จากกระทู้นี้
http://ppantip.com/topic/31175273 ซึ่งถูกเบียดตกขอบหายลงไปข้างล่างแล้ว...ซึ่งคุณจิตฯ ได้ทักท้วงให้ร่ายยาวต่อ...
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
จะยกข้อความบางตอนจากกระทู้นั้นมาทบทวนในที่นี้ก่อนอีกที ...
บางส่วน ..จาก ความคิดเห็นที่ 7 ...
".......การเห็นรูปนามที่ถูกต้องนั้น ต้องตรงกับหลักในวิปัสสนาญาณ ๑๖ และผู้เห็นจะเห็นด้วยความเป็นปัจจัตตังเฉพาะตัวของตัวเอง เป็นเฉพาะของตนเอง ถ้าให้บรรยายออกมา จะสามารถบอกออกมาได้อย่างฉะฉาน ชัดเจน ฮึกฮัก ห้าวหาญ เป็นแนวทางเฉพาะของผู้นั้นเอง แต่ถ้าเอาไปเทียบตามหลักในตำราก็จะตรงกัน หนีกันไม่ออกเลย ...
...รูปนามที่แท้จริง ที่เห็นเมื่อตอนอริยมรรคเกิด นั้น ... นาม คือ จิตที่เกิดๆดับๆ เป็นดวงๆ ไวมากๆๆ (แสนโกฏิดวงในช่วงกระพริบตา ๑ ครั้ง)ตามที่พระอภิธรรมกล่าวไว้นั่นแหละ ..ส่วนรูป ก็คือ จิตดวงที่ ๑๗ ในกามวิถี นั่นเอง ..หมายถึง เมื่อจิตเกิดๆดับๆ ต่อไปถึงดวงที่ ๑๗ จิตดวงที่ ๑๗ นี่แหละจะกลายเป็นรูปขึ้นมา ๑ รูป รูปที่เกิดจากจิตดวงที่ ๑๗ นี้ มันเกิดจากการสะสมมา ๑๖ ดวง แรกที่เกิดๆดับๆ ติดกันมาในกามวิถีนั้น คล้ายๆ จุดที่เป็นดวงอากาศใสๆ ๑๖ ดวง เมื่อสะสมมาถึงดวงที่ ๑๗ จุดอากาศใสๆนั้นจะแข็งตัวกลายเป็นจุดน้ำแข็งใสขึ้นมา ๑ จุด จุดน้ำแข็งใสที่เป็นรูป ๑ รูปนี้ เกิดขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน (๖๐,๐๐๐ โกฏิ รูป ในช่วง ๑ กระพริบตา) มันจะเกิดซ้อนๆๆชั้นกันขึ้นมาหลายๆชั้น ชั้นสุดท้าย ก็จะมากลายเป็นตัวนึกหรือตัววิตก ๑ ความนึก .. นั่นคือ เมื่อเรา นึก หรือ วิตก ขึ้นมา ๑ ครั้ง ไวกว่าฟ้าแลบ ความนึกนั้น ถ้าแยกออกมา ก็จะเห็นว่ามันสะสมซ้อนๆๆ มาหลายๆๆชั้นจากรูปละเอียดที่เกิดจากจิต ๑๗ ดวงนั่นเอง จำนวนนับไม่ถ้วน( คล้ายๆเรากดรีโมทคอนโทรลให้ภาพโผล่ขึ้นมาในจอทีวี แค่เสี้ยววินาที แล้วรีบกดปิดทันที ..ภาพที่แว๊บขึ้นมาในจอทีวี ๑ ภาพ แว๊บเดียว ที่จริงภาพนั้นเกิดจากการเรียงตัวของจุดพิกเซลล์เล็กๆมากมาย ซึ่งแต่ละจุดพิกเซลล์นั้นก็เกิดมาจากการสะสมซ้อนๆๆ ของอนุภาคเล็กๆอีกนับไม่ถ้วน ซ้อนๆๆ ขึ้นมา จนปรากฏในจอให้เราเห็น)
..การเห็นนิพพาน เมื่อมรรคจิตเกิด จะเห็นตรงรอยแยกระหว่าง นาม กับ รูป ในกามวิถี นั่นแหละ คือ ตอนที่มรรคจิตเกิด(ที่จริงเริ่มเห็นในขณะที่เป็นโคตรภูมาก่อน) คือ จะเห็นระหว่างรอยแยก ของจิตดวงที่ ๑๖ กับ จิตดวงที่ ๑๗(และเป็นรูปด้วย) นั่นเอง ..สิ่งที่เรียกว่านิพพาน นั้น จะเป็นเสมือนฝาแฝดของจิต สวมรอยคล้ายเป็นเนื้อเดียวกับจิตมานาน เสมือนร่างเดียวกัน เวียนว่ายตายเกิดไปในภพภูมิต่างๆในวัฏฏะนับชาติไม่ถ้วน... มาถูกแยกตอนเกิดมรรคจิตนี่แหละ ... ลักษณะของนิพพาน จะเหมือนจิตทุกๆอย่าง ต่างกันที่ นิพพานไม่ไปรู้อารมณ์ใดๆ และไม่เปลี่ยนแปลง มีลักษณะคงที่อยู่อย่างนั้นมาแต่ไหนแต่ไรและจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป แต่จิตมีการเปลี่ยนแปลง เกิดๆดับๆ ไวมากๆๆ.. ดังนั้น จึงมีครูบาอาจารย์บางท่านทางสายปฏิบัติที่ไม่ชำนาญตำราหรือไม่เคยอ่านตำรา มักจะพูดว่า นิพพานคือจิตที่เป็นอมตะ บ้าง หรือจิตที่บริสุทธิ์บ้าง เพราะท่านไปเห็นอันนี้เอง
...ที่จริงตอนที่เกิดมรรคญาณ พร้อมกับมรรคจิตที่มองทะลุเห็นแยกลงระหว่างรอยแยกนั้น อัศจรรย์มากๆ และเกิดการทำลายสังโยชน์ลงไปยังไง นั้น...ต้องบรรยายกันอีกยาวยืด ...แต่ขี้เกียจละ เอาแค่นี้พอก่อน ...บอกมากเกินไป คงไม่มีใครเชื่อ เพราะรายละเอียดนั้น เห็นจากการปฏิบัติ ไม่มีบันทึกในตำรา ในตำราจะบันทึกไว้แต่หลักๆคร่าวๆ กว้างๆ เท่านั้น ... เดี๋ยวคนอ่านอาจจะหาว่าคนบรรยายเป็นบ้าไปแล้วกระมัง....ไปฝึกปฏิบัติให้เห็นเอง ดีกว่า...ขอให้โชคดีๆ ได้เห็นได้เจอกันไวๆๆทันในชาตินี้. ......"
และ บางส่วนจาก ความคิดเห็นที่ 9 ...
"......ที่อธิบายมานิดหน่อยข้างบนนั้น เอาแค่ตอนเกิดมรรคจิต แยกนามรูปแล้ว เห็นนิพพาน นั่นแค่คร่าวๆนิดๆ เฉพาะตอนนั้น แค่นั้น ก็ปาเข้าไปหลายสิบบรรทัดแล้ว เห็นไหมละ... ถ้าว่ากันเต็มๆ คงจะยาวยืดหลายๆสิบหน้า หรือหลายร้อยหน้า และหาในตำราก็ไม่มี ...และถ้าเริ่มมาตั้งแต่วิปัสสนาญาณแรกตั้งแต่ต้นมา คงเป็นหนังสือเล่มใหญ่ๆได้เลย..
...แถมให้อีกนิด ... ก่อนที่มรรคจิตจะเกิดนั้น จะเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งคือ คล้ายๆ จิตจะมัธยัสถ์เป็นกลางมากๆ เป็นกลางเต็มที่ ซึ่งที่แท้นี่ก็คือ สังขารุเปกขาญาณ นั่นเอง..ขณะจิตต่อมาก็เป็นสัจจานุโลมมิกญาณ แล้วต่อมาก็เป็นโคตรภูญาณ(อืมม..ที่จริงควรพูดว่า ก่อนที่โคตรภูจะเกิด เพราะนิพพานจะเริ่มปรากฏตั้งแต่ โคตรภูแล้ว ก่อนถึงมรรคจิต แต่ตอนที่เป็นโคตรภู กำลังปัญญายังอ่อนไปหน่อย สังโยชน์จึงยังไม่โดนทำลายตอนนั้น ต่อมาอีกดวงคือมรรคจิต สังโยชน์จึงจะโดนทำลายลง แล้วผลจิต ๒ หรือ ๓ ดวง ก็เกิดต่อมาจากนั้นจิตก็ตกลงภวังค์แล้วขึ้นจากภวังค์ออกมาสู่วิถีจิตอีก เกิดปัจจเวขณญาณขึ้นในปัจจเวกขณวิถี พิจารณา มรรค ผล นิพพาน และกิเลสที่ละได้แล้ว และกิเลสที่ยังเหลืออยู่....)
...ตอนมรรคจิตเกิดนั้น จะอัศจรรย์สุดๆ ยิ่งกว่าความอัศจรรย์ใดๆทั้งหมด.. ในอริยมรรควิถี ลักษณะของจิตตอนที่เป็นมรรคจิตนี่แหละที่ดูอัศจรรย์สุดๆกว่าจิตดวงอื่นๆในวิถีนี้ ..อาการก็คือ คล้ายๆระเบิดนิวเคลียร์ระเบิด(แบบที่จุดระเบิดด้วยการใช้ระเบิดแรงสูงรอบด้านระเบิดพร้อมกัน หรือแบบที่ใช้พลูโตเนียม ๒๓๙)ตูมลงในศูนย์กลางจิต เกิดแสงสว่างวาบไปทั่วทั้งจักรวาลทุกๆโลกธาตุ แสงสว่างนี้ จะสว่างยิ่งกว่าตอนที่จิตรวมลงเป็นอัปปนาฯ ครั้งแรกซะอีก (ใครที่ได้จิตรวมลงเป็นอัปปนาสมาธิครั้งแรก จะเจอแสงสว่างมหัศจรรย์มากๆ แสงจะเจิดจ้าคล้ายๆดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันหลายหมื่นดวงรวมกัน....แสงนั้น คือแสงของพลังของจิตที่เป็นอัปปนาวิถี นั่นเอง และจิตก็จะจับเอาแสงนั้นมาเป็นรูปภายในเอามาเพ่งต่อไปของมันเอง... ดังนั้น จึงเรียกว่า รูปฌาน)
...ตอนที่เกิดคล้ายระเบิดนี่แหละที่สังโยชน์จะถูกทำลายลง เช่น ถ้าเป็นโสดาปัตติมรรค สังโยชน์ ๓ ก็จะโดนทำลายลงตอนนี้ พร้อมกันเลยในคราวเดียว ซึ่งการทำลายสังโยชน์ ๓ นั้น ทำลายลงที่ตัวใดตัวหนึ่ง อีก ๒ ตัวก็จะโดนทำลายไปด้วยกันเลย เพราะที่แท้ สังโยชน์ ๓ นั่นก็คือกิเลสเพียงตัวเดียว แต่มันแยกออกมาเป็น ๓ อาการจึงเรียกมัน ๓ ชื่อ คือ สักกายทิฏฐิ สีลพตปรามาส วิจิกิจฉา ..คนที่ฝึกหนักมาทางศีล มรรคญาณก็จะทำลายไปที่ตัวสีลพตปรามาส ..คนที่ฝึกหนักไปทางสมาธิ มรรคญาณก็จะทำลายไปที่ตัวสักกายทิฏฐิ คนที่ฝึกหนักไปทางปัญญา มรรคญาณก็จะทำลายไปที่ตัววิจิกิจฉา (ทำนองเดียวกับหมวดธรรมกลุ่ม นิวรณ์ ๕ ที่แท้คือกิเลสเพียงตัวเดียว แต่มันแสดงออกไป ๕ อาการ จึงเรียกไป ๕ ชื่อ..หรือหมวดธรรมกลุ่มอื่นๆทุกๆหมวดก็ทำนองเดียวกัน ฯลฯ) ......."
และ บางส่วนจากความเห็นที่ 11 ...
"........แถมให้อีกนิด ซึ่งที่จริงผมก็เคยอธิบายไปก่อนแล้ว ในกระทู้ไหนไม่รู้ หลายเดือนมาแล้ว...
...เกี่ยวกับ ชื่อ และความหมายของนิพพาน ในแง่มุมต่างๆ ที่เราเห็นในตำรา หลายๆชื่อ เช่น นิโรธ(ดับ) , ตัณหักขโย(ทำให้ตัณหาสิ้นไป) , อาลยสมุคฆาโต (ทำลายความอาลัย), วัฏฏูปัจเฉโท (หักกงกำแห่งวัฏฏะสงสาร) ,ปิปสวินโย (ขจัดบาป) ..ฯ เป็นต้น ..
ชื่อต่างๆเหล่านั้น เป็นแค่ชื่ออ้อมๆ เป็นเสมือนสมญานาม อย่าเอามาตีความเพื่อเข้าใจตัวนิพพานแท้ๆ จะไม่มีทางเข้าใจได้เลย เพราะชื่อต่างๆเหล่านั้น เป็นชื่อที่ระบุถึงคุณสมบัติของนิพพานที่กระทำต่อสังขารหรือสภาวะรอบด้าน(หลังจากนิพพานได้ปรากฏกับจิตแล้ว) ...นั่นคือหมายถึงว่า ชื่อต่างๆเหล่านั้นไม่ได้เจาะจงจี้ไปที่ตัวนิพพานแท้ๆ เป็นเพียงชื่อเรียกเปรียบเทียบด้วยโวหารคำพูดในภาษาบัญญติของมนุษย์ เท่านั้น
ตัวอย่างเช่น คุณใจพรานฯ เป็นทหารยศร้อยเอก มีฝีมือยิงปืนแม่น เป็นมือปืนรับจ้างสังหารโหด และเป็นอาจารย์สอนวิชากาพย์กลอน ว่างๆก็เป็นนักแข่งมอเตอร์ไซค์ฝีมือเยี่ยม...ดังนั้น เมื่อมีคนพูดถึงคุณใจพรานฯ เขาอาจจะเรียกว่า "ผู้กอง" หรือ "นักแม่นปืน" หรือ "มือสังหาร" หรือ "อาจารย์กาพย์กลอน" หรือ "นักบิดมือทอง" เป็นต้น...ซึ่งชื่อสมญานามต่างๆเหล่านั้น ไม่ได้จี้มาที่ตัวจริงๆของคุณใจพรานฯเลย คนที่ไม่เคยเห็นหรือเจอตัวจริงของคุณใจพรานฯมาก่อน จะไม่มีทางนึกภาพแท้ๆของคุณใจพรานฯ ออกได้เลยว่า มีรูปร่างหน้าตายังไงกันแน่. ....."
___________________________________________________________________________________
มาว่ากันต่อ เรื่องลักษณะอาการของตัวปัญญาที่เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ที่ทำงานตอนที่มรรคจิตเกิดแล้วประหารอนุสัยกิเลสหรือสังโยชน์ลงไป...
_____________________________________________________________________________________
ก่อนอื่น ควรรู้ไว้ก่อนว่า เจตสิกที่เป็นตัวปัญญาเจตสิกนั้น จะเป็นเจตสิกที่มีกำลังอย่างมากมายมหาศาล รองจากตัวสติเจตสิกแค่นิดหน่อยเท่านั้น ลักษณะของปัญญาเจตสิก คือสามารถรวบรวมข้อมูลที่เป็นสัญญาทั้งหมดมากมายมหาศาลมารวมไว้ในที่เดียวได้ และจัดระบบของความเกี่ยวโยงของสัญญานั้นได้หมด รู้เห็นถึงเหตุผลที่เกี่ยวโยงของสัญญานั้นได้ละเอียดทั่วถ้วนหมด เมื่อเราเกิดปัญญาในเรื่องใดๆ เราจะรู้สึกกระจ่างภายในใจเราเองได้เลยว่า เรารู้ทุกๆอย่าง ทุกๆแง่มุมของเรื่องนั้นๆได้หมดในการนึกขึ้นมาเพียงครั้งเดียว แว๊บเดียว เท่านั้น (ดังนั้นคำว่าปัญญาจึงมีคำแปลว่า รู้รอบหรือรู้ทั่วในกองสังขาร) เช่นเราเรียนเรื่องเครื่องยนตร์ เราค่อยๆเรียนไปถึงส่วนประกอบทีละชิ้นๆ หลายๆหมื่นชิ้นนั้น เป็นหนังสือเล่มใหญ่พันกว่าหน้า สมมุติเรียนไป ๒ ปี ก็เรียนจบ จนมาวันหนึ่ง เรารู้สึกว่าเรารู้เรื่องของส่วนประกอบของชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องยนตร์นั้นหมดรู้ว่ามันเกี่ยวโยงกันยังไง ทำหน้าที่ยังไง ด้วยการนึกเพียงแว๊บเดียว เราก็มองเห็นชิ้นส่วนทุกๆชิ้นส่วนได้หมดในภาพเดียว แว๊บเดียว เท่านั้น...นี่คือลักษณะของการทำงานของปัญญาเจตสิก มันจะทำงานแบบนี้ ...ต่างกับการทำงานของ วิตกเจตสิก ซึ่งจะนึกอะไรขึ้นมาก็นึกมาเพียงอันเดียว สัญญาเดียว พลังของสัญญาเจตสิกจึงน้อย ..เปรียบเทียบเช่น มีปลาในบึงมากมาย เราเอามือจับทีละตัวๆ กับการที่เราเหวี่ยงแหจับพร้อมๆทีเดียวได้หมดบึงเลย ...การเอามือจับปลาทีละตัว เทียบได้กับการทำงานของวิตกเจตสิก การเหวี่ยงแหรวบปลามาทีเดียวมากมายหลายร้อยตัว เทียบกับการทำงานของปัญญาเจตสิก คนที่มีปัญญามาก ก็เปรียบกับคนที่มีแหใหญ่เหวี่ยงรวบเอามาทีเดียวได้ปลาหลายหมื่นหลายแสนตัว ...
คราวนี้มาว่ากันถึงตอนที่ปัญญาเจตสิกทำงานตอนที่มรรคจิตเกิด ซึ่งปัญญาตอนนี้ชื่อเรียกอีกชื่อ คือ มรรคญาณ ...จะอธิบายไปตามปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆกับนักปฏิบัติที่ฝึกจนถึงตอนนี้ และสังเกตเห็นได้ ... ซึ่งจะไปหาอ่านในตำราอาจจะหาไม่เจอ...
-----------------------------------------------------------------------------
จากข้อความที่ยกมาจากกระทู้เดิม ข้างบนนั้น ...จะเห็นว่า ปัญญานี้จะเกิดขึ้นมาในจังหวะที่แยกตรงรอยต่อระหว่าง นาม(จิตดวงที่๑๖)กับรูป(จิตดวงที่๑๗) ลักษณะการเกิด คล้ายๆระเบิดแสงสว่างมากมายมหาศาลไม่มีที่เปรียบระเบิดตูมลงในศูนย์กลางจิตที่เห็นตรงระหว่างรอยต่อนั้น....
มาพิจารณาดูตรงคำว่า สัมมาทิฏฐิ ที่เอามาใช้เรียกชื่อปัญญาในตอนนี้ เคยสงสัยบ้างไหมว่า ทำไมไปเอาคำว่า ทิฏฐิ มาใช้ ซึ่งปกติคำนี้ หมายถึง ทิฏฐิเจตสิก ซึ่งเป็นอกุศลเจตสิก ที่ต้องหาทางขจัดทำลาย แต่ทำไมท่านเอามาใช้เป็นคำเรียกชื่อของปัญญาไปได้? น่าจะใช้คำอื่นๆ เช่น สัมมาปัญญา หรือสัมมาวิชชา หรือสัมมาทัศนะ หรือคำอื่นๆ ฯลฯ ไม่ดีกว่า หรือ?
จะมาเฉลยปริศนาของการใช้คำนี้ต่อไป...ข้างล่าง...(เนื้อที่ของตัวอักษรในหน้านี้หมดซะแล้ว)
(( ..กรุณาต่อ ความเห็นที่ 1 ข้างล่าง .. ))
ถึง คุณจิตซังกะบ๊วย เรื่อง ลักษณะอาการของปัญญาที่เรียกว่าสัมมาทิฏฐิในองค์ของอริยมรรค
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
จะยกข้อความบางตอนจากกระทู้นั้นมาทบทวนในที่นี้ก่อนอีกที ...
บางส่วน ..จาก ความคิดเห็นที่ 7 ...
".......การเห็นรูปนามที่ถูกต้องนั้น ต้องตรงกับหลักในวิปัสสนาญาณ ๑๖ และผู้เห็นจะเห็นด้วยความเป็นปัจจัตตังเฉพาะตัวของตัวเอง เป็นเฉพาะของตนเอง ถ้าให้บรรยายออกมา จะสามารถบอกออกมาได้อย่างฉะฉาน ชัดเจน ฮึกฮัก ห้าวหาญ เป็นแนวทางเฉพาะของผู้นั้นเอง แต่ถ้าเอาไปเทียบตามหลักในตำราก็จะตรงกัน หนีกันไม่ออกเลย ...
...รูปนามที่แท้จริง ที่เห็นเมื่อตอนอริยมรรคเกิด นั้น ... นาม คือ จิตที่เกิดๆดับๆ เป็นดวงๆ ไวมากๆๆ (แสนโกฏิดวงในช่วงกระพริบตา ๑ ครั้ง)ตามที่พระอภิธรรมกล่าวไว้นั่นแหละ ..ส่วนรูป ก็คือ จิตดวงที่ ๑๗ ในกามวิถี นั่นเอง ..หมายถึง เมื่อจิตเกิดๆดับๆ ต่อไปถึงดวงที่ ๑๗ จิตดวงที่ ๑๗ นี่แหละจะกลายเป็นรูปขึ้นมา ๑ รูป รูปที่เกิดจากจิตดวงที่ ๑๗ นี้ มันเกิดจากการสะสมมา ๑๖ ดวง แรกที่เกิดๆดับๆ ติดกันมาในกามวิถีนั้น คล้ายๆ จุดที่เป็นดวงอากาศใสๆ ๑๖ ดวง เมื่อสะสมมาถึงดวงที่ ๑๗ จุดอากาศใสๆนั้นจะแข็งตัวกลายเป็นจุดน้ำแข็งใสขึ้นมา ๑ จุด จุดน้ำแข็งใสที่เป็นรูป ๑ รูปนี้ เกิดขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน (๖๐,๐๐๐ โกฏิ รูป ในช่วง ๑ กระพริบตา) มันจะเกิดซ้อนๆๆชั้นกันขึ้นมาหลายๆชั้น ชั้นสุดท้าย ก็จะมากลายเป็นตัวนึกหรือตัววิตก ๑ ความนึก .. นั่นคือ เมื่อเรา นึก หรือ วิตก ขึ้นมา ๑ ครั้ง ไวกว่าฟ้าแลบ ความนึกนั้น ถ้าแยกออกมา ก็จะเห็นว่ามันสะสมซ้อนๆๆ มาหลายๆๆชั้นจากรูปละเอียดที่เกิดจากจิต ๑๗ ดวงนั่นเอง จำนวนนับไม่ถ้วน( คล้ายๆเรากดรีโมทคอนโทรลให้ภาพโผล่ขึ้นมาในจอทีวี แค่เสี้ยววินาที แล้วรีบกดปิดทันที ..ภาพที่แว๊บขึ้นมาในจอทีวี ๑ ภาพ แว๊บเดียว ที่จริงภาพนั้นเกิดจากการเรียงตัวของจุดพิกเซลล์เล็กๆมากมาย ซึ่งแต่ละจุดพิกเซลล์นั้นก็เกิดมาจากการสะสมซ้อนๆๆ ของอนุภาคเล็กๆอีกนับไม่ถ้วน ซ้อนๆๆ ขึ้นมา จนปรากฏในจอให้เราเห็น)
..การเห็นนิพพาน เมื่อมรรคจิตเกิด จะเห็นตรงรอยแยกระหว่าง นาม กับ รูป ในกามวิถี นั่นแหละ คือ ตอนที่มรรคจิตเกิด(ที่จริงเริ่มเห็นในขณะที่เป็นโคตรภูมาก่อน) คือ จะเห็นระหว่างรอยแยก ของจิตดวงที่ ๑๖ กับ จิตดวงที่ ๑๗(และเป็นรูปด้วย) นั่นเอง ..สิ่งที่เรียกว่านิพพาน นั้น จะเป็นเสมือนฝาแฝดของจิต สวมรอยคล้ายเป็นเนื้อเดียวกับจิตมานาน เสมือนร่างเดียวกัน เวียนว่ายตายเกิดไปในภพภูมิต่างๆในวัฏฏะนับชาติไม่ถ้วน... มาถูกแยกตอนเกิดมรรคจิตนี่แหละ ... ลักษณะของนิพพาน จะเหมือนจิตทุกๆอย่าง ต่างกันที่ นิพพานไม่ไปรู้อารมณ์ใดๆ และไม่เปลี่ยนแปลง มีลักษณะคงที่อยู่อย่างนั้นมาแต่ไหนแต่ไรและจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป แต่จิตมีการเปลี่ยนแปลง เกิดๆดับๆ ไวมากๆๆ.. ดังนั้น จึงมีครูบาอาจารย์บางท่านทางสายปฏิบัติที่ไม่ชำนาญตำราหรือไม่เคยอ่านตำรา มักจะพูดว่า นิพพานคือจิตที่เป็นอมตะ บ้าง หรือจิตที่บริสุทธิ์บ้าง เพราะท่านไปเห็นอันนี้เอง
...ที่จริงตอนที่เกิดมรรคญาณ พร้อมกับมรรคจิตที่มองทะลุเห็นแยกลงระหว่างรอยแยกนั้น อัศจรรย์มากๆ และเกิดการทำลายสังโยชน์ลงไปยังไง นั้น...ต้องบรรยายกันอีกยาวยืด ...แต่ขี้เกียจละ เอาแค่นี้พอก่อน ...บอกมากเกินไป คงไม่มีใครเชื่อ เพราะรายละเอียดนั้น เห็นจากการปฏิบัติ ไม่มีบันทึกในตำรา ในตำราจะบันทึกไว้แต่หลักๆคร่าวๆ กว้างๆ เท่านั้น ... เดี๋ยวคนอ่านอาจจะหาว่าคนบรรยายเป็นบ้าไปแล้วกระมัง....ไปฝึกปฏิบัติให้เห็นเอง ดีกว่า...ขอให้โชคดีๆ ได้เห็นได้เจอกันไวๆๆทันในชาตินี้. ......"
และ บางส่วนจาก ความคิดเห็นที่ 9 ...
"......ที่อธิบายมานิดหน่อยข้างบนนั้น เอาแค่ตอนเกิดมรรคจิต แยกนามรูปแล้ว เห็นนิพพาน นั่นแค่คร่าวๆนิดๆ เฉพาะตอนนั้น แค่นั้น ก็ปาเข้าไปหลายสิบบรรทัดแล้ว เห็นไหมละ... ถ้าว่ากันเต็มๆ คงจะยาวยืดหลายๆสิบหน้า หรือหลายร้อยหน้า และหาในตำราก็ไม่มี ...และถ้าเริ่มมาตั้งแต่วิปัสสนาญาณแรกตั้งแต่ต้นมา คงเป็นหนังสือเล่มใหญ่ๆได้เลย..
...แถมให้อีกนิด ... ก่อนที่มรรคจิตจะเกิดนั้น จะเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งคือ คล้ายๆ จิตจะมัธยัสถ์เป็นกลางมากๆ เป็นกลางเต็มที่ ซึ่งที่แท้นี่ก็คือ สังขารุเปกขาญาณ นั่นเอง..ขณะจิตต่อมาก็เป็นสัจจานุโลมมิกญาณ แล้วต่อมาก็เป็นโคตรภูญาณ(อืมม..ที่จริงควรพูดว่า ก่อนที่โคตรภูจะเกิด เพราะนิพพานจะเริ่มปรากฏตั้งแต่ โคตรภูแล้ว ก่อนถึงมรรคจิต แต่ตอนที่เป็นโคตรภู กำลังปัญญายังอ่อนไปหน่อย สังโยชน์จึงยังไม่โดนทำลายตอนนั้น ต่อมาอีกดวงคือมรรคจิต สังโยชน์จึงจะโดนทำลายลง แล้วผลจิต ๒ หรือ ๓ ดวง ก็เกิดต่อมาจากนั้นจิตก็ตกลงภวังค์แล้วขึ้นจากภวังค์ออกมาสู่วิถีจิตอีก เกิดปัจจเวขณญาณขึ้นในปัจจเวกขณวิถี พิจารณา มรรค ผล นิพพาน และกิเลสที่ละได้แล้ว และกิเลสที่ยังเหลืออยู่....)
...ตอนมรรคจิตเกิดนั้น จะอัศจรรย์สุดๆ ยิ่งกว่าความอัศจรรย์ใดๆทั้งหมด.. ในอริยมรรควิถี ลักษณะของจิตตอนที่เป็นมรรคจิตนี่แหละที่ดูอัศจรรย์สุดๆกว่าจิตดวงอื่นๆในวิถีนี้ ..อาการก็คือ คล้ายๆระเบิดนิวเคลียร์ระเบิด(แบบที่จุดระเบิดด้วยการใช้ระเบิดแรงสูงรอบด้านระเบิดพร้อมกัน หรือแบบที่ใช้พลูโตเนียม ๒๓๙)ตูมลงในศูนย์กลางจิต เกิดแสงสว่างวาบไปทั่วทั้งจักรวาลทุกๆโลกธาตุ แสงสว่างนี้ จะสว่างยิ่งกว่าตอนที่จิตรวมลงเป็นอัปปนาฯ ครั้งแรกซะอีก (ใครที่ได้จิตรวมลงเป็นอัปปนาสมาธิครั้งแรก จะเจอแสงสว่างมหัศจรรย์มากๆ แสงจะเจิดจ้าคล้ายๆดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันหลายหมื่นดวงรวมกัน....แสงนั้น คือแสงของพลังของจิตที่เป็นอัปปนาวิถี นั่นเอง และจิตก็จะจับเอาแสงนั้นมาเป็นรูปภายในเอามาเพ่งต่อไปของมันเอง... ดังนั้น จึงเรียกว่า รูปฌาน)
...ตอนที่เกิดคล้ายระเบิดนี่แหละที่สังโยชน์จะถูกทำลายลง เช่น ถ้าเป็นโสดาปัตติมรรค สังโยชน์ ๓ ก็จะโดนทำลายลงตอนนี้ พร้อมกันเลยในคราวเดียว ซึ่งการทำลายสังโยชน์ ๓ นั้น ทำลายลงที่ตัวใดตัวหนึ่ง อีก ๒ ตัวก็จะโดนทำลายไปด้วยกันเลย เพราะที่แท้ สังโยชน์ ๓ นั่นก็คือกิเลสเพียงตัวเดียว แต่มันแยกออกมาเป็น ๓ อาการจึงเรียกมัน ๓ ชื่อ คือ สักกายทิฏฐิ สีลพตปรามาส วิจิกิจฉา ..คนที่ฝึกหนักมาทางศีล มรรคญาณก็จะทำลายไปที่ตัวสีลพตปรามาส ..คนที่ฝึกหนักไปทางสมาธิ มรรคญาณก็จะทำลายไปที่ตัวสักกายทิฏฐิ คนที่ฝึกหนักไปทางปัญญา มรรคญาณก็จะทำลายไปที่ตัววิจิกิจฉา (ทำนองเดียวกับหมวดธรรมกลุ่ม นิวรณ์ ๕ ที่แท้คือกิเลสเพียงตัวเดียว แต่มันแสดงออกไป ๕ อาการ จึงเรียกไป ๕ ชื่อ..หรือหมวดธรรมกลุ่มอื่นๆทุกๆหมวดก็ทำนองเดียวกัน ฯลฯ) ......."
และ บางส่วนจากความเห็นที่ 11 ...
"........แถมให้อีกนิด ซึ่งที่จริงผมก็เคยอธิบายไปก่อนแล้ว ในกระทู้ไหนไม่รู้ หลายเดือนมาแล้ว...
...เกี่ยวกับ ชื่อ และความหมายของนิพพาน ในแง่มุมต่างๆ ที่เราเห็นในตำรา หลายๆชื่อ เช่น นิโรธ(ดับ) , ตัณหักขโย(ทำให้ตัณหาสิ้นไป) , อาลยสมุคฆาโต (ทำลายความอาลัย), วัฏฏูปัจเฉโท (หักกงกำแห่งวัฏฏะสงสาร) ,ปิปสวินโย (ขจัดบาป) ..ฯ เป็นต้น ..
ชื่อต่างๆเหล่านั้น เป็นแค่ชื่ออ้อมๆ เป็นเสมือนสมญานาม อย่าเอามาตีความเพื่อเข้าใจตัวนิพพานแท้ๆ จะไม่มีทางเข้าใจได้เลย เพราะชื่อต่างๆเหล่านั้น เป็นชื่อที่ระบุถึงคุณสมบัติของนิพพานที่กระทำต่อสังขารหรือสภาวะรอบด้าน(หลังจากนิพพานได้ปรากฏกับจิตแล้ว) ...นั่นคือหมายถึงว่า ชื่อต่างๆเหล่านั้นไม่ได้เจาะจงจี้ไปที่ตัวนิพพานแท้ๆ เป็นเพียงชื่อเรียกเปรียบเทียบด้วยโวหารคำพูดในภาษาบัญญติของมนุษย์ เท่านั้น
ตัวอย่างเช่น คุณใจพรานฯ เป็นทหารยศร้อยเอก มีฝีมือยิงปืนแม่น เป็นมือปืนรับจ้างสังหารโหด และเป็นอาจารย์สอนวิชากาพย์กลอน ว่างๆก็เป็นนักแข่งมอเตอร์ไซค์ฝีมือเยี่ยม...ดังนั้น เมื่อมีคนพูดถึงคุณใจพรานฯ เขาอาจจะเรียกว่า "ผู้กอง" หรือ "นักแม่นปืน" หรือ "มือสังหาร" หรือ "อาจารย์กาพย์กลอน" หรือ "นักบิดมือทอง" เป็นต้น...ซึ่งชื่อสมญานามต่างๆเหล่านั้น ไม่ได้จี้มาที่ตัวจริงๆของคุณใจพรานฯเลย คนที่ไม่เคยเห็นหรือเจอตัวจริงของคุณใจพรานฯมาก่อน จะไม่มีทางนึกภาพแท้ๆของคุณใจพรานฯ ออกได้เลยว่า มีรูปร่างหน้าตายังไงกันแน่. ....."
___________________________________________________________________________________
มาว่ากันต่อ เรื่องลักษณะอาการของตัวปัญญาที่เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ที่ทำงานตอนที่มรรคจิตเกิดแล้วประหารอนุสัยกิเลสหรือสังโยชน์ลงไป...
_____________________________________________________________________________________
ก่อนอื่น ควรรู้ไว้ก่อนว่า เจตสิกที่เป็นตัวปัญญาเจตสิกนั้น จะเป็นเจตสิกที่มีกำลังอย่างมากมายมหาศาล รองจากตัวสติเจตสิกแค่นิดหน่อยเท่านั้น ลักษณะของปัญญาเจตสิก คือสามารถรวบรวมข้อมูลที่เป็นสัญญาทั้งหมดมากมายมหาศาลมารวมไว้ในที่เดียวได้ และจัดระบบของความเกี่ยวโยงของสัญญานั้นได้หมด รู้เห็นถึงเหตุผลที่เกี่ยวโยงของสัญญานั้นได้ละเอียดทั่วถ้วนหมด เมื่อเราเกิดปัญญาในเรื่องใดๆ เราจะรู้สึกกระจ่างภายในใจเราเองได้เลยว่า เรารู้ทุกๆอย่าง ทุกๆแง่มุมของเรื่องนั้นๆได้หมดในการนึกขึ้นมาเพียงครั้งเดียว แว๊บเดียว เท่านั้น (ดังนั้นคำว่าปัญญาจึงมีคำแปลว่า รู้รอบหรือรู้ทั่วในกองสังขาร) เช่นเราเรียนเรื่องเครื่องยนตร์ เราค่อยๆเรียนไปถึงส่วนประกอบทีละชิ้นๆ หลายๆหมื่นชิ้นนั้น เป็นหนังสือเล่มใหญ่พันกว่าหน้า สมมุติเรียนไป ๒ ปี ก็เรียนจบ จนมาวันหนึ่ง เรารู้สึกว่าเรารู้เรื่องของส่วนประกอบของชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องยนตร์นั้นหมดรู้ว่ามันเกี่ยวโยงกันยังไง ทำหน้าที่ยังไง ด้วยการนึกเพียงแว๊บเดียว เราก็มองเห็นชิ้นส่วนทุกๆชิ้นส่วนได้หมดในภาพเดียว แว๊บเดียว เท่านั้น...นี่คือลักษณะของการทำงานของปัญญาเจตสิก มันจะทำงานแบบนี้ ...ต่างกับการทำงานของ วิตกเจตสิก ซึ่งจะนึกอะไรขึ้นมาก็นึกมาเพียงอันเดียว สัญญาเดียว พลังของสัญญาเจตสิกจึงน้อย ..เปรียบเทียบเช่น มีปลาในบึงมากมาย เราเอามือจับทีละตัวๆ กับการที่เราเหวี่ยงแหจับพร้อมๆทีเดียวได้หมดบึงเลย ...การเอามือจับปลาทีละตัว เทียบได้กับการทำงานของวิตกเจตสิก การเหวี่ยงแหรวบปลามาทีเดียวมากมายหลายร้อยตัว เทียบกับการทำงานของปัญญาเจตสิก คนที่มีปัญญามาก ก็เปรียบกับคนที่มีแหใหญ่เหวี่ยงรวบเอามาทีเดียวได้ปลาหลายหมื่นหลายแสนตัว ...
คราวนี้มาว่ากันถึงตอนที่ปัญญาเจตสิกทำงานตอนที่มรรคจิตเกิด ซึ่งปัญญาตอนนี้ชื่อเรียกอีกชื่อ คือ มรรคญาณ ...จะอธิบายไปตามปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆกับนักปฏิบัติที่ฝึกจนถึงตอนนี้ และสังเกตเห็นได้ ... ซึ่งจะไปหาอ่านในตำราอาจจะหาไม่เจอ...
-----------------------------------------------------------------------------
จากข้อความที่ยกมาจากกระทู้เดิม ข้างบนนั้น ...จะเห็นว่า ปัญญานี้จะเกิดขึ้นมาในจังหวะที่แยกตรงรอยต่อระหว่าง นาม(จิตดวงที่๑๖)กับรูป(จิตดวงที่๑๗) ลักษณะการเกิด คล้ายๆระเบิดแสงสว่างมากมายมหาศาลไม่มีที่เปรียบระเบิดตูมลงในศูนย์กลางจิตที่เห็นตรงระหว่างรอยต่อนั้น....
มาพิจารณาดูตรงคำว่า สัมมาทิฏฐิ ที่เอามาใช้เรียกชื่อปัญญาในตอนนี้ เคยสงสัยบ้างไหมว่า ทำไมไปเอาคำว่า ทิฏฐิ มาใช้ ซึ่งปกติคำนี้ หมายถึง ทิฏฐิเจตสิก ซึ่งเป็นอกุศลเจตสิก ที่ต้องหาทางขจัดทำลาย แต่ทำไมท่านเอามาใช้เป็นคำเรียกชื่อของปัญญาไปได้? น่าจะใช้คำอื่นๆ เช่น สัมมาปัญญา หรือสัมมาวิชชา หรือสัมมาทัศนะ หรือคำอื่นๆ ฯลฯ ไม่ดีกว่า หรือ?
จะมาเฉลยปริศนาของการใช้คำนี้ต่อไป...ข้างล่าง...(เนื้อที่ของตัวอักษรในหน้านี้หมดซะแล้ว)
(( ..กรุณาต่อ ความเห็นที่ 1 ข้างล่าง .. ))