คุณเคยเจอปัญหาหนักๆ ในชีวิตไหม?
และคุณผ่านมันไปได้อย่างไร?
คือ คำถามที่นำฉันมาสู่การปฏิบัติวิปัสสนาแบบหักดิบในครั้งนี้
ใช่ ฉันเจอปัญหาชีวิต หนักและแรงในช่วงเวลาประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา
อดีตคนรักของฉันพยายามทำลายชื่อเสียงฉันหลังจากที่ฉันจับได้ว่าเขาคบฉันเพื่อหวังความก้าวหน้าในชีวิต และเขามีผู้หญิงอีกคนอยู่ก่อนฉันแล้ว คนในครอบครัวป่วยเป็นโรคร้าย ตัวฉันเองเจ็บป่วยเกือบตาย เมื่อมีคนรักใหม่ที่มีคำมั่นสัญญาว่าจะใช้ชีวิตร่วมกัน ปรากฏว่าคนรักใหม่ของฉันทำผู้หญิงคนอื่นท้องและต้องจากไปแต่งงาน คนใกล้ตัวเสียชีวิตสามคน มีปัญหาในที่ทำงาน และสุดท้ายก็มีคนใส่ร้ายฉันในเรื่องใหม่ซ้ำอีก
สภาพจิตใจของฉันไม่สามารถรับมันได้ในขณะนั้น
ฉันจึงตัดสินใจลางานเพื่อปฏิบัติธรรม โดยเลือกไปยังสถานที่ที่เคยไปมาก่อน แต่ฉันก็รู้ดีว่า นั่นทำให้ฉันสงบลงได้ แต่คงอยู่ไม่นาน
เพราะเหมือนการลี้ภัยการเมือง(แต่ในที่นี้เป็นลี้ภัยปัญหาชีวิต) ไปพักสมอง สวดมนตร์ ฟังธรรม นั่งสมาธิ สนทนาธรรม
ฉันต้องการยาแรงกว่านั้น
แม่ของฉันถามว่า “ไปที่ทรัพย์ไพรวัลย์ไหม?” ที่นี่เคร่งมาก
ฉันจึงตอบทันทีว่า “ลูกอยากไปค่ะ”
ฉันหาข้อมูลในทันที และพบว่าสถานที่ที่ฉันกำลังจะไป “ศูนย์ฯ ธรรมอาภา” ดำเนินการอบรมหลักสูตรวิปัสสนากรรมฐาน ตามแนวทางของท่านอาจารย์โกเอ็นก้า ซึ่งฉันเคยได้ยินชื่อเสียงของท่านมาบ้าง แต่ไม่เคยได้ลองปฏิบัติสักครั้ง
สาเหตุที่ฉันไม่ได้ปฏิบัติสักทีมาจากสองสาเหตุคือ
1. ในการอบรมแต่ละครั้ง ใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าที่อื่น นั่นหมายถึงฉันต้องลาเรียน/งาน เป็นเวลานาน ฉันจึงมักเลือกปฏิบัติคอร์สสั้นๆ 3-5 วัน มากกว่า
2. การวิปัสสนากรรมฐานตามแนวทางนี้ คือการตัดขาดทุกอย่าง การสื่อสาร การอ่าน การเขียน หรือแม้แต่การพูดคุยหรือสื่อสารในวิธีการอื่นกับบุคคลใดๆ ตลอดการอบรม และตารางการปฏิบัติแน่นมากตั้งแต่ตีสี่ถึงสามทุ่มครึ่งของทุกวัน
แต่ในครั้งนี้ ฉันคิดว่าฉันพร้อม
ธรรมชาติของฉันเป็นคนตึง และเติบโตมาภายใต้วินัยเข้มงวด เมื่อต้องทำอะไรบางอย่าง ฉันจะโหมทำจนแทบไม่ดูตนเองเพื่อให้สิ่งนั้นเสร็จ
เมื่อเกิดปัญหา ฉันจะคิดๆๆ อยู่ตลอดเวลา ต้องหาคำตอบให้ได้ในเวลาที่เร็วที่สุด จนหลายๆ ครั้งสร้างความกดดันให้แก่ผู้อื่น ฉันโกรธยากแต่เมื่อโกรธมักรุนแรง ไม่หาย เก็บไว้ในใจตลอดเวลา กดความรู้สึกต่างๆ ไว้ภายในใจมากมาย
นั่นคือ ฉันเป็นคนไม่ค่อยปล่อยวาง
ฉันต้องมองดูจิตตัวเองใหม่ และปรับเปลี่ยนบางสิ่งเพื่อให้เผชิญปัญหาต่างๆ ด้วยความเข้าใจและปล่อยวางมากกว่านี้
ฉันไปปฏิบัติธรรมยังสถานที่เดิม เพื่อเตรียมความพร้อมของร่างกายและจิตใจ เมื่อกลับมาบ้านฉันจึงมีเวลาสั้นๆ ในการเตรียมตัวเพื่อไปยังสถานที่ใหม่
เมื่อฉันรู้ตัวว่า ฉันต้องอยู่กับความเงียบ และพยายามปล่อยวางตัวตนและสิ่งเร้ารอบตัว ช่วงที่กลับมาบ้านฉันจึงเลือกที่จะปิดการสื่อสารของตัวเอง ฉันปิดโทรศัพท์ ไม่เปิดคอม ไม่เล่นอินเตอร์เน็ต ไม่ดูโทรทัศน์ ใช้เวลาไปกับการเตรียมกระเป๋า และอ่านหนังสือในสายงาน
และนี่คือบันทึกการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน 10 วันของฉัน
ที่นี่ ห้ามอ่าน และเขียนใดๆ นะคะ ฉันเขียนสิ่งเหล่านี้จากความทรงจำล้วนๆ อาจมีขาดตกบกพร่องบ้าง ต้องขออภัยล่วงหน้าค่ะ
#แทกห้องศาสนาเพราะเกี่ยวข้องโดยตรง
#แทกห้องสยามสแควร์ ศาลาประชาคม กับสวนลุมเพราะคิดว่าอาจจะมีประโยชน์
บันทึก 10 วัน ของนักวิปัสสนามือใหม่ ตามแนวทางของท่านอาจารย์โกเอ็นก้า ณ ศูนย์ฯ ธรรมอาภา ค่ะ
และคุณผ่านมันไปได้อย่างไร?
คือ คำถามที่นำฉันมาสู่การปฏิบัติวิปัสสนาแบบหักดิบในครั้งนี้
ใช่ ฉันเจอปัญหาชีวิต หนักและแรงในช่วงเวลาประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา
อดีตคนรักของฉันพยายามทำลายชื่อเสียงฉันหลังจากที่ฉันจับได้ว่าเขาคบฉันเพื่อหวังความก้าวหน้าในชีวิต และเขามีผู้หญิงอีกคนอยู่ก่อนฉันแล้ว คนในครอบครัวป่วยเป็นโรคร้าย ตัวฉันเองเจ็บป่วยเกือบตาย เมื่อมีคนรักใหม่ที่มีคำมั่นสัญญาว่าจะใช้ชีวิตร่วมกัน ปรากฏว่าคนรักใหม่ของฉันทำผู้หญิงคนอื่นท้องและต้องจากไปแต่งงาน คนใกล้ตัวเสียชีวิตสามคน มีปัญหาในที่ทำงาน และสุดท้ายก็มีคนใส่ร้ายฉันในเรื่องใหม่ซ้ำอีก
สภาพจิตใจของฉันไม่สามารถรับมันได้ในขณะนั้น
ฉันจึงตัดสินใจลางานเพื่อปฏิบัติธรรม โดยเลือกไปยังสถานที่ที่เคยไปมาก่อน แต่ฉันก็รู้ดีว่า นั่นทำให้ฉันสงบลงได้ แต่คงอยู่ไม่นาน
เพราะเหมือนการลี้ภัยการเมือง(แต่ในที่นี้เป็นลี้ภัยปัญหาชีวิต) ไปพักสมอง สวดมนตร์ ฟังธรรม นั่งสมาธิ สนทนาธรรม
ฉันต้องการยาแรงกว่านั้น
แม่ของฉันถามว่า “ไปที่ทรัพย์ไพรวัลย์ไหม?” ที่นี่เคร่งมาก
ฉันจึงตอบทันทีว่า “ลูกอยากไปค่ะ”
ฉันหาข้อมูลในทันที และพบว่าสถานที่ที่ฉันกำลังจะไป “ศูนย์ฯ ธรรมอาภา” ดำเนินการอบรมหลักสูตรวิปัสสนากรรมฐาน ตามแนวทางของท่านอาจารย์โกเอ็นก้า ซึ่งฉันเคยได้ยินชื่อเสียงของท่านมาบ้าง แต่ไม่เคยได้ลองปฏิบัติสักครั้ง
สาเหตุที่ฉันไม่ได้ปฏิบัติสักทีมาจากสองสาเหตุคือ
1. ในการอบรมแต่ละครั้ง ใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าที่อื่น นั่นหมายถึงฉันต้องลาเรียน/งาน เป็นเวลานาน ฉันจึงมักเลือกปฏิบัติคอร์สสั้นๆ 3-5 วัน มากกว่า
2. การวิปัสสนากรรมฐานตามแนวทางนี้ คือการตัดขาดทุกอย่าง การสื่อสาร การอ่าน การเขียน หรือแม้แต่การพูดคุยหรือสื่อสารในวิธีการอื่นกับบุคคลใดๆ ตลอดการอบรม และตารางการปฏิบัติแน่นมากตั้งแต่ตีสี่ถึงสามทุ่มครึ่งของทุกวัน
แต่ในครั้งนี้ ฉันคิดว่าฉันพร้อม
ธรรมชาติของฉันเป็นคนตึง และเติบโตมาภายใต้วินัยเข้มงวด เมื่อต้องทำอะไรบางอย่าง ฉันจะโหมทำจนแทบไม่ดูตนเองเพื่อให้สิ่งนั้นเสร็จ
เมื่อเกิดปัญหา ฉันจะคิดๆๆ อยู่ตลอดเวลา ต้องหาคำตอบให้ได้ในเวลาที่เร็วที่สุด จนหลายๆ ครั้งสร้างความกดดันให้แก่ผู้อื่น ฉันโกรธยากแต่เมื่อโกรธมักรุนแรง ไม่หาย เก็บไว้ในใจตลอดเวลา กดความรู้สึกต่างๆ ไว้ภายในใจมากมาย
นั่นคือ ฉันเป็นคนไม่ค่อยปล่อยวาง
ฉันต้องมองดูจิตตัวเองใหม่ และปรับเปลี่ยนบางสิ่งเพื่อให้เผชิญปัญหาต่างๆ ด้วยความเข้าใจและปล่อยวางมากกว่านี้
ฉันไปปฏิบัติธรรมยังสถานที่เดิม เพื่อเตรียมความพร้อมของร่างกายและจิตใจ เมื่อกลับมาบ้านฉันจึงมีเวลาสั้นๆ ในการเตรียมตัวเพื่อไปยังสถานที่ใหม่
เมื่อฉันรู้ตัวว่า ฉันต้องอยู่กับความเงียบ และพยายามปล่อยวางตัวตนและสิ่งเร้ารอบตัว ช่วงที่กลับมาบ้านฉันจึงเลือกที่จะปิดการสื่อสารของตัวเอง ฉันปิดโทรศัพท์ ไม่เปิดคอม ไม่เล่นอินเตอร์เน็ต ไม่ดูโทรทัศน์ ใช้เวลาไปกับการเตรียมกระเป๋า และอ่านหนังสือในสายงาน
และนี่คือบันทึกการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน 10 วันของฉัน
ที่นี่ ห้ามอ่าน และเขียนใดๆ นะคะ ฉันเขียนสิ่งเหล่านี้จากความทรงจำล้วนๆ อาจมีขาดตกบกพร่องบ้าง ต้องขออภัยล่วงหน้าค่ะ
#แทกห้องศาสนาเพราะเกี่ยวข้องโดยตรง
#แทกห้องสยามสแควร์ ศาลาประชาคม กับสวนลุมเพราะคิดว่าอาจจะมีประโยชน์