://ppantip.com/topic/31223069
บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/31235568
วิลเลียม แคมพ์เบลล์ นั่งมองผู้หญิงที่ถูกคลื่นพัดขึ้นฝั่งบนชายหาดหน้าสถานีแปรรูปวาฬของเขาหลังจากพายุงวงช้างลูกย่อมเกิดขึ้นเมื่อครู่ใหญ่ที่ผ่านมาด้วยสายตากังขาและเป็นกังวล เธอดูแปลกประหลาดไปจากผู้คนที่เขารู้จัก หญิงสาวไม่ใช่คนผิวขาวอย่างเขา แต่ก็ไม่ใช่คนผิวดำอย่างชาวพื้นเมือง เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ ก็ดูแปลกประหลาดอย่างที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ชายหนุ่มลงไปที่หน้าชายหาดในเช้าวันนี้เพราะทนการรบเร้าของโมราน หัวหน้าคนงานและหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญของเขาที่สถานีแปรรูปวาฬแห่งนี้ไม่ไหว โมรานยืนยันกับเขาว่า เช้าวันนี้จะต้องมีพายุงวงช้างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในเวลาเดียวกับเรือล่าวาฬของบิดาที่เขาทำหน้าที่เป็นนายเรือล่มเมื่อสิบปีก่อน
“บรรพบุรุษของเราเล่าต่อกันมา ว่าในทะเลไม่ห่างจากชายหาดตรงนี้มากนัก จะมีพายุงวงช้างเกิดขึ้นทุก ๆ สิบปี และไม่ใช่พายุธรรมดา แต่เป็นประตูมิติที่จะเปิดให้สองมิติเชื่อมถึงกันขณะที่พายุจะหมุนเกลียวคลื่นทำให้มิติเปิดอ้าออก เหมือนอย่างที่เรือของนายท่านหายไปต่อหน้าต่อตานั่นล่ะครับ”
โมรานเคยบอกกับเขาว่าอย่างนั้น แต่ถึงแม้จะเชื่อว่าพวกกูรี [1] อาจมีการบันทึกเหตุการณ์พายุที่เกิดขึ้นในบริเวณนี้และพบว่าเกิดเหตุการณ์ซ้ำ ๆ ในทุกสิบปี แต่จะให้เขาเชื่อว่า พายุที่ว่าเป็นการเปิดประตูมิติอย่างที่พวกกูรีเชื่อกัน เขาคิดว่ามันฟังดูเป็นนิทานมากเกินไป แม้เขาจะเห็นว่าเรือทั้งลำพร้อมทั้งลูกเรือของเขาทั้งหมดหายไปต่อหน้าต่อตาก็ตาม แต่นั่นอาจจะเป็นเพียงภาพหลอนของคนที่ชีวิตกำลังเฉียดใกล้ความตายก็เป็นได้ เรือของเขาอาจจะเพียงจมลง และลูกเรือทั้งหมดตายในทะเล ร่างกายสลายเป็นอาหารของสัตว์ทะเลไปหมด มีเขาที่โชคดีรอดชีวิตเพียงผู้เดียว
เขาเป็นหนี้ชีวิตโมราน หัวหน้าเผ่าชาวกูรีที่อาศัยอยู่ลึกเข้าไปจากชายฝั่ง แต่จะเข้ามาตรวจตราชายหาดในทุก ๆ สิบปีที่เกิดเหตุการณ์พายุงวงช้าง และนั่นทำให้ได้พบชายหนุ่มที่ถูกคลื่นซัดขึ้นมาเกยหาด และช่วยชีวิตเขาเอาไว้
แม้ผู้คนในเผ่าจะกระเหี้ยนกระหือรือที่จะเอาชีวิตเขา เพราะเป็นพวกผิวขาวที่เข้ามาบุกรุกผืนดินที่พวกเขาเจ้าของแผ่นดินอาศัยอยู่มาช้านาน แต่โมรานกลับเห็นต่าง หัวหน้าเผ่ามองว่า ผืนดินแห่งนี้จะไม่มีความสงบสุขอีกต่อไปเพราะเริ่มมีผู้บุกรุกเข้ามา และหากต่อต้านด้วยความรุนแรง สิ่งที่จะได้รับกลับมาคือการสิ้นสูญของเผ่าพันธุ์ เพราะอานุภาพอาวุธของพวกผู้บุกรุกช่างร้ายแรง ที่โมรานเคยรู้เห็นมาแล้วจากพื้นที่อื่น ๆ ที่พี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์ถูกตามล่าและฆ่าทิ้งราวกับสัตว์เดรัจฉาน โมรานจึงคิดว่า เผ่าของเขาจะต้องปรับตัวที่จะอยู่ร่วมกันกับพวกผู้บุกรุกเหล่านี้ให้ได้ และนั่นก็ถือว่าเป็นโชคดีของชายหนุ่ม หาไม่แล้วป่านนี้เขาคงจะกลายเป็นผีเฝ้าป่าอยู่ที่นี่ แทนที่จะเป็นเจ้าของสถานีแปรรูปวาฬอย่างในปัจจุบัน
โมรานรับเขาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเผ่า สอนให้เขารู้จักการใช้ชีวิตในป่า ทำความรู้จักกับสัตว์ทุกตัว ต้นไม้ทุกต้น การอยู่ร่วมกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยระหว่างคนและธรรมชาติ เขารู้วิธีหาอาหารและน้ำด้วยมือเปล่า อย่างที่พวกกูรีสามารถทำได้ เวลาเกือบปีที่เขาอาศัยอยู่กับพวกกูรี ภายใต้การคุ้มครองของโมราน ทำให้เขาได้สำรวจพื้นที่รอบ ๆ บริเวณ และพบว่าชายฝั่งบริเวณนี้เหมาะสมที่จะตั้งสถานีล่าวาฬขึ้นยิ่งนัก ด้วยน่านน้ำบริเวณนี้เป็นเส้นทางอพยพของวาฬ ทำให้ในฤดูล่าวาฬจะมีวาฬชุกชุม และอยู่ไม่ไกลจากชายฝั่งมากนัก หากเขาสร้างสถานีแปรรูปวาฬตรงนี้ จะช่วยร่นระยะเวลาเดินทางของเรือล่าวาฬทั้งหลาย ซึ่งแทนที่จะต้องเดินทางต่อไปจนถึงโบตานีย์เบย์ ก็แวะส่งวาฬที่สถานีแปรรูปของเขาได้ นอกจากนี้บริเวณนี้ยังอยู่ห่างจากเมลเบิร์นเพียงเดินเรือหนึ่งวันเท่านั้น หากเขาต้องการซื้อหาสิ่งของที่จำเป็น ก็ไม่ลำบากที่จะเดินทางเข้าสู่เมลเบิร์น ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของชายฝั่งบริเวณนี้
ชายหนุ่มใช้เวลาที่เขามีเหลือเฟือถากถางพื้นที่เตรียมพร้อมสำหรับสร้างสถานีแปรรูปวาฬ พร้อมทั้งเก็บหาเศษไม้เตรียมพร้อมสำหรับสร้างอาคารสถานี ซึ่งไม้เหล่านี้มาจากเรือที่ล่มบริเวณใกล้ชายฝั่งซึ่งคลื่นจะพัดเศษไม้เข้าฝั่งเป็นจำนวนมากทีเดียว
เขาเตรียมความพร้อมในการสร้างสถานีอยู่เป็นปี จนกระทั่งฤดูกาลล่าวาฬหมุนเวียนมาอีกครั้ง ชายหนุ่มขอติดเรือล่าวาฬกลับซิดนีย์ ไปหาบิดาและขอทุนมาสร้างสถานีล่าวาฬของเขาเอง ในตอนแรกบิดาไม่เห็นด้วย แต่เมื่อเขายืนยันและมุ่งมั่นที่จะสร้างธุรกิจของเขาเองให้ได้ บิดาจึงต้องยอมแพ้ และยอมให้เงินในส่วนที่ควรจะเป็นของเขา ชายหนุ่มกลับมาสร้างสถานีและต่อเรือ โดยมีชนพื้นเมืองในเผ่าของโมรานเป็นคนงาน และโมรานก็ช่วยเขาทำงานที่สถานีตั้งแต่ระยะเริ่มต้น จนตอนนี้ผ่านมาเก้าปี สถานีล่าวาฬของเขาเจริญก้าวหน้าและสร้างความมั่งคั่งให้เขาไม่น้อยเลยทีเดียว
เมื่อสถานีล่าวาฬของเขาเปิดทำการพร้อมทั้งท่าเรือเล็ก ๆ เพื่อเป็นท่าสำหรับเทียบเรือที่เข้ามารับซื้อน้ำมันวาฬจากสถานีของเขา ก่อให้เกิดเมืองเล็ก ๆ ขึ้นมา เมืองพอร์ตแคมพ์เบลล์ซึ่งตั้งชื่อตามนามสกุลของเขา เป็นเมืองขนาดเล็กตั้งอยู่ใกล้ชายฝั่งด้านทิศตะวันออกของออสเตรเลีย ซึ่งอยู่ทางใต้ของเมลเบิร์นเล็กน้อย มีตลาดซื้อขายสินค้าที่ผู้คนในเมืองนำมาขาย มีพื้นที่การเกษตรอยู่เป็นส่วนใหญ่ มีโรงพยาบาลเล็ก ๆ ที่เขาสร้างขึ้นในบริเวณสถานี ทั้งนี้เพื่อที่จะได้มีที่รักษาคนงานของเขาในกรณีเจ็บป่วย โดยเขาชวน เออร์เนสท์ วิลสัน เพื่อนสนิทวัยเด็กที่เข้าโรงเรียนด้วยกัน และเรียนต่อจนจบแพทย์ ให้มาเป็นนายแพทย์ประจำโรงพยาบาลเล็ก ๆ ของเขา แม้จะเป็นโรงพยาบาลที่เปิดขึ้นเพื่อรักษาคนงานในสถานี แต่ชายหนุ่มก็เปิดให้บริการต่อผู้คนในเมืองด้วยเช่นกัน นอกจากนี้เขายังสร้างอาคารหลังขนาดย่อมเพื่อเป็นสถานที่สอนเขียนอ่านและการเรือนให้กับเด็ก ๆ ลูกคนงาน รวมทั้งลูกของชาวเมืองที่ต้องการเข้ามาเรียนด้วย โดยมีเอลิซาเบธ ภรรยาของนายแพทย์เออร์เนสท์ ทำหน้าที่เป็นครูสอน
วิลเลียมมองดูผู้หญิงที่ยังคงหลับสนิทเพราะฤทธิ์ยาที่นายแพทย์เออร์เนสท์ฉีดให้พลางถอนหายใจ เออร์เนสท์เข้ามาตรวจดูอาการของหญิงสาวที่ไม่ได้หมดสติเสียทีเดียว แต่ก็ดูไม่มีสติรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนบ้าง จนนายแพทย์หนุ่มเพื่อนสนิทของเขาฉีดยาให้ และบอกเขาว่ายาจะทำให้คนไข้ของเขาหลับไปอีกพักใหญ่ ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วง เพียงดูแลให้หญิงสาวได้รับความอบอุ่นอย่างเพียงพอก็พอแล้ว และหลังอาหารเย็น เพื่อนของเขาจะเข้ามาดูอาการอีกที
“ผู้หญิงคนนี้มาจากต่างมิติ ดูเสื้อผ้าของนางสิ นายท่านเคยเห็นใครแต่งตัวแบบนี้บ้าง นางต้องหลุดเข้ามาที่มิติของเราตอนประตูมิติเปิดพร้อม ๆ กับพายุงวงช้างนั่นแน่ ๆ” โมรานบอกเขาหลังจากที่เขา โมราน และคนงานจำนวนหนึ่งไปพบหญิงสาวฟุบอยู่บนชายหาด หลังจากพายุงวงช้างสงบลง เขาไม่เถียงว่าเขาไม่เคยเห็นคนผิวสีนี้และแต่งตัวประหลาดแบบนี้ แต่จะให้สรุปว่าเธอมาจากต่างมิติมันก็เหลือเชื่อเกินกว่าที่เขาจะยอมรับได้ คงต้องรอถามเอากับเจ้าตัวว่าเธอมาจากไหนกันแน่ เมื่อหญิงสาวตื่นขึ้นมากระมัง
วิลเลียมขยับเข้าไปใกล้เตียงเมื่อมองเห็นคนที่นอนหลับสนิทขยับตัวพร้อมพึมพำเบา ๆ
“น้ำ ขอน้ำ” หญิงสาวพึมพำเป็นภาษาที่เขาไม่เข้าใจ
“คุณว่าอะไรนะครับ” ชายหนุ่มถามคนที่ยังคงหลับตา ส่ายหน้าไปมาอยู่บนเตียง
“น้ำค่ะ ขอน้ำหน่อย ฉันหิวน้ำ” หญิงสาวยังคงพูดด้วยสำเนียงสูง ๆ ต่ำ ๆ ที่เขาไม่เข้าใจอยู่นั่นเอง
“คุณพูดภาษาของเราได้ไหม” ชายหนุ่มถาม เพราะดูเหมือนหญิงสาวจะพูดภาษาของเธอ ซึ่งเป็นภาษาที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน และเขาไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดอะไรอยู่
“ขอน้ำค่ะ” ณัฐญาณ์เปลี่ยนภาษาพูดอัตโนมัติเมื่อได้ยินเสียงทุ้มตอบกลับมา เพราะเรียนอยู่ประเทศอังกฤษหลายปี และทำงานที่ต้องใช้ภาษาตลอดเวลา ทำให้หญิงสาวสามารถสลับกลับไปมาระหว่างสองภาษาได้โดยไม่ต้องหยุดคิด
วิลเลียมเดินไปหยิบเหยือกน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงก่อนจะรินใส่แก้วและเดินเข้าไปหาคนที่ยังนอนอยู่บนเตียง ชายหนุ่มประคองหญิงสาวให้ลุกขึ้นนั่งและจ่อแก้วตรงริมฝีปาก
“ค่อย ๆ จิบ” บอกเสียงนุ่ม ณัฐญาณ์จิบน้ำช้า ๆ ตามคำบอกของคนที่ประคองอยู่ ก่อนจะกล่าวเสียงเบา
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวมองชายหนุ่มที่แต่งตัวดูเป็นทางการในเสื้อเชิ้ตแขนยาวตัวในสีขาว เสื้อกั๊กสีเดียวกัน ติดโบว์ไทด์สีดำ กางเกงสีเดียวกับโบว์ และรองเท้าหนังสีดำแบบมีส้นปลายแหลมขัดมันเงาวับ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปสังเกตเครื่องเรือนที่อยู่ในห้อง การตกแต่งห้องเหมือนกับห้องพักในโรงแรมและพิพิธภัณฑ์แคมพ์เบลล์ที่เธอพักอยู่ หรือว่าเธอกลับมาที่โรงแรมหลังจากเฮลิคอปเตอร์ตก แต่เธอไม่เห็นรู้ว่าพนักงานของโรงแรมจะแต่งตัวให้เข้ากับธีมของโรงแรมด้วย
“ฉันอยู่ที่ไหนคะ” ตัดสินใจถาม
“สถานีแปรรูปวาฬแคมพ์เบลล์” ชายหนุ่มตอบ คนถามขมวดคิ้ว ถามซ้ำเพื่อความแน่ใจ
“โรงแรมและพิพิธภัณฑ์ ซึ่งในอดีตเคยเป็นสถานีแปรรูปวาฬ ใช่ไหมคะ”
“ไม่มีอดีต ที่นี่คือสถานีแปรรูปวาฬของผม ไม่มีโรงแรมหรือพิพิธภัณฑ์อย่างที่คุณว่า” ชายหนุ่มตอบน้ำเสียงปราณี คงเป็นเพราะเพิ่งประสบอุบัติเหตุรุนแรงและตื่นขึ้นมาในสถานที่แปลกตากับคนแปลกหน้ากระมัง จึงทำให้หญิงสาวสับสนและพูดอะไรแปลก ๆ ออกมา
ณัฐญาณ์คิดตามคำพูดของชายหนุ่ม สถานีแปรรูปวาฬ... สถานีแปรรูปวาฬของเขา... ถ้าอย่างนั้นเขาก็คือ...
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นเพื่อมองชายหนุ่มที่อยู่กับเธอตลอดเวลา นับตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ก่อนจะตาเบิกกว้างเมื่อจำได้ว่าเขาคือชายหนุ่มในรูปในหนังสือแนะนำและประวัติของโรงแรมและพิพิธภัณฑ์ที่เธอเข้าพัก อีกทั้งเป็นคนเดียวกับที่เธอฝันถึงก่อนที่จะสะดุ้งตื่นเมื่อเช้านี้ ทั้งรูปถ่ายและภาพในฝันดูไม่ชัดเจนนัก หากแต่ผู้ชายตรงหน้านี้มองดูเหมือนจริง... จนเธอกลัว...
“วิลเลียม แคมพ์เบลล์” ชายหนุ่มแนะนำตัวพร้อมโค้งให้แสดงการทักทาย
“ไม่จริง เราต้องฝันไปแน่ ๆ” คนที่ยังนอนอยู่บนเตียงพึมพำกับตนเอง พยายามหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นใหม่ โดยหวังว่าทุกอย่างตรงหน้าจะเป็นเพียงความฝัน หากคนที่ควรจะเป็นเพียงคนในฝันกลับยืนยันเสียงหนักแน่น
“ทุกอย่างเป็นความจริง แต่ไม่ต้องกังวลไป คุณจะอยู่ที่นี่อย่างสุขสบายในฐานะแขกของผม ผมจะดูแลคุณอย่างดีที่สุด จนกว่าเราจะติดต่อบิดามารดาของคุณได้และส่งคุณกลับไปหาท่านอย่างปลอดภัย”
“ถ้าทุกอย่างเป็นความจริงอย่างที่คุณว่า แล้วฉันจะกลับไปได้อย่างไรคะกัปตัน” หญิงสาวพึมพำ พูดกับตนเองมากกว่าที่จะถามคนตรงหน้า มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่ผู้ชายที่กำลังพูดอยู่กับเธอคือ กัปตันวิลเลียม แคมพ์เบลล์ เจ้าของสถานีล่าวาฬซึ่งในปัจจุบันได้กลายเป็นโรงแรมและพิพิธภัณฑ์ที่เธอเข้าพักขณะเดินทางมาท่องเที่ยวที่ออสเตรเลีย นี่คือชีวิตจริง เธอจะย้อนเวลากลับมาอดีตได้อย่างไร เรื่องราวเหลือเชื่อแบบนั้นมีแต่ในนิยายเท่านั้นล่ะ ตื่นเสียที ณัฐญาณ์ หญิงสาวบอกตนเองในใจ
ผู้ที่ถูกเรียกว่ากัปตันขมวดคิ้วมุ่นด้วยความประหลาดใจ เธอรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นกัปตันทั้ง ๆ ที่เขายังยังไม่เคยกล่าวถึงตำแหน่งนั้นแพ้เพียงครั้งเดียว และเมื่อเห็นสีหน้าแสดงความไม่เข้าใจของชายหนุ่ม คนที่ยังนอนอยู่บนเตียงก็ตอบน้ำเสียงสะบัด เพราะความรู้สึกอัดอั้นภายใน
“สงสัยหรือคะ ทำไมฉันรู้จักคุณ เอาเป็นว่าฉันรู้จักคุณมากกว่าที่คุณจะคาดถึงเชียวล่ะค่ะ” จากหนังสือประวัติของคุณอย่างไรเล่ากัปตันวิลเลียม แคมพ์เบลล์
“คุณรู้จักผมแล้ว จะไม่ให้เกียรติผมได้รู้จักแขกของผมบ้างหรือครับ” เป็นวิธีการถามชื่อของชายหนุ่ม
“ฉันชื่อณัฐค่ะ ณัฐญาณ์” หญิงสาวตอบ
“แนท นาทาย่าห์” ชายหนุ่มทวนชื่อหญิงสาวด้วยสำเนียงภาษาของตน โดยไม่รู้เลยว่า ชื่อที่เขาเรียก กระแทกใจคนที่ถูกเรียกเข้าอย่างจัง
[1] กูรี: ชื่อที่ชนเผ่าอะบอริจินในเขตนิวเซาธ์เวลส์และวิคตอเรียเรียกตนเอง