การปฏิบัติสายนี้ เป็นสายวิปัสสนา (การปฏิบัติแบบวิปัสสนาจะเริ่มวันที่ 4 วันแรกๆจะให้ฝึกอานาปานสติคือการดูลมหายใจเพื่อฝึกสติและสมาธิก่อน) โดยการฝึกแบบวิปัสสนานี้คือจะให้เราฝึกการรับรู้เวทนาภายในร่างกายของเรา ให้ทั่วทั้งร่างกายทั้งภายนอกและภายใน จุดประสงค์ก็คือเพื่อการดับกิเลสอย่างสิ้นเชิง..
โดยตามทฤษฎีก็คือ ท่านบอกว่าร่างกายของคนเรานั้นจะเชื่อมต่อกับจิตใจของเรา (อันนี้ไม่ต้องสงสัย) โดยจะมีส่วนที่เป็น 'จิตสำนึก' และส่วนที่เป็น 'จิตไร้สำนึก'
ส่วนที่เป็น 'จิตสำนึก' จะทำงานตอนที่เรามีสติอยู่
ส่วนๆที่เป็น 'จิตไร้สำนึก' นั้นจะทำงานอยู่ตลอดเวลา และจะตอบสนองออกมาทางร่างกายอย่างใดอย่างหนึ่งโดยอัตโนมัติโดยที่เราไม่รู้ตัว ตัวอย่างเช่น ตอนเรานอน เราไม่มีสติอยู่ เมื่อเราเมื่อย เราก็จะพลิกตัวไปมาโดยที่เราไม่รู้ตัว นั่นคือการทำงานของจิตไร้สำนึก
โดยท่านบอกว่า ที่ส่วนของ 'จิตไร้สำนึก' เนี่ยแหละ คือส่วนที่กิเลสทั้งหลายนอนเนื่องและฝังรากลึกอยู่
สิ่งที่การปฏิบัตินี้ทำก็คือ การที่จะเจาะเข้าไปให้ถึงจิตไร้สำนึกของเรา โดยรับรู้ผ่านทางเวทนาทางร่างกายของเรา ไม่ว่าเราจะรับรู้สิ่งที่เป็นเวทนาใดๆทางร่างกายไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวด, คัน, เย็น, ร้อน, สั่นสะเทือน, เบาสบาย, ตึง, หนัก, 'อะไรก็แล้วแต่ที่รู้สึก' ก็ให้วาง 'อุเบกขา' อย่าไปดีใจ, เสียใจ, ชอบ, ไม่ชอบ คืออย่าไปปรุงแต่งสังขารใดๆให้กับเวทนาเหล่านั้นก็พอ
เมื่อสติและสมาธิถึงขั้น.. จนรับรู้เวทนาได้ทั่วทั้งร่ายกายทั้งนอกและใน และวางอุเบกขาได้ตลอด (ซึ่งภายในแค่ 10 วัน ก็คงยังไม่ถึงข้ันนี้) กิเลสของเราที่ถูกฝักรากลึกอยู่ในจิตไร้สำนึกก็จะถูกขุดลอกออกมาเรื่อยๆๆ ชั้นแล้วชั้นเล่า จนหมดสิ้นไป ซึ่งบางทีกิเลสเก่าๆ (หรืออาจะเรียกได้ว่ากรรมเก่าๆ?) เหล่านั้นก็จะแสดงออกมาทางเวทนาทางร่างกาย เช่น จะเกิดความเจ็บป่วยต่างๆ แต่ขอเพียงเราวางอุเบกขาได้ต่อเวทนาเหล่านั้น การปฏิบัติของเราก็จะก้าวหน้าไปเรื่อยๆ จนขูดลอกกิเลสต่างๆได้จนหมด และเราก็จะปราศจากกิเลส หรือซึ่งหมายถึงปราศจากทุกข์ทั้งมวลนั้นเอง..
ออ อีกอย่างคือเมื่อท่านปฏิบัติได้จนถึงขั้นที่รับรู้เวทนาทั่วทั้งร่างกายทั้งนอกและในได้ และมีสมาธิที่ลึกและเต็มรอบพอแล้ว ท่านก็จะได้เห็นการเกิด-ดับของ 'ปรมณูธาตุ' (ซึ่งคือหน่วยที่เล็กที่สุดของทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้) ภายในร่างกายของเรา ว่ามันจะมีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ท่านจะเห็นความเป็น 'อนิจจัง' อย่างแท้จริง จะได้พบกับ 'ปรมัตถธรรม' เข้าใจอย่างแท้จริงว่าร่างกายนี้ก็เป็นเพียงแค่กลุ่มก้อนของธาตุต่างๆที่มารวมตัวกัน ไม่มีสิ่งใดเป็นตัวเป็นตนของเรา เป็น 'อนัตตา'
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้มาถึงเรื่องความคิดเห็นของผมต่อหลักสูตรการปฏิบัตินี้ (ซึ่งจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับทฤษฎีที่ให้ไปข้างต้น ที่จริงผมเขียนเพื่ออยากเรียบเรียงความเข้าใจผมด้วย และเผื่อใครยังไม่รู้ และสนใจอยากรู้ : )
- โดยส่วนตัวแล้วผมชอบวิธีการปฏิบัติ 'อานาปานสติ' แบบนี้ คือการนั่งแบบดูลมหายใจเข้าออกเพียงอย่างเดียว ไม่ต้องบริกรรมใดๆในการนั่งสมาธิ ซึ่งผมเห็นว่ามันคือความเป็นธรรมชาติและความเป็นสากลมากที่สุด บางทีเราบริกรรมไปนานๆเข้า เราจะติดและไปยึดอยู่ที่คำบริกรรมโดยไม่รู้ตัว แทนที่จะเป็นลมหายใจ หรือบางทีมันจะกลายเป็นเรื่องของลัทธิใดลัทธิหนึ่งไป (อันนี้ท่านโกเอ็นก้าเป็นคนบอก ซึ่งผมก็เห็นด้วย) แต่ใน 'ระยะเริ่มต้น' นั้นยอมรับว่าการมีบริกรรมด้วย สามารถดึงสติและสมาธิมาได้เร็วกว่าการไม่บริกรรมใดๆ เพราะเมื่อเราไม่ได้บริกรรมใดๆหรือคิดอะไรเลยในหัว เพียงแต่ดูลมหายใจ มันทำให้จิตใจเราที่ไม่เคยถูกฝึกมา และเป็นจิตที่คิดนู้นนี่นั้นตลอดเวลาไม่เคยหยุดนี้ ฟุ้งงงมากกก อย่างหยุดไม่ได้ แต่เมื่อได้ฝึกไปเรื่อยๆ ท่านก็จะทำได้เอง แต่อาจจะใช้เวลานานกว่าหน่อย
- ส่วนการปฏิบัติด้าน 'วิปัสสนา' แบบนี้นั้น พอเข้าใจได้.
แต่ผมยังสงสัยอยู่ว่าทำไมการปฏิบัติแบบนี้ให้ดูแค่เวทนาทางร่างกาย? ทำไมไม่ให้ดูจิตด้วย? ทั้งๆที่จริงๆ แล้วในสติปัฏฐานนั้นก็มีการให้ดูด้านจิตด้วย อยู่ในหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ หรือการสอนวางจิตเป็นอุเบกขาต่อทุกสิ่งที่รับรู้จากเวทนาทางร่างกายนั้นคือหมายถึงการดูจิตแล้ว ? แล้วความคิดหรือความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นทางจิต เช่น ความคิด ความสงบ ความรำคาญ ไม่จำเป็นต้องรับรู้หรือ?
- พูดถึงเรื่องหลักสูตร 10 วัน ฝึก 'อานาปานสติ' ใน 4 วันแรกก่อน (เริ่ม 'วิปัสสนา' วันที่ 4 ตอนบ่าย)
ช่วงแรกจะเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะท่านจะไม่สอนอะไรนอกจากดูลมหายใจ.. แค่นั้นจริงๆ ไม่สอนวิธีทำให้จิตหายฟุ้งซ่าน หายง่วง ไม่พูดถึงเรื่องนิวรณ์ 5 ด้วย (ดันไปพูดวันที่ 4 เลย หรือวันที่ 6 ไม่แน่ใจ) ซึ่งจริงๆแล้วควรจะพูดตั้งแต่วันเริ่มๆน่าจะดีกว่ามั้ย ? จะได้จัดการกับนิวรณ์ และขจัดนิวรณ์เหล่านี้ได้ถูก ผมว่าไม่น่าใช่สิ่งที่เข้าใจยากแต่อย่างใด
- แล้วก็ตอนพักว่างๆ แทนที่จะให้กำหนดสติหรืออะไรยังไงบ้าง ก็ไม่ได้ให้คำแนะนำใดๆ ผมเห็นคนส่วนใหญ่ก็นั่งเหม่อมองนู้นนี่นั้นกันไปเรื่อย ส่วนตัวผมก็ด้วย ก็คิดนุ้นคิดนี่ไปเรื่อยๆ กลับมานั่งปฏิบัติจิตมันก็ยิ่งฟุ้งสิครับ
- แถมประเด็นคือ ดันบอกด้วยว่า ห้ามเพิ่มเติมหรือลดทอนวิธีการปฏิบัติ ตอนแรกๆผมก็เลยไม่กล้าทำอะไรมาก เพราะกลัวจะไปทำผิดวิธี
แต่สุดท้ายทนไม่ได้จริงๆ เพราะสติยังไม่ค่อยจะมีเลยตอนนั่ง เลยต้องรับรู้อิริยาบท ยืน เดิน นอน นั่ง รับรู้เวทนา รับรู้จิต ไปเอง เพื่อฝึกสติให้อยู่กับตัวตลอด...
- ซึ่งสุดท้ายก็มาพูดเรื่องที่ให้รับรู้อิริยาบท รับรู้เวทนานี้ ในวันที่ 7.. ซึ่งผมรู้สึกว่ามันนานไปมากกว่าจะมาพูดเรื่องนี้ เพราะมันก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เข้าใจยากหรือทำได้ยากแต่อย่างใด และน่าจะมีประโยชน์กว่าถ้าได้ปฏิบัติตั้งแต่วันเริ่มๆ หรือวันไหนก็ได้ที่น่าจะเร็วกว่านี้
ซึ่งที่จริงผมก็ได้ถามอาจารย์ไปแล้ว แต่ไม่ได้รับคำตอบที่ช่วยอะไรได้แต่อย่างใดครับ เพียงแต่บอกว่า "การสอนเราก็ต้องสอนเป็นขั้นเป็นตอน"
- ส่วนเรื่องอาจารย์ ก็จะมีผู้ชายผู้หญิงรวม 2 คน จะมานั่งปฏิบัติข้างหน้าห้องด้วยในเวลาส่วนใหญ่ แล้วก็จะพูดประโยคซ้ำๆ เดิมๆทุกวัน
"พักซักครู่นะคะ Let's have a short break" ทุกวันพูดแค่นี้ ส่วนอ.ผู้ชายก็เพียงจะเป็นคนกดเปิดเทปตามเวลาที่กำหนด ก็แปลกดีครับ
- ผมมีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติ ไปถามอาจารย์ อาจารย์ก็ตอบเหมือนที่ผมได้ฟังธรรมะบรรยายตอนกลางคืนเลย ไม่ได้ช่วยไขความกระจ่าง ไม่ได้ให้ความเข้าใจมากขึ้น ไม่ได้ให้กำลังใจ หรือไม่ได้รับรู้ถึงความเมตตา กรุณาใดๆแม้แต่น้อย แล้วท่านก็ไม่ได้ดูพื้นฐานเราเลยครับเช่น "บอกคุณเรื่องนิวรไป บอกคุณเรื่องเวทนาไปตอนนี้ คุณจะไปรู้จักมั้ย?" คือใบประวัติที่เขียนให้ไปก็มีครับ ว่าผมก็พอมีประสบการณ์มาบ้าง ทำไมไม่อ่านหน่อย จะได้เสริมให้ผมได้เข้าใจมากขึ้น ผมก็บอกไปว่าพอรู้จัก แต่ท่านอาจารย์ก็บอกเพียงว่าเดี้ยวจะมีสอนในวันต่อๆไป..
- จากที่สอบถามทางเพื่อนฝ่ายผู้หญิงก็กรณีคล้ายๆกัน สงสัยว่าท่านอาจารย์จะได้รับคำสั่งให้พูดอยู่แต่ในกรอบเหล่านั้นเท่านั้น แล้วแบบนี้จะมีอาจารย์ไปทำไมกัน? ไหนบอกว่าถ้าปฏิบัติไปเรื่อยๆแล้วจะมีปัญญา มีความรัก ความเมตตา กรุณามากขึ้น ซึ่งผมไม่อาจสัมผัสได้จากผู้ปฏิบัติที่ควรจะดูเป็นตัวอย่างที่ดีทั้งสองท่านข้างหน้าผมเลย..
ก็สรุปสุดท้ายคือ ชอบวิธีปฏิบัติครับ และชอบการที่ได้ปฏิบัติตลอดทั้งวัน ชอบการที่เป็นองกรณ์ที่อยู่ด้วยเงินบริจาคอย่างเดียว ไม่มีกำหนดค่าใช้จ่ายใดๆในการปฏิบัติ กับข้าวอาหารการกินต่างๆก็ดีมากเลยครับ อาจจะไม่ได้อร่อยอะไรเท่าไรนัก แต่รับรู้ได้ถึงความใส่ใจในการทำ และชอบท่านโกเอ็นก้าครับ (ยกเว้นเสียงสวดท่าน.. 55) ผู้คนที่มาปฏิบัติด้วยกัน ธรรมะบริกรก็ดีหมดครับ รวมถึงอาจารย์ แท้จริงท่านก็มาด้วยใจครับ ไม่ได้มีค่าจ้างใดๆ
แต่ยังไม่ค่อยจะเข้าใจกับหลักสูตรการปฏิบัติตามขั้นตอนนี้แบบนี้เท่าไรนัก..
( ปล. แต่มีเพื่อนผมคนหนึ่งที่ไปแล้วปฏิบัติไปไกลกว่าคนปกติทั่วไปเยอะเลยครับ รับรู้เวทนาลื่นไหลทั้งร่างแล้ว ตอนนี้ scan ไปถึงส่วนกระดูกสันหลัง ซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายในการ scan จากเท่าที่คุยกับหลายๆคน รวมถึงศิษย์เก่าที่เคยปฏิบัติมาแล้ว ดูคนนี้น่าจะไปไกลกว่า ซึ่งคนนี้เป็นคนที่ไม่เคยปฏิบัติมาก่อนเลยด้วย.. ก็แสดงได้ว่าการปฏิบัติตามขั้นตอนนี้เห็นผลลัพท์ได้ดีมากเหมือนกัน.. รวมถึงถ้ามันไม่ได้ผลดีจริง คงไม่ดังไปทั่วโลกและเปิดสาขาได้มากขนาดนี้ )
การได้ไป 'ปฏิบัติธรรม' ตามแนววิธีของท่านอาจารย์ 'โกเอ็นก้า' ของข้าพเจ้า
โดยตามทฤษฎีก็คือ ท่านบอกว่าร่างกายของคนเรานั้นจะเชื่อมต่อกับจิตใจของเรา (อันนี้ไม่ต้องสงสัย) โดยจะมีส่วนที่เป็น 'จิตสำนึก' และส่วนที่เป็น 'จิตไร้สำนึก'
ส่วนที่เป็น 'จิตสำนึก' จะทำงานตอนที่เรามีสติอยู่
ส่วนๆที่เป็น 'จิตไร้สำนึก' นั้นจะทำงานอยู่ตลอดเวลา และจะตอบสนองออกมาทางร่างกายอย่างใดอย่างหนึ่งโดยอัตโนมัติโดยที่เราไม่รู้ตัว ตัวอย่างเช่น ตอนเรานอน เราไม่มีสติอยู่ เมื่อเราเมื่อย เราก็จะพลิกตัวไปมาโดยที่เราไม่รู้ตัว นั่นคือการทำงานของจิตไร้สำนึก
โดยท่านบอกว่า ที่ส่วนของ 'จิตไร้สำนึก' เนี่ยแหละ คือส่วนที่กิเลสทั้งหลายนอนเนื่องและฝังรากลึกอยู่
สิ่งที่การปฏิบัตินี้ทำก็คือ การที่จะเจาะเข้าไปให้ถึงจิตไร้สำนึกของเรา โดยรับรู้ผ่านทางเวทนาทางร่างกายของเรา ไม่ว่าเราจะรับรู้สิ่งที่เป็นเวทนาใดๆทางร่างกายไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวด, คัน, เย็น, ร้อน, สั่นสะเทือน, เบาสบาย, ตึง, หนัก, 'อะไรก็แล้วแต่ที่รู้สึก' ก็ให้วาง 'อุเบกขา' อย่าไปดีใจ, เสียใจ, ชอบ, ไม่ชอบ คืออย่าไปปรุงแต่งสังขารใดๆให้กับเวทนาเหล่านั้นก็พอ
เมื่อสติและสมาธิถึงขั้น.. จนรับรู้เวทนาได้ทั่วทั้งร่ายกายทั้งนอกและใน และวางอุเบกขาได้ตลอด (ซึ่งภายในแค่ 10 วัน ก็คงยังไม่ถึงข้ันนี้) กิเลสของเราที่ถูกฝักรากลึกอยู่ในจิตไร้สำนึกก็จะถูกขุดลอกออกมาเรื่อยๆๆ ชั้นแล้วชั้นเล่า จนหมดสิ้นไป ซึ่งบางทีกิเลสเก่าๆ (หรืออาจะเรียกได้ว่ากรรมเก่าๆ?) เหล่านั้นก็จะแสดงออกมาทางเวทนาทางร่างกาย เช่น จะเกิดความเจ็บป่วยต่างๆ แต่ขอเพียงเราวางอุเบกขาได้ต่อเวทนาเหล่านั้น การปฏิบัติของเราก็จะก้าวหน้าไปเรื่อยๆ จนขูดลอกกิเลสต่างๆได้จนหมด และเราก็จะปราศจากกิเลส หรือซึ่งหมายถึงปราศจากทุกข์ทั้งมวลนั้นเอง..
ออ อีกอย่างคือเมื่อท่านปฏิบัติได้จนถึงขั้นที่รับรู้เวทนาทั่วทั้งร่างกายทั้งนอกและในได้ และมีสมาธิที่ลึกและเต็มรอบพอแล้ว ท่านก็จะได้เห็นการเกิด-ดับของ 'ปรมณูธาตุ' (ซึ่งคือหน่วยที่เล็กที่สุดของทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้) ภายในร่างกายของเรา ว่ามันจะมีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ท่านจะเห็นความเป็น 'อนิจจัง' อย่างแท้จริง จะได้พบกับ 'ปรมัตถธรรม' เข้าใจอย่างแท้จริงว่าร่างกายนี้ก็เป็นเพียงแค่กลุ่มก้อนของธาตุต่างๆที่มารวมตัวกัน ไม่มีสิ่งใดเป็นตัวเป็นตนของเรา เป็น 'อนัตตา'
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้