JJNY : 5in1 โรมผิดหวัง ไร้คำตอบ│เกาะติดจัดการว้าแดง│เผยไทยเสี่ยงอันดับ 2│หุ้นไทยปิดรูด 8.22 จุด│นักร้องสาวอิหร่าน ท้าทาย

โรม ผิดหวัง ไร้คำตอบ 4 ลูกเรือ กลับเมื่อไหร่ แนะรบ.ยกระดับช่วย มองพม่าทำเกินกว่าเหตุ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4952020
“โรม” ผิดหวังไร้คำตอบ 4 ลูกเรือไทยจะได้กลับไทยเมื่อไหร่ แนะรัฐบาลต้องเข้มแข็งมากกว่านี้ มอง เมียนมาทำเกินกว่าเหตุ ด้าน ลูกเรือ เล่าเหตุการณ์ถูกไล่ยิงไม่หยุด อ้างข้อมูลปล่อยตัวช้าเหตุมีลูกเรือชาวเมียนมาต่อต้านรัฐบาล

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 13 ธันวาคม 2567 ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทยยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมที่เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงกรณีเรือประมงไทยถูกทหารเมียนมายิงว่า ต้องยอมรับยังไม่มีความชัดเจนถึงแนวทางดำเนินการกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วหรือการป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ แต่สิ่งที่ต้องย้ำเตือนคือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับประมงไทยเป็นเหตุการณ์เกินกว่าเหตุมาก ซึ่งได้รับข้อมูลว่าได้มีการใช้กลไกคณะกรรมการชายแดนท้องถิ่นไทย-เมียนมา หรือ TBC ในการคัดค้าน แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้วใช้ความรุนแรงเช่นนี้แล้ว ตนมีความเห็นว่าเรื่องนี้ท่าทีของไทยควรจะเป็นท่าทีที่ต้องเข้มแข็งมากกว่านี้
 
เบื้องต้นกระทรวงการต่างประเทศได้พยายามติดตามช่วยเหลือ 4 คนไทย ซึ่งก็ได้ให้กำลังใจกับหน่วยงานของรัฐในการช่วยเหลือคนไทย แต่ก็ไม่สามารถได้ตอบได้ว่าเมื่อใดที่คนไทยทั้ง 4 คนจะกลับสู่มาตุภูมิ ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องติดตามต่อไป และจะแสวงหาข้อมูลจากทางอื่นๆ ทั้งนี้ทราบพิกัดจุดเกิดเหตุแล้ว แต่สาระสำคัญคือความรุนแรงที่เกิดขึ้นทางการไทยอาจต้องแสดงท่าทีที่เข้มแข็ง ว่าเหตุการณ์เช่นนี้ที่เกิดขึ้นโดยกองทัพเรือของเมียนมาเกินกว่าเหตุและไทยไม่สามารถยอมรับได้ เราอาจจะต้องประท้วงในลักษณะเข้มแข็งมากกว่านี้

นายรังสิมันต์กล่าวต่อว่า เรื่องความชัดเจนว่าคนไทย 4 คนจะถูกปล่อยตัวกลับเมื่อไหร่ เป็นเรื่องที่ตอบยากมาก เพราะอยู่ที่ทางการเมียนมาจะส่งคนไทยให้หรือไม่ อีกทั้งเรือประมงที่ถูกยิงเสียหายใครจะเป็นผู้ชดใช้ค่าเสียหาย ไม่มีข้อมูลข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรือประมง ไม่มีการเตือนหรือแจ้งล่วงหน้า แต่เป็นการยิงเข้ากลางลำเรือ อาจทำให้เกิดการเสียชีวิตได้หลักสิบถ้าไม่หนี

และวันนี้ลูกเรือไทยผู้ร้องที่ถูกยิงเฉียดศีรษะและอยู่ในเหตุการณ์วิดีโอคอลมาเล่าให้ กมธ.ฟังว่าพยายามหนีเพราะไม่ทราบว่าใครเป็นคนยิง แม้จะขับเรือออกห่างจากเรือที่ยิง ก็ยังมีการไล่ยิงต่อ เป็นระยะเวลานาน ซึ่งข้อมูลทั้งหมดที่เราได้รับ แสดงให้เห็นว่ากองทัพเรือเมียนมาใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ เพราะเรือที่ติดธงชาติไทย ขัดต่อหลักกฎหมายระหว่างประเทศ แม้ว่าพื้นที่ตรงนั้นอาจจะยังไม่มีความชัดเจนหรือเป็นพื้นที่ทับซ้อน แต่วิธีการนี้เป็นวิธีการรุนแรงและทำลายความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศด้วย

เมื่อถามว่า มีข้อมูลอื่นนอกจากเป็นเรือประมงปกติหรือไม่ทำให้เมียนมาไม่ยอมปล่อยตัว นายรังสิมันต์กล่าวว่า มีข้อมูลในทำนองว่าทางเมียนมามองว่าลูกเรือบางคนที่เป็นคนเมียนมา อาจเกี่ยวข้องกับการต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา ไม่ทราบข้อมูลข้อเท็จจริง แต่เป็นคนละเรื่องกับลูกเรือของไทย

นายรังสิมันต์กล่าวว่า จากเดิมได้รับข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศว่าวันที่ 5 ธันวาคม ลูกเรือทั้ง 4 ควรจะได้กลับบ้านแต่ก็ไม่ทราบสาเหตุว่าสุดท้ายเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงไม่สามารถกลับได้ และไม่มีคำอธิบายชี้แจงใดๆ เบื้องต้นกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามช่วยเหลือลูกเรือ ไม่ได้มีแนวทางว่าจะเพิ่มแรงกดดันไปมากกว่านี้ ไม่มีข้อมูลไหลเข้าสู่ กมธ.เรื่องแนวทางที่จะมีการยกระดับไปมากกว่านี้ ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลควรจะยกระดับเพื่อช่วยเหลือ

ดังนั้นตนเห็นว่า ท่าทีของรัฐบาลไทยอ่อนเกินไป ควรจะทำให้มั่นใจว่ารัฐบาลจะปกป้องได้ ขณะที่ผู้ปฏิบัติงานตัดสินใจได้ระดับหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือส่วนหัวหรือรัฐบาลจะเอาอย่างไรในเรื่องนี้ เพราะรัฐบาลควรต้องสร้างหลักประกันให้คนไทยว่าตกลงจะได้รับความปลอดภัย ต้องแสดงท่าทีเข้มแข็ง อยากเห็นความเป็นเอกภาพของทุกฝ่ายในการแสดงออกว่าเราพร้อมที่จะปกป้องคนไทย ถ้าเรายังไม่มีความชัดเจนไม่ควรเอาเรื่องเขตมาปนกับความก้าวร้าวแบบนี้ ถ้าล้ำจริงก็ไม่เห็นถึงขนาดต้องยิง ใช้มาตรการเบาไปหาหนักได้



กมธ.มั่นคงฯ เกาะติด 1 เดือน กองทัพจัดการว้าแดง รุกแดนไทย แนะกต. ถกชาติมหาอำนาจ สร้างแรงกดดันเพิ่ม
https://www.matichon.co.th/politics/news_4952024

รังสิมันต์ ให้เวลากองทัพไทย 1 เดือนดำเนินการ ปม ว้าแดงตั้งฐานทัพในไทย แนะ กต.ถกชาติมหาอำนาจสร้างแรงกดดันอีกทาง ลั่นไม่ยอมให้ตั้งฐานทัพล้ำเขตแดน

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 13 ธันวาคม ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทยยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ กล่าวภายหลังการประชุมที่เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงกรณีกลุ่มว้าแดงเข้ามาตั้งฐานทัพในฝั่งประเทศไทยว่า ได้รับข้อมูลในเชิงบวกว่าฝ่ายไทยพยายามทำทุกทาง โดยเฉพาะกองทัพไทย ที่จะให้ข้อมูลในเชิงบวก แต่แน่นอนว่ายังไม่มีการการันตี หรือให้คำมั่นว่าทางกลุ่มว้าแดง จะถอนฐานทัพออกจากเขตแดนไทย แต่เบื้องต้นทางการไทยโดยเฉพาะทางกองทัพไทยไม่อยู่เฉยในเรื่องนี้ พยายามดำเนินการทุกความเป็นไปได้ ดังนั้นทางกรรมาธิการฯจึงหารือกันว่า จะให้เวลากับหน่วยงานต่างๆ ได้ดำเนินการตามแนวทางที่ได้มีการพูดคุยกับกรรมาธิการฯภายในเดือนนี้ หลังจากนั้นเดือนหน้าจะติดตามว่ามีมาตรการใดเพิ่มอีกบ้าง หากทางว้าแดงไม่ถอนฐานทัพออกไปจะไปคุยกับผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบก เรื่องแนวทางต่อไป

นายรังสิมันต์กล่าวอีกว่า กมธ.ได้แนะนำกระทรวงการต่างประเทศไปว่า วิธีเดิมอาจจะใช้กับว้าแดงไม่ได้ อาจจำเป็นต้องคุยกับชาติมหาอำนาจชาติอื่น เพื่อสร้างแรงกดดันเพิ่มขึ้น ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้รับข้อเสนอไป จึงต้องรอดูว่าจะทำอย่างไรต่อไป

การรุกนั้นเป็นการรุกล้ำเข้าเขตแดนไทยจริงแท้อย่างแน่นอน ในฐานะที่เราเป็นคนไทย ผมเองเป็น ส.ส.และเป็นประธานกรรมาธิการความมั่นคงฯ ยืนยันว่าไม่ยอมให้กองกำลังมาตั้งฐานทัพล้ำเขตแดนอย่างแน่นอน” นายรังสิมันต์กล่าว



ITIF เผยไทยเสี่ยงเจอภาษีนำเข้าสูงอันดับ 2 จากรัฐบาล 'ทรัมป์'
https://ch3plus.com/news/economy/ruangden/428015

ITIF องค์กรวิจัยนโยบายสาธารณะในสหรัฐ เผย ดัชนีความเสี่ยงจากทรัมป์ ชี้ไทยเป็นประเทศพันธมิตรสหรัฐ ที่มีความเสี่ยงสูงเป็นอันดับ 2 จากนโยบายขึ้นภาษีนำเข้า ของรัฐบาลทรัมป์

โดยมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรม หรือ ITIF ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยนโยบายสาธารณะที่ไม่แสวงหากำไรของสหรัฐ เผยแพร่รายงานการศึกษาในประเด็นที่ว่า พันธมิตรของสหรัฐรายใด มีแนวโน้มสูงสุดที่จะต้องเผชิญกับภาษีศุลกากรของทรัมป์ ปรากฏว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงเป็นอันดับที่ 2 จากทั้งหมด 39 ประเทศ/ดินแดน ที่จะโดนสหรัฐตอบโต้ด้วยภาษีศุลกากร
 
โดยมีตัวประเมิน 4 ด้าน คือ การใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศ / ดุลการค้า / มาตรการต่อต้านนโยบายการค้าและเทคโนโลยีของสหรัฐ และความเต็มใจที่จะต่อต้านการล่าเหยื่อทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจของจีน โดยไทยมีคะแนนรวม ลบ 3.98 ซึ่งคะแนนติดลบมากหมายถึงความเสี่ยงสูง เป็นรองเพียงเม็กซิโก ที่มีคะแนนรวม ลบ 4.12 เท่านั้น ตามมาด้วย สโลวีเนีย ออสเตรีย และแคนาดา

โดย ITIF ประเมินมุมมองของรัฐบาลทรัมป์ว่า มีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลทรัมป์จะมองว่า ทั้ง 5 ประเทศ อ่อนข้อต่อจีน และไม่ยอมเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มที่



หุ้นไทยปิดรูด 8.22 จุด วอลุ่ม 4 หมื่นล้านบาท กังวลไทยเสี่ยงรับแรงกระแทกกำแพงภาษี "ทรัมป์"-เกาะติดประชุมเฟด
https://siamrath.co.th/n/587365

หุ้นไทยปิดรูด 8.22 จุด วอลุ่ม 4 หมื่นล้านบาท กังวลไทยเสี่ยงรับแรงกระแทกกำแพงภาษี "ทรัมป์"-เกาะติดประชุมเฟด
 
เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.67 SET ปิดที่ 1,431.67 จุด ลดลง 8.22 จุด (0.57%) มูลค่าซื้อขาย 40,324.88 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีแกว่งผันผวน โดยทำจุดต่ำสุด 1,429.68 จุด และจุดสูงสุดที่ 1,438.67 จุด
 
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่าบรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยวันนี้ปัจจัยแวดล้อมค่อนไปทางลบมากกว่าโทนบวก แม้จะมีปัจจัยหนุนจากคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่ยังได้รับแรงกดดันจากความเสี่ยงที่ไทยอาจถูกผลกระทบจากนโยบายตั้งกำแพงภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ รวมทั้งการเก็บภาษีตามเกณฑ์ PILLAR 2 ของ OECD ที่อัตราภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำ 15% ทำให้เกิดข้อกังวลว่าบริษัทใดของไทยจะเข้าข่ายได้รับผลกระทบเชิงลบบ้าง ประกอบกับปัจจัยทางเทคนิคที่ SET หลุดแนวรับ 1,435 จุดสร้าง Sentiment เชิงลบกดดันดัชนี
 
แนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้าคาดตลาดแกว่งกรอบแคบยังไร้ปัจจัยใหม่ขับเคลื่อน จับตาการประชุมเฟดที่ตลาดคาดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% และแนวโน้มทิศทางอัตราดอกเบี้ยในระยะต่อไป ขณะที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คาดว่าจะคงดอกเบี้ยที่ระดับ 2.25% รวมทั้งรอลุ้นว่าจะมีการทำ Window dressing ก่อนสิ้นปีหรือไม่ โดยให้กรอบแนวรับ 1,420 จุด และแนวต้าน 1,435 จุด
 
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
DELTA มูลค่าการซื้อขาย 3,784.03 ล้านบาท ปิดที่ 151.50 บาท ลดลง 4.00 บาท
EA มูลค่าการซื้อขาย 2,823.39 ล้านบาท ปิดที่ 4.04 บาท ลดลง 1.21 บาท
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 2,000.15 ล้านบาท ปิดที่ 158.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท
BH มูลค่าการซื้อขาย 1,900.01 ล้านบาท ปิดที่ 193.00 บาท ลดลง 5.50 บาท
ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,327.23 ล้านบาท ปิดที่ 287.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
 
#หุ้นไทย #ข่าววันนี้ #กำแพงภาษี #ทรัมป์ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่