สุดปลายฝัน บทนำ

กระทู้สนทนา
25 สิงหาคม ค.ศ. 1853, วิคตอเรีย – ออสเตรเลีย

วิลเลียม แคมพ์เบลล์ เอนตัวลงนอนบนเตียงเล็กในเคบินนายเรือ เรือ ‘มาร์กาเร็ต 2’ ซึ่งเป็นหนึ่งในเรือล่าวาฬของ ‘แคมพ์เบลล์ เวลลิง กัมปะนี’ธุรกิจล่าวาฬของบิดา

ชายหนุ่มนำเรือออกล่าวาฬในฐานะนายเรือเต็มตัวเป็นครั้งแรกในฤดูกาลนี้ และหลังจากสามเดือนในทะเล วันนี้คือวันสุดท้ายของฤดูกาล ก่อนที่พรุ่งนี้เช้า เรือ ‘มาร์กาเร็ต 2’ จะมุ่งหน้าขึ้นฝั่งที่โบตานีย์เบย์ ท่าเรือซึ่งตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองหลวง [1] ซิดนีย์เล็กน้อย เพื่อนำวาฬที่จับได้เข้าสู่สถานีแปรรูป อันตั้งอยู่ไม่ห่างจากท่าเรือมากนัก

คืนนี้เขาอนุญาตให้ลูกเรือสนุกสนานกับงานเลี้ยงส่งท้ายฤดูกาล หลังจากทำงานหนักในทะเลมาหลายเดือน ชายหนุ่มตรวจดูความเรียบร้อยว่ามีการวางเวรยามบนดาดฟ้า และมอบหมายหน้าที่ให้ต้นเรือกำกับการเดินเรือแทน ก่อนที่จะเข้านอนหลังจากที่เข้าร่วมงานสังสรรค์ระยะหนึ่ง ชายหนุ่มจำเป็นต้องพักผ่อนเอาแรง เพราะพรุ่งนี้เขาต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมความพร้อมครั้งสุดท้ายก่อนออกเดินทางกลับเข้าฝั่ง

นายเรือหนุ่มสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเคาะประตูเคบินหลังจากที่หลับลงไปเพียงครู่เดียว แต่แม้จะเพิ่งหลับไปไม่นาน ชายหนุ่มก็สามารถลุกขึ้นมาได้ทันทีโดยไม่มีท่าทางง่วงงุนแม้แต่น้อย ด้วยลักษณะของงานและความรับผิดชอบ ที่ชีวิตของลูกเรือทุกคนอยู่ในมือเขา ชายหนุ่มจึงต้องเตรียมพร้อมรับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นได้อยู่เสมอ ฟังจากเสียงเคาะประตูอันเร่งเร้า คนที่ถูกรบกวนการนอนเดาว่าคงจะมีเหตุการณ์ไม่ปกติเกิดขึ้น หาไม่แล้วเขาจะไม่ถูกปลุกในเวลาพักผ่อนเช่นนี้ นายเรือหนุ่มได้แต่หวังว่า เหตุการณ์ผิดปกติที่ว่านั่นคงจะไม่รุนแรงจนเกินความสามารถในการจัดการของเขา

วิลเลียมเดินไปเปิดประตูเคบิน มองเห็น ทอม ไรท์ เด็กหนุ่มกลาสีฝึกหัดที่ทำหน้าที่รับใช้ทั่วไปบนเรือและรับใช้ประจำตัวเขายืนอยู่หน้าห้องด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“มีอะไรรึทอม” ถามเด็กรับใช้ประจำตัวเสียงเคร่ง

“มีหมอกหนาครับกัปตัน ทำให้ตอนนี้มองไม่เห็นชายฝั่งเลยครับ” เด็กหนุ่มรายงานตามที่ได้รับมอบหมายจากต้นเรือที่ทำหน้าที่กำกับการเดินเรืออยู่ในตอนนี้ ข่าวจากเด็กรับใช้ประจำตัว ทำให้สีหน้าเคร่งของนายเรือหนุ่มดูเคร่งเครียดขึ้นไปอีก

“ตอนนี้งานเลี้ยงเป็นอย่างไรบ้าง”

“ยังดำเนินไปอยู่ครับ”

“ไปแจ้งข่าวให้ทุกคนที่ยังดื่มกินอยู่ทราบ เพื่อจะได้เตรียมตัวเผื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แต่เราคงทำอะไรไม่ได้ นอกจากจะรอให้หมอกสลายไปเอง ฉันจะขึ้นไปดูสถานการณ์บนดาดฟ้า” สั่งเสร็จก็เดินออกจากเคบินขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ และพบกับต้นเรือที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ก่อนแล้ว

“มองไม่เห็นอะไรเลยครับกัปตัน” ต้นเรือรายงานเมื่อเห็นนายเรือหนุ่มเดินเข้ามาหา

“เกิดขึ้นมานานแค่ไหนแล้ว เอ็ดวิน”    

“สักครึ่งชั่วโมงแล้วครับ”

นายเรือหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาพบว่าเป็นเวลาตีหนึ่งครึ่ง เขาเพิ่งหลับไปราวชั่วโมงครึ่งเท่านั้น และท่าทางคืนนี้คงจะเป็นอีกคืนที่ยาวนานทีเดียว

“เราทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ต้องรอให้หมอกสลายไปเอง กลับขึ้นไปที่ห้องบังคับเรือเถอะ ฉันจะเฝ้าสถานการณ์อยู่ที่นี่” หันไปบอกคนในบังคับบัญชาพลางถอนหายใจ

“ครับกัปตัน”

วิลเลียมใช้เวลาทั้งคืนเฝ้าระวังสถานการณ์อยู่บนดาดฟ้าเรือ จวบจนเริ่มมองเห็นแสงสว่างเรื่อเรืองทางขอบฟ้าด้านทิศตะวันออก และนาฬิกาบนข้อมือบอกเวลาห้านาฬิกา ชายหนุ่มจึงพบว่าหมอกหนาที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณสลายตัวลง แต่แทนที่จะทำให้ความเครียดที่มีมาทั้งคืนสลายไปเช่นกลุ่มหมอก ชายหนุ่มกลับตระหนกกับสิ่งที่มองเห็นอยู่ตรงหน้า

เรือ ‘มาร์กาเร็ต 2’ กำลังมุ่งหน้าตรงสู่หน้าผาหินในระยะที่ใกล้จนชายหนุ่มไม่สบายใจ ด้วยความเร็วของเรือที่กำลังแล่นไปอยู่นี้ เขามีเวลาเพียงไม่เกินสิบห้านาทีที่จะหันหัวเรือออกจากหน้าผาที่มองเห็นอยู่ตรงหน้า และเขาต้องลงมือเดี๋ยวนี้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
ชายหนุ่มวิ่งขึ้นไปบนห้องบังคับเรือพลางตะโกนสั่งต้นเรือที่ประจำอยู่ในห้องเสียงดัง

“เอ็ดวิน บอกทุกคนให้ขึ้นใบเรือทุกใบ เดี๋ยวนี้!” สั่งเสร็จก็เข้าประจำที่หลังพังงาเรือ พยายามที่จะบังคับเรือให้หันหัวกลับเข้าไปในทะเล เขาต้องทำได้ เขาจะปล่อยให้เรือชนหน้าผาไม่ได้ ชายหนุ่มบอกตัวเอง

ด้วยการเข้ารับตำแหน่งนายเรือในขณะที่อายุเพียงยี่สิบเอ็ดปี ชายหนุ่มถูกครหาว่าได้ตำแหน่งมาเพราะเป็นเรือของบิดา หาใช่เพราะเขามีความสามารถพอที่จะทำหน้าที่นี้ไม่ แม้ว่าเขาจะออกเรือตั้งแต่อายุสิบห้าและมีประสบการณ์ถึงหกปีก็ตาม ดูเหมือนว่านายเรือคนอื่น ๆ จะไม่คิดว่าเขามีประสบการณ์และความสามารถมากพอ วิลเลียมต้องการให้การล่าวาฬเที่ยวนี้ ซึ่งอยู่ภายใต้การนำของเขาเต็มตัว เป็นข้อพิสูจน์ว่าเขามีความสามารถมากพอที่จะเป็นนายเรือได้อย่างเต็มภาคภูมิ ด้วยวาฬเกือบสองร้อยตันที่เขาล่ามาได้ และกำลังจะถูกนำไปส่งยังสถานีแปรรูปในอีกไม่กี่วัน เพียงแต่เขาจะสามารถพาเรือออกจากวิกฤติครั้งนี้ไปได้ และเขาต้องทำให้ได้

เหตุการณ์บนดาดฟ้าเรือกำลังสับสนวุ่นวาย เสียงสั่งการ เสียงขานรับ ลูกเรือวิ่งวุ่นพยายามทำทุกวิถีทางที่จะพาเรือ ‘มาร์กาเร็ต 2’ หันหัวเรือออกจากหน้าผาตรงหน้าให้ได้ แต่ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะพยายามเพียงใด ก็ไม่สามารถจะบังคับหัวเรือให้หันไปอีกทางได้เลย เรือยังคงตะบึงเข้าหาหน้าผาหินที่มองเห็นใกล้เข้ามาในเรื่อย ๆ

“ทอดสมอเดี๋ยวนี้!!” ชายหนุ่มตะโกนสั่งลูกเรือ ก่อนจะวิ่งตรงไปยังด้านข้างลำเรือ เพื่อช่วยลูกเรือปล่อยสมอลงสู่ผืนน้ำดำมืดเบื้องล่าง
หลังจากพยายามจนสุดความสามารถแต่ไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าได้ ทางเลือกสุดท้ายคือทอดสมอเพื่อหยุดเรือ ไม่ให้แล่นไปข้างหน้า

ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะตัดสินใจช้าไปเพียงเสี้ยววินาที เพราะในขณะที่สมอกำลังถูกปล่อยลงสู่ผืนน้ำ เรือ ‘มาร์กาเร็ต 2’ ก็ชนเข้ากับหน้าผาหินตรงหน้าพอดี ชายหนุ่มรู้สึกถึงแรงกระแทกรุนแรง มองเห็นเรือบริเวณที่กระแทกกับหน้าผาแตกเป็นเสี่ยง ๆ น้ำทะเลทะลักเข้ามาในลำเรือในทันที ลูกเรืออยู่ในอาการตระหนกและขวัญเสีย วิ่งวุ่นอย่างไร้ทิศทาง

นายเรือหนุ่มหลับตาลงอย่างปวดร้าวเมื่อมองเห็นภาพตรงหน้า เขาไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว เขาไม่มีความสามารถพอที่จะเป็นนายเรืออย่างที่คนอื่นว่าจริง ๆ เขาไม่สามารถพาเรือและชีวิตของลูกเรือออกไปจากวิกฤติที่เกิดขึ้นได้ คงจะมีเพียงสิ่งเดียวที่เขาจะพอทำได้... สั่งการครั้งสุดท้ายในฐานะนายเรือ...

“ทุกคนตั้งสติ เอาเรือยาวออก ขึ้นเรือยาวให้หมดทุกคนก่อนที่เรือจะจม” ชายหนุ่มตะโกนสั่ง ลูกเรือวิ่งไปยังจุดที่เก็บเรือยาว ทำตามคำสั่งในทันที

“ไปด้วยกันนะครับกัปตัน” เอ็ดวิน ต้นเรือที่ยืนอยู่ไม่ห่างกล่าว หากชายหนุ่มส่ายหน้า

“เป็นหน้าที่ฉันที่จะทำให้แน่ใจว่าทุกคนลงเรือยาวเรียบร้อย ฉันเป็นกัปตัน ต้องเป็นคนสุดท้ายที่จะทิ้งเรือ ขอให้โชคดีเอ็ดวิน หากฉันรอดชีวิต เราคงได้พบกันอีก”

ก่อนที่ต้นเรือจะได้พูดอะไรต่อ ชายหนุ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างกระแทกเข้ากับลำเรืออีกครั้ง แรงกระแทกส่งให้เขาลอยละลิ่วตกลงไปในทะเลเบื้องล่าง เมื่อชายหนุ่มโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำอีกครั้งนั้น เขามองเห็นเรือลำใหญ่ที่กำลังจมลงช้า ๆ อยู่ไม่ไกล วูบหายไปต่อหน้าต่อตาราวกับถูกดูดด้วยอะไรบางอย่าง ก่อนที่ตัวเขาเองจะถูกคลื่นลูกโตกระแทกให้จมลงไปใต้น้ำอีกครั้ง

วิลเลียม แคมพ์เบลล์ พยายามต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด แต่น้ำทะเลเย็นเฉียบในฤดูหนาว ที่หนาวเย็นใกล้จุดเยือกแข็ง อีกทั้งคลื่นลูกใหญ่ที่กดเขาลงสู่ใต้น้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ในที่สุดชายหนุ่มก็หมดแรงที่จะต่อสู้ ขณะกำลังจะหมดสติ นายเรือหนุ่มยอมรับความพ่ายแพ้ เรือภายใต้การกำกับการของเขาล่มตั้งแต่เที่ยวแรก เขาไม่สามารถนำเรือและลูกเรือกลับเข้าฝั่งอย่างปลอดภัยได้ ในฐานะนายเรือ ไม่มีสิ่งใดที่เขาจะภูมิใจได้เลย... นอกจาก...

เขากำลังจะตายในทะเล... สมศักดิ์ศรีชาวเรือ...

[1] เมืองหลวงของรัฐ นิวเซาธ์เวลส์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่