สุดปลายฝัน บทที่ ๒๕ เที่ยวเมืองซิดนีย์ในสมัยโบราณกันค่ะ

กระทู้สนทนา
บทก่อนหน้า
บทนำ   http://ppantip.com/topic/31223069
บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/31235568
บทที่ ๒ http://ppantip.com/topic/31253339
บทที่ ๓ http://ppantip.com/topic/31265981
บทที่ ๔ http://ppantip.com/topic/31283288
บทที่ ๕ http://ppantip.com/topic/31298274
บทที่ ๖ http://ppantip.com/topic/31319220
บทที่ ๗ http://ppantip.com/topic/31337858
บทที่ ๘ http://ppantip.com/topic/31362571
บทที่ ๙ http://ppantip.com/topic/31377764
บทที่ ๑๐ http://ppantip.com/topic/31398623
บทที่ ๑๑ http://ppantip.com/topic/31409848
บทที่ ๑๒ http://ppantip.com/topic/31428977
บทที่ ๑๓ http://ppantip.com/topic/31455877
บทที่ ๑๔ http://ppantip.com/topic/31481664
บทที่ ๑๕ http://ppantip.com/topic/31529577
บทที่ ๑๖ http://ppantip.com/topic/31556525
บทที่ ๑๗ http://ppantip.com/topic/31580257
บทที่ ๑๘ http://ppantip.com/topic/31625276
บทที่ ๑๙ http://ppantip.com/topic/31647967
บทที่ ๒๐ http://ppantip.com/topic/31681967
บทที่ ๒๑ http://ppantip.com/topic/31710814
บทที่ ๒๒ http://ppantip.com/topic/31775678
บทที่ ๒๓ http://ppantip.com/topic/31864607
บทที่ ๒๔ http://ppantip.com/topic/31886964

บทที่ ๒๕


รถม้าพาสองสามีภรรยาแล่นไปบนถนนแคมพ์เบลล์ ซึ่งเป็นถนนที่คฤหาสน์แคมพ์เบลล์ตั้งอยู่ และตั้งชื่อถนนตามเจ้าของคฤหาสน์ ถนนแคมพ์เบลล์เป็นถนนสั้น ๆ ที่เมื่อถึงแยกที่ตัดกับถนนคราวน์ซึ่งเป็นถนนเส้นใหญ่กว่า รถม้าก็เลี้ยวขึ้นถนนใหญ่ที่นำไปสู่ทิศเหนือของเมือง สองข้างทางเป็นบ้านเรือนที่ค่อนข้างอยู่ห่างกันภายในเนื้อที่อันกว้างใหญ่ เพียงสองบล็อคถนน รถม้าก็เลี้ยวเข้าถนนสแตนลี่ย์ ซึ่งยังคงเป็นบ้านเรือนผู้คนปลูกสร้างอยู่ในพื้นที่อันกว้างขวางเช่นเดิม ใช้เวลาเดินทางเพียงราว ๆ สิบนาที วิลเลียมก็บอกให้คนขับจอด ก่อนจะประคองภรรยาให้ลงจากรถ และหันไปกล่าวกับคนขับ

“ไปรอที่ไฮด์พาร์ค [1]” จากนั้นหันมาหาภรรยา

“โรงเรียนประถมของผม” บอกพลางผายมือไปยังตึกอาคารเรียนสร้างด้วยหินทรายสีแดงตรงหน้า ณัฐญาณ์มองเห็นป้ายโรงเรียนอ่านได้ว่า ‘ซิดนีย์ แกรมมาร์ สกูล’ หญิงสาวพึมพำชื่อโรงเรียนตามที่เห็นบนป้ายเบา ๆ หากก็ดังพอที่จะให้คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้ยิน

“เป็นชื่อใหม่ สมัยที่ผมเป็นนักเรียน โรงเรียนนี้มีชื่อว่า ‘ซิดนีย์คอลเลจ’ สร้างขึ้นในปี 1830 ก่อนผมเกิดสองปี” อธิบายแล้วก็ยื่นแขนให้ผู้เป็นภรรยาเกาะและพาเดินเลียบรั้วโรงเรียนซึ่งสร้างด้วยหินทรายสีแดงชนิดเดียวกันกับตึกอาคารเรียน

“ผมรู้จักกับเออร์เนสท์ที่นี่ ซิดนีย์คอลเลจเป็นโรงเรียนเด็กชายของพวกผู้มีอันจะกินที่สามารถส่งลูกเข้าโรงเรียนได้ เพราะออสเตรเลียเราไม่มีกฎหมายบังคับให้เด็กต้องเข้าโรงเรียน แต่ทางการต้องการเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้กับผู้คนอย่างประเทศอังกฤษ เจ้าของอาณานิคมของเรา จึงสร้างโรงเรียนแห่งนี้ขึ้น แต่ก็มีแต่ผู้มีฐานะดีเท่านั้นที่เข้าถึงการศึกษาได้ ผมถึงได้ทำโรงเรียนเล็ก ๆ ภายในบริเวณสถานีแปรรูปอย่างไรล่ะ เด็ก ๆ ลูกคนงานของเราจะได้มีโอกาสไปโรงเรียนและเข้าถึงการศึกษา แม้ว่าพ่อแม่จะเป็นเพียงคนงานในสถานีแปรรูปก็ตาม”

ณัฐญาณ์เงยหน้าขึ้นมองสามีที่ตอนนี้นัยน์ตาฉายแววจริงจังเมื่อพูดถึงเด็ก ๆ และการศึกษา หญิงสาวรู้สึกอุ่น ๆ อยู่ในใจ ผู้ชายคนนี้ที่เธอรัก สามีของเธอ เขาไม่ได้มีดีแค่หน้าตาหล่อเหลาและฐานะมั่งคั่งเท่านั้น  แต่เขามีจิตใจอันดีงาม จิตใจที่คิดถึงคนอื่น พร้อมที่จะทำเพื่อคนอื่นโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน อย่างที่เขาดูแลเธอทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเลย เขาเป็นผู้ให้ที่พร้อมจะให้เสมอ ให้โดยไม่เสียดายหรือต้องการสิ่งตอบแทน เป็นผู้ให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง เป็นบุญของเธอหนักหนาที่ได้เดินทางข้ามการเวลามาจนได้พบและรักกับเขา เธอไม่เสียใจเลยที่ตัดสินใจที่จะอยู่ร่วมชีวิตกับเขาตลอดไป เพราะตลอดชีวิตนี้ เธอคงจะหาใครที่เหมือนหรือแม้แต่ใกล้เคียง วิลเลียม แคมพ์เบลล์ สามีของเธอไม่ได้อีกแล้ว

“สนามหญ้าตรงนั้นเป็นที่ที่พวกเราเด็ก ๆ วิ่งเล่นกันอย่างไม่รู้เบื่อ” เสียงของสามีที่พูดอยู่ใกล้ ๆ เรียกณัฐญาณ์ให้หลุดจากภวังค์ พลางมองตามมือเขาที่ชี้ไปยังสนามหญ้าเขียวชอุ่มมองดูน่าลงไปนอนกลิ้งเล่น

“คุณเรียนที่นี่ถึงชั้นไหนคะ”

“ผมเรียนถึงปี 6 ปีสุดท้ายของระดับประถม อายุ 12 ปี ก็ถูกส่งไปอยู่กับญาติ ๆ ที่อังกฤษ เพื่อเข้าเรียนโรงเรียนนายเรือ ผมอยู่อังกฤษจนอายุ 18 ทั้งเรียนในโรงเรียนและออกเรือเป็นเด็กฝึกหัด แล้วกลับมาออกเรือในฐานะต้นเรืออีก 3 ปี พออายุ 21  ผมก็ได้เป็นนายเรือ และเรือเที่ยวแรกที่ผมบังคับการก็ล่มไม่เป็นท่า” ทุกครั้งที่วิลเลียมพูดถึงเหตุการณ์เรือเที่ยวแรกในบังคับการของเขาในฐานะนายเรือล่ม ณัฐญาณ์จะสังเกตว่าชายหนุ่มจะมีสีหน้าเจ็บปวดเสมอ หากเมื่อเธอเหลือบสายตามองดูเขาคราวนี้ กลับพบว่าชายหนุ่มมีสีหน้าปราศจากอารมณ์ ไม่ดูเจ็บปวดเหมือนทุกคราว จึงรู้สึกสบายใจขึ้น บางทีเขาอาจจะทำใจได้และหยุดโทษตัวเองในเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วกระมัง

“ด้านตรงข้ามโรงเรียนฝั่งถนนคอลเลจเป็นไฮด์พาร์ค สวนสาธารณะที่ผู้คนมาพักผ่อนหย่อนใจหรือมาปิกนิกกัน” ณัฐญาณ์มองตามมือชี้ของสามี หญิงสาวมองเห็นแถวของต้นไม้ชนิดเดียวกันเรียงรายไปตามถนนที่กั้นระหว่างโรงเรียนกับสวนสาธารณะออกจากกัน ใต้ต้นไม้มีม้านั่งแบบมีพนักพิงหลังวางอยู่เป็นระยะ

“ต้นอะไรคะนั่น ดูเขียวสดชื่นดีจัง” อดถามถึงต้นไม้ที่มีกิ่งก้านหนาตา และดูสดชื่นไปด้วยใบสีเขียวอ่อนที่เพิ่งผลิรับฤดูใบไม้ผลิไม่ได้

“ต้นโอ๊ค กิ่งเยอะ พวกเราเด็ก ๆ แอบข้ามถนนมาปีนเล่นประจำ” ตอบพลางยิ้มพราย ดวงตาเป็นประกายเมื่อคิดถึงความสนุกสนานในวัยเยาว์

“เดินไปไฮด์พาร์คกันเถอะครับนาทาย่าห์ เดี๋ยวรถม้าจะรอนานเกินไป” เมื่อเห็นว่าผู้เป็นภรรยาพยักหน้าเห็นด้วยตามคำชวน ชายหนุ่มก็พาหญิงสาวเดินข้ามถนนไปฝั่งที่เป็นสวนสาธารณะ และเดินเลียบถนนไปตามแนวต้นโอ๊คที่ทอดยาวไปจนสุดความยาวของสวนอันกว้างใหญ่  

เดินมาได้สักพัก วิลเลียมก็พาเดินเลี้ยวเข้าไปยังถนนที่ตัดเข้าไปภายในสวน โดยชายหนุ่มหันมาบอกภรรยา

“ถนนพาร์ค เป็นถนนที่ตัดผ่านไฮด์พาร์ค ทำให้สวนถูกแบ่งเป็นสองส่วน ด้านทิศเหนือของสวน ตรงหัวมุมถนนคิงตัดกับถนนเอลิซาเบธจะเป็นที่ตั้งของศาลสูงและโบสถ์เซนต์เจมส์” ว่าพลางพาคนข้างตัวเดินไปบนถนน ตรงไปยังรถม้าที่จอดรออยู่

ภายในสวนสาธารณะไฮด์พาร์คร่มรื่นไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ มองเห็นผู้คนในอิริยาบถหย่อนใจต่าง ๆ บ้างนั่งบนสนามหญ้ารับแดดอุ่นของฤดูใบไม้ผลิ บ้างเล่นกีฬากลางแจ้งที่เจ้าบ้านเรียกว่า ‘คริกเกต’ เด็ก ๆ วิ่งเล่นไล่จับอยู่ไม่ห่างจากพ่อแม่มากนัก เป็นภาพวิถีชีวิตของผู้คนที่ณัฐญาณ์ไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่าจะมีโอกาสได้มาเห็น

เมื่อเดินมาถึงรถม้าที่จอดรออยู่ วิลเลียมประคองภรรยาให้ขึ้นไปนั่งก่อน เมื่อมองเห็นว่าหญิงสาวนั่งเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงก้าวขึ้นไปนั่งเคียงข้าง ก่อนจะสั่งคนขับรถม้าเสียงไม่ดังนัก

“ไปซิดนีย์โคฟ”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่