บทก่อนหน้า
บทนำ
http://ppantip.com/topic/31223069
บทที่ ๑
http://ppantip.com/topic/31235568
บทที่ ๒
http://ppantip.com/topic/31253339
บทที่ ๓
http://ppantip.com/topic/31265981
บทที่ ๔
http://ppantip.com/topic/31283288
บทที่ ๕
http://ppantip.com/topic/31298274
บทที่ ๖
http://ppantip.com/topic/31319220
บทที่ ๗
http://ppantip.com/topic/31337858
วันนี้สถานีล่าวาฬแคมพ์เบลล์ดูคึกคักมีชีวิตชีวาตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง คนงานพูดคุยกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นัยน์ตาฉายแววตื่นเต้น ทุกคนอยู่ในชุดเสื้อผ้าที่ดีที่สุดสำหรับการเข้าเมือง เพราะวันนี้ วิลเลียม แคมพ์เบลล์ นายเรือ เรือ ‘แคมพ์เบลล์’ จะเดินทางสู่เมลเบิร์น โดยพาลูกเรือล่าวาฬ คนงานในสถานีแปรรูป และคนทำงานที่บ้านไปด้วย ทั้งนี้รวมทั้งนายแพทเออร์เนสท์และภรรยาด้วย
“เราต้องค้างที่เมลเบิร์นสักสองสามคืน ผมมีธุรกิจต้องติดต่อหลายอย่างเพื่อเตรียมตัวออกเรือในหน้าหนาว ได้โปรดจัดเตรียมเสื้อผ้าไปให้พอ” ชายหนุ่มบอกกับหญิงสาวร่วมบ้าน ขณะที่ทุกคนเตรียมตัวออกเดินทางกันด้วยความตื่นเต้น
“เราจะนอนกันบนเรือหรือคะ”
“ไม่หรอก เราจะนอนโรงแรม ผมหมายถึงคุณ ผม นายแพทย์เออร์เนสท์กับภรรยา และเอลานอร์ เอลานอร์ต้องนอนกับคุณ โทการ์ไม่ค่อยพอใจเท่าไร แต่จะทำอย่างไรได้ ต้องมีคนนอนในห้องกับคุณด้วย” ชายหนุ่มว่า โทการ์เป็นสามีของเอลานอร์ โดยปกติหญิงรับใช้จะค้างบนเรือกับสามี แต่คราวนี้มีหญิงสาวผู้เป็นแขกมาด้วย เอลานอร์จึงต้องค้างที่โรงแรมกับผู้เป็นนายหญิง
“พวกลูกเรือและคนงานจะนอนบนเรือ เรือจะเทียบท่าที่ท่าเรือ ‘ซานดริดจ์’ [1] จริง ๆ แล้วผมไม่ได้บังคับให้ลูกเรือต้องนอนบนเรือหรอกนะ แต่พวกเขาเลือกที่จะนอนบนเรือเพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายค่าที่พักน่ะ” ชายหนุ่มอธิบาย
“จริง ๆ แล้วฉันอยู่คนเดียวได้ค่ะ เอลานอร์ไม่จำเป็นต้องมานอนเป็นเพื่อนเลย” หญิงสาวบอก รู้สึกไม่ดีที่เป็นสาเหตุทำให้เอลานอร์และสามีต้องแยกกัน ทั้ง ๆ ที่เป็นโอกาสดีที่สองสามีภรรยาจะได้มาพักผ่อนด้วยกันแท้ ๆ หากแต่ชายหนุ่มกลับส่ายหน้า
“คุณจะพักที่โรงแรมคนเดียวได้อย่างไร” เขาว่า ทำให้ณัฐญาณ์อ้าปากเกือบจะเถียงกลับไปแล้วว่า พักคนเดียวที่ไหน เขากับนายแพทย์เออร์เนสท์และภรรยาก็พักอยู่ด้วยกัน ก่อนที่จะนึกได้ว่า ตัวเธอเองเป็นสุภาพสตรีที่ยังโสดและไม่สามารถไปค้างอ้างแรมนอกบ้านโดยไม่มีคนพักอยู่ในห้องด้วยได้ จึงสงบปากสงบคำ ซึ่งอาการอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรแล้วหุบลงนั้น ไม่รอดสายตาของชายหนุ่มที่จับตามองอยู่ตลอดเวลาไปได้ และนั่นก็ทำให้นัยน์ตาสีฟ้าเข้มของเขาฉายแววขบขันจนเป็นประกายระริก ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ณัฐญาณ์ส่งค้อนให้ชายหนุ่มวงใหญ่
“ค่ะ ฉันลืมไปว่าฉันอยู่ในสมัย...”
“โบราณ” พูดยังไม่ทันจบ เขาก็สอดขึ้นต่อคำให้ ณัฐญาณ์มองหาร่องรอยประชดประชันในน้ำเสียงของชายหนุ่มหากแต่ไม่พบสิ่งใด มีเพียงใบหน้าเปื้อนยิ้มของเขาเท่านั้นที่จ้องมองเธออยู่
“คุณไม่โกรธแล้วหรือคะ”
“ไม่หรอก ผมก็เป็นคนโบราณจริง ๆ แต่ตอนนี้คุณก็โบราณไม่ต่างกับผมหรอก” ชายหนุ่มตอบ มีรอยยิ้มขันในหน้า
“นั่นสิคะ ตอนนี้ฉันก็ใช้ชีวิตอย่างคนโบราณเต็มรูปแบบเลย” หญิงสาวว่ายิ้ม ๆ อย่างล้อเล่นมากกว่าจะจริงจัง เธอไม่รู้สึกอ้างว้างในอกเหมือนเช่นเคยเมื่อคิดว่าตนเองอยู่ในยุคสมัยใด ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะเธอเริ่มคุ้นชินกับชีวิตและผู้คนที่นี่ จนไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในสถานที่ที่ไม่รู้จักและผู้คนที่ไม่คุ้นเคยอีกต่อไป
เรือ ‘แคมพ์เบลล์’ พาลูกเรือและผู้โดยสารทั้งหมดออกเดินทางจากท่าเรือหน้าสถานีแปรรูปวาฬแคมพ์เบลล์ในตอนเช้าตรู่ ล่องเลียบชายฝั่งขึ้นเหนือมุ่งตรงสู่เมลเบิร์น เมืองที่ใหญ่ที่สุดในเขตนี้
เนื่องจากการค้นพบแร่ทองคำในปี 1850 ที่วิคตอเรีย ทำให้ผู้คนอพยพมาขุดทองเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เมืองเมลเบิร์นขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา และเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าและธุรกิจของเขตอาณานิคม [2] วิคตอเรียในที่สุด
วิลเลียม แคมพ์เบลล์ พาเรือเข้าเทียบท่าที่ท่าเรือซานดริดจ์ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ลูกเรือบางส่วนรับประทานอาหารเย็นบนเรือ บางส่วนขึ้นฝั่งเพื่อหาอาหารเย็นรับประทานและไปนั่งดื่มตามผับซึ่งมีอยู่มากมายในบริเวณท่าเรือ ในขณะที่ผู้เป็นนายเรือพาหญิงสาวผู้เป็นแขกขึ้นรถไฟเข้าไปในตัวเมืองเมลเบิร์นพร้อมกับนายแพทย์เออร์เนสท์และภรรยา รวมทั้งเอลานอร์ เพื่อเช็คอินเข้าพักที่โรงแรมในตัวเมืองตามที่วางแผนไว้
รถไฟจากสถานีซานดริดจ์ใช้เวลาเดินทางราวสิบนาที ก็ถึงจุดหมายที่สถานี ‘เมลเบิร์น เทอร์มินัส’ [3] ซึ่งตั้งอยู่หัวมุมถนนฟลินเดอร์สและถนนสวันสตัน ริมแม่น้ำยาร์รา แม่น้ำสายสำคัญของตัวเมืองเมลเบิร์น เป็นแหล่งน้ำกินน้ำใช้สำหรับคนในเมือง รวมทั้งเป็นเส้นทางสัญจรทั้งของผู้คนและเรือขนสินค้าขนาดเล็กด้วย
ขณะรถไฟกำลังแล่นไปบนสะพานไม้ที่ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าบ้านบอกกับหญิงสาวผู้เป็นแขกว่า ‘สะพานซานดริดจ์’ [4] ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเชื่อมเมืองที่อยู่คนละฝั่งแม่น้ำเข้าด้วยกัน ณัฐญาณ์มองลงไปเบื้องล่าง ก็พบกับท่าเรือขนาดใหญ่ จึงถามชายหนุ่ม
“ตรงนี้ก็มีท่าเรือ ทำไมเราไม่เข้ามาเทียบท่าที่นี่คะ น่าจะสะดวกต่อการเข้าเมืองมากกว่า”
“เพราะเรือของผมเป็นเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ ไม่สามารถล่องเข้ามาในแม่น้ำ ‘ยาร์รา’ ได้ และนี่คือเหตุผลที่ทำให้เกิดทางรถไฟสายเมลเบิร์น – ซานดริดจ์ขึ้นมา เพื่อเป็นเส้นทางลำเลียงสินค้าจากท่าเรือซานดริดจ์เข้าเมลเบิร์น” ชายหนุ่มตอบ
หลังจากลงจากสะพาน รถไฟก็เข้าเทียบชานชาลาที่สถานีเมลเบิร์น เทอร์มินัส แทบจะในทันที กลุ่มคณะเดินทางกลุ่มย่อมออกมาจากสถานีรถไฟและมายืนรวมกันอยู่บนถนนฟลินเดอร์สหน้าสถานี ก่อนที่วิลเลียมจะบอกกับทุกคน
“โรงแรม ‘ดยุค ออฟ เวลลิงตัน’ [5] ที่เราจะเข้าพัก อยู่หัวมุมถนนเส้นนี้ตัดกับถนนรัสเซล เดินไปเพียงบล็อคเดียวก็ถึงแล้ว แต่ตอนนี้ค่ำแล้ว ผมคิดว่าเรียกรถม้าจะดีกว่า” เมื่อทุกคนเห็นด้วย ชายหนุ่มจึงทำสัญญาณเรียกรถม้าที่วิ่งผ่านไปมาเป็นระยะ โดยทั้งหมดใช้รถม้าแบบสองที่นั่งสามคัน สำหรับชายหนุ่มและหญิงสาวคันหนึ่ง นายแพทย์เออร์เนสท์และภรรยาคันหนึ่ง และอีกคันสำหรับเอลานอร์ จากนั้นรถม้าทั้งสามคันก็วิ่งตามกันไป ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ก็มาหยุดลงหน้าอาคารก่ออิฐสองชั้นขนาดใหญ่ กินพื้นที่หัวมุมถนนฟลินเดอร์สและถนนรัสเซลไปทั้งแถบ บนชั้นสองของตัวอาคารมีหน้าต่างบานสูงเรียงราย ส่วนด้านล่างมีประตูบานใหญ่ด้านหน้า และหน้าต่างที่กว้างกว่าเรียงรายอยู่ด้านข้าง เหนือหน้าต่างชั้นสองเห็นตัวหนังสือนูนสูงขนาดใหญ่อ่านได้ว่า ‘Duke of Wellington Hotel’ ติดอยู่ ข้าง ๆ ตึกของโรงแรมเป็นร้านรวงที่บัดนี้ปิดทำการไปแล้ว มีเพียงผับและร้านอาหารที่ยังคงเปิดให้บริการอยู่
หลังเช็คอินเข้าที่พักเรียบร้อย ทั้งหมดตกลงรับประทานอาหารเย็นที่ห้องอาหารในโรงแรมและแยกย้ายกันเข้าพักผ่อน ส่วนวันรุ่งขึ้นจะแยกย้ายกันทำธุระของแต่ละคน โดยโทการ์ สามีของเอลานอร์จะนั่งรถไฟเข้าเมืองและมารับหญิงรับใช้เพื่อไปใช้เวลาเที่ยวเล่นในเมืองด้วยกัน ส่วนณัฐญาณ์นั้น วิลเลียม แคมพ์เบลล์ ถือเป็นหน้าที่ของเขาที่จะเป็นเจ้าบ้านพาหญิงสาวเที่ยวชมเมือง ซึ่งผู้เป็นแขกก็ไม่เกี่ยงงอนแต่อย่างใด เธอไม่อยากให้มีเอลานอร์อยู่ด้วย เพราะคงไม่สะดวกที่จะพูดถึงเมลเบิร์นในปัจจุบันที่เธอรู้จักขณะเดินชมเมืองในอดีตเมื่อ ๑๕๐ ปีที่แล้วกับชายหนุ่ม
“ราตรีสวัสดิ์ครับแนท” วิลเลียมกล่าวกับหญิงสาวเมื่อเดินมาส่งเธอถึงหน้าห้อง โดยมีเอลานอร์เดินเข้าไปในห้องก่อน
“เช่นกันค่ะวิล พบกันพรุ่งนี้ค่ะ ฝันดีนะคะ”
สุดปลายฝัน: บทที่ ๘
บทนำ http://ppantip.com/topic/31223069
บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/31235568
บทที่ ๒ http://ppantip.com/topic/31253339
บทที่ ๓ http://ppantip.com/topic/31265981
บทที่ ๔ http://ppantip.com/topic/31283288
บทที่ ๕ http://ppantip.com/topic/31298274
บทที่ ๖ http://ppantip.com/topic/31319220
บทที่ ๗ http://ppantip.com/topic/31337858
วันนี้สถานีล่าวาฬแคมพ์เบลล์ดูคึกคักมีชีวิตชีวาตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง คนงานพูดคุยกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นัยน์ตาฉายแววตื่นเต้น ทุกคนอยู่ในชุดเสื้อผ้าที่ดีที่สุดสำหรับการเข้าเมือง เพราะวันนี้ วิลเลียม แคมพ์เบลล์ นายเรือ เรือ ‘แคมพ์เบลล์’ จะเดินทางสู่เมลเบิร์น โดยพาลูกเรือล่าวาฬ คนงานในสถานีแปรรูป และคนทำงานที่บ้านไปด้วย ทั้งนี้รวมทั้งนายแพทเออร์เนสท์และภรรยาด้วย
“เราต้องค้างที่เมลเบิร์นสักสองสามคืน ผมมีธุรกิจต้องติดต่อหลายอย่างเพื่อเตรียมตัวออกเรือในหน้าหนาว ได้โปรดจัดเตรียมเสื้อผ้าไปให้พอ” ชายหนุ่มบอกกับหญิงสาวร่วมบ้าน ขณะที่ทุกคนเตรียมตัวออกเดินทางกันด้วยความตื่นเต้น
“เราจะนอนกันบนเรือหรือคะ”
“ไม่หรอก เราจะนอนโรงแรม ผมหมายถึงคุณ ผม นายแพทย์เออร์เนสท์กับภรรยา และเอลานอร์ เอลานอร์ต้องนอนกับคุณ โทการ์ไม่ค่อยพอใจเท่าไร แต่จะทำอย่างไรได้ ต้องมีคนนอนในห้องกับคุณด้วย” ชายหนุ่มว่า โทการ์เป็นสามีของเอลานอร์ โดยปกติหญิงรับใช้จะค้างบนเรือกับสามี แต่คราวนี้มีหญิงสาวผู้เป็นแขกมาด้วย เอลานอร์จึงต้องค้างที่โรงแรมกับผู้เป็นนายหญิง
“พวกลูกเรือและคนงานจะนอนบนเรือ เรือจะเทียบท่าที่ท่าเรือ ‘ซานดริดจ์’ [1] จริง ๆ แล้วผมไม่ได้บังคับให้ลูกเรือต้องนอนบนเรือหรอกนะ แต่พวกเขาเลือกที่จะนอนบนเรือเพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายค่าที่พักน่ะ” ชายหนุ่มอธิบาย
“จริง ๆ แล้วฉันอยู่คนเดียวได้ค่ะ เอลานอร์ไม่จำเป็นต้องมานอนเป็นเพื่อนเลย” หญิงสาวบอก รู้สึกไม่ดีที่เป็นสาเหตุทำให้เอลานอร์และสามีต้องแยกกัน ทั้ง ๆ ที่เป็นโอกาสดีที่สองสามีภรรยาจะได้มาพักผ่อนด้วยกันแท้ ๆ หากแต่ชายหนุ่มกลับส่ายหน้า
“คุณจะพักที่โรงแรมคนเดียวได้อย่างไร” เขาว่า ทำให้ณัฐญาณ์อ้าปากเกือบจะเถียงกลับไปแล้วว่า พักคนเดียวที่ไหน เขากับนายแพทย์เออร์เนสท์และภรรยาก็พักอยู่ด้วยกัน ก่อนที่จะนึกได้ว่า ตัวเธอเองเป็นสุภาพสตรีที่ยังโสดและไม่สามารถไปค้างอ้างแรมนอกบ้านโดยไม่มีคนพักอยู่ในห้องด้วยได้ จึงสงบปากสงบคำ ซึ่งอาการอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรแล้วหุบลงนั้น ไม่รอดสายตาของชายหนุ่มที่จับตามองอยู่ตลอดเวลาไปได้ และนั่นก็ทำให้นัยน์ตาสีฟ้าเข้มของเขาฉายแววขบขันจนเป็นประกายระริก ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ณัฐญาณ์ส่งค้อนให้ชายหนุ่มวงใหญ่
“ค่ะ ฉันลืมไปว่าฉันอยู่ในสมัย...”
“โบราณ” พูดยังไม่ทันจบ เขาก็สอดขึ้นต่อคำให้ ณัฐญาณ์มองหาร่องรอยประชดประชันในน้ำเสียงของชายหนุ่มหากแต่ไม่พบสิ่งใด มีเพียงใบหน้าเปื้อนยิ้มของเขาเท่านั้นที่จ้องมองเธออยู่
“คุณไม่โกรธแล้วหรือคะ”
“ไม่หรอก ผมก็เป็นคนโบราณจริง ๆ แต่ตอนนี้คุณก็โบราณไม่ต่างกับผมหรอก” ชายหนุ่มตอบ มีรอยยิ้มขันในหน้า
“นั่นสิคะ ตอนนี้ฉันก็ใช้ชีวิตอย่างคนโบราณเต็มรูปแบบเลย” หญิงสาวว่ายิ้ม ๆ อย่างล้อเล่นมากกว่าจะจริงจัง เธอไม่รู้สึกอ้างว้างในอกเหมือนเช่นเคยเมื่อคิดว่าตนเองอยู่ในยุคสมัยใด ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะเธอเริ่มคุ้นชินกับชีวิตและผู้คนที่นี่ จนไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในสถานที่ที่ไม่รู้จักและผู้คนที่ไม่คุ้นเคยอีกต่อไป
เรือ ‘แคมพ์เบลล์’ พาลูกเรือและผู้โดยสารทั้งหมดออกเดินทางจากท่าเรือหน้าสถานีแปรรูปวาฬแคมพ์เบลล์ในตอนเช้าตรู่ ล่องเลียบชายฝั่งขึ้นเหนือมุ่งตรงสู่เมลเบิร์น เมืองที่ใหญ่ที่สุดในเขตนี้
เนื่องจากการค้นพบแร่ทองคำในปี 1850 ที่วิคตอเรีย ทำให้ผู้คนอพยพมาขุดทองเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เมืองเมลเบิร์นขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา และเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าและธุรกิจของเขตอาณานิคม [2] วิคตอเรียในที่สุด
วิลเลียม แคมพ์เบลล์ พาเรือเข้าเทียบท่าที่ท่าเรือซานดริดจ์ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ลูกเรือบางส่วนรับประทานอาหารเย็นบนเรือ บางส่วนขึ้นฝั่งเพื่อหาอาหารเย็นรับประทานและไปนั่งดื่มตามผับซึ่งมีอยู่มากมายในบริเวณท่าเรือ ในขณะที่ผู้เป็นนายเรือพาหญิงสาวผู้เป็นแขกขึ้นรถไฟเข้าไปในตัวเมืองเมลเบิร์นพร้อมกับนายแพทย์เออร์เนสท์และภรรยา รวมทั้งเอลานอร์ เพื่อเช็คอินเข้าพักที่โรงแรมในตัวเมืองตามที่วางแผนไว้
รถไฟจากสถานีซานดริดจ์ใช้เวลาเดินทางราวสิบนาที ก็ถึงจุดหมายที่สถานี ‘เมลเบิร์น เทอร์มินัส’ [3] ซึ่งตั้งอยู่หัวมุมถนนฟลินเดอร์สและถนนสวันสตัน ริมแม่น้ำยาร์รา แม่น้ำสายสำคัญของตัวเมืองเมลเบิร์น เป็นแหล่งน้ำกินน้ำใช้สำหรับคนในเมือง รวมทั้งเป็นเส้นทางสัญจรทั้งของผู้คนและเรือขนสินค้าขนาดเล็กด้วย
ขณะรถไฟกำลังแล่นไปบนสะพานไม้ที่ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าบ้านบอกกับหญิงสาวผู้เป็นแขกว่า ‘สะพานซานดริดจ์’ [4] ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเชื่อมเมืองที่อยู่คนละฝั่งแม่น้ำเข้าด้วยกัน ณัฐญาณ์มองลงไปเบื้องล่าง ก็พบกับท่าเรือขนาดใหญ่ จึงถามชายหนุ่ม
“ตรงนี้ก็มีท่าเรือ ทำไมเราไม่เข้ามาเทียบท่าที่นี่คะ น่าจะสะดวกต่อการเข้าเมืองมากกว่า”
“เพราะเรือของผมเป็นเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ ไม่สามารถล่องเข้ามาในแม่น้ำ ‘ยาร์รา’ ได้ และนี่คือเหตุผลที่ทำให้เกิดทางรถไฟสายเมลเบิร์น – ซานดริดจ์ขึ้นมา เพื่อเป็นเส้นทางลำเลียงสินค้าจากท่าเรือซานดริดจ์เข้าเมลเบิร์น” ชายหนุ่มตอบ
หลังจากลงจากสะพาน รถไฟก็เข้าเทียบชานชาลาที่สถานีเมลเบิร์น เทอร์มินัส แทบจะในทันที กลุ่มคณะเดินทางกลุ่มย่อมออกมาจากสถานีรถไฟและมายืนรวมกันอยู่บนถนนฟลินเดอร์สหน้าสถานี ก่อนที่วิลเลียมจะบอกกับทุกคน
“โรงแรม ‘ดยุค ออฟ เวลลิงตัน’ [5] ที่เราจะเข้าพัก อยู่หัวมุมถนนเส้นนี้ตัดกับถนนรัสเซล เดินไปเพียงบล็อคเดียวก็ถึงแล้ว แต่ตอนนี้ค่ำแล้ว ผมคิดว่าเรียกรถม้าจะดีกว่า” เมื่อทุกคนเห็นด้วย ชายหนุ่มจึงทำสัญญาณเรียกรถม้าที่วิ่งผ่านไปมาเป็นระยะ โดยทั้งหมดใช้รถม้าแบบสองที่นั่งสามคัน สำหรับชายหนุ่มและหญิงสาวคันหนึ่ง นายแพทย์เออร์เนสท์และภรรยาคันหนึ่ง และอีกคันสำหรับเอลานอร์ จากนั้นรถม้าทั้งสามคันก็วิ่งตามกันไป ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ก็มาหยุดลงหน้าอาคารก่ออิฐสองชั้นขนาดใหญ่ กินพื้นที่หัวมุมถนนฟลินเดอร์สและถนนรัสเซลไปทั้งแถบ บนชั้นสองของตัวอาคารมีหน้าต่างบานสูงเรียงราย ส่วนด้านล่างมีประตูบานใหญ่ด้านหน้า และหน้าต่างที่กว้างกว่าเรียงรายอยู่ด้านข้าง เหนือหน้าต่างชั้นสองเห็นตัวหนังสือนูนสูงขนาดใหญ่อ่านได้ว่า ‘Duke of Wellington Hotel’ ติดอยู่ ข้าง ๆ ตึกของโรงแรมเป็นร้านรวงที่บัดนี้ปิดทำการไปแล้ว มีเพียงผับและร้านอาหารที่ยังคงเปิดให้บริการอยู่
หลังเช็คอินเข้าที่พักเรียบร้อย ทั้งหมดตกลงรับประทานอาหารเย็นที่ห้องอาหารในโรงแรมและแยกย้ายกันเข้าพักผ่อน ส่วนวันรุ่งขึ้นจะแยกย้ายกันทำธุระของแต่ละคน โดยโทการ์ สามีของเอลานอร์จะนั่งรถไฟเข้าเมืองและมารับหญิงรับใช้เพื่อไปใช้เวลาเที่ยวเล่นในเมืองด้วยกัน ส่วนณัฐญาณ์นั้น วิลเลียม แคมพ์เบลล์ ถือเป็นหน้าที่ของเขาที่จะเป็นเจ้าบ้านพาหญิงสาวเที่ยวชมเมือง ซึ่งผู้เป็นแขกก็ไม่เกี่ยงงอนแต่อย่างใด เธอไม่อยากให้มีเอลานอร์อยู่ด้วย เพราะคงไม่สะดวกที่จะพูดถึงเมลเบิร์นในปัจจุบันที่เธอรู้จักขณะเดินชมเมืองในอดีตเมื่อ ๑๕๐ ปีที่แล้วกับชายหนุ่ม
“ราตรีสวัสดิ์ครับแนท” วิลเลียมกล่าวกับหญิงสาวเมื่อเดินมาส่งเธอถึงหน้าห้อง โดยมีเอลานอร์เดินเข้าไปในห้องก่อน
“เช่นกันค่ะวิล พบกันพรุ่งนี้ค่ะ ฝันดีนะคะ”