แรงโน้นถ่วงยังแรงจัด เกาะอันดับ 1 แน่น กัปตันลอยลม มาเชเต้จมสนิท

US BOX OFFICE October 11-13, 2013

(แปล/ เรียบเรียงจาก www.boxofficemojo.com)

แม้จะเปิดตัวได้แข็งแรง แต่หนัง Captain Phillips ก็ยังแข็งแรงไม่มากพอที่จะงัด Gravity หล่นลงมาจากอันดับ 1 โดยหลังสร้างสถิติหนังเปิดตัวเดือนตุลาฯ เมื่อสัปดาห์ก่อนโน้น Gravity ทำรายได้ตกเพียงแค่ 23% ทำเงินมาเพิ่มอีก 43.2 ล้านเหรียญ ถือเป็นรายได้ทรงตัวในช่วงที่ไม่ใช่สุดสัปดาห์เทศกาลที่ดีที่สุด สำหรับหนังที่เปิดตัวด้วยรายได้กว่า 50 ล้านเหรียญ โดยหนังได้ตังค์จากไอแมกซ์ถึง 9.05 ล้านเหรียญ ซึ่งถือเป็นรายได้สัปดาห์ที่ 2 ของโรงไอแมกซ์ที่มากที่สุดตลอดกาล เหนือ The Dark Knight Rises ที่ทำไว้ 8.99 ล้านเหรียญ ผ่าน 10 วันหนังทำเงินไปแล้ว 122.3 ล้านเหรียญ

อ่านวิจารณ์  Gravity หนังอวกาศสุดระทึก ได้ที่ http://bit.ly/16iu1zu

การยืนระยได้ดีในแบบที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนของ Gravity ถูกยกให้เป็นเรื่องของปากต่อปาก ที่เน้นไปว่า การชมหนังเรื่องนี้เป็นประสบการณ์ในการชม ที่ได้รับจากจอภาพยนตร์ใหญ่ๆ ในระบบ 3 มิติเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่โดนความรู้สึก และมีพลังมากๆ ในการดึงผู้ชมออกจากบ้านมาโรงภาพยนตร์ แทนที่จะรอชมในบ้าน หลักฐานหนึ่งที่สนับสนุนเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีก็คือ การที่ค่าตั๋วโรง 3 มิตินั้นคิดเป็นรายได้ถึง 82% ซึ่งมากกว่าสัปดาห์เปิดตัวที่ทำไว้ 80% แต่นี่ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของหนังด้วยซ้ำ เพราะหนังน่าจะยืนระยะได้ไปจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน ก่อนจะเสียงโรงไอแมกซ์ และ 3 มิติไปให้ Ender's Game และ Thor: The Dark World มองจากตอนนี้รายได้ 250 ล้านเหรียญเป็นเรื่องที่ทำได้แน่ๆ และ 300 ล้านเหรียญก็ไม่ได้ไกลเกินเอื้อม

อ่านเกร็ดเล็ก เกร็ดน้อยของ Gravity ได้ที่ http://bit.ly/1fTcQKR

กับการเปิดตัวด้วย 3,020 โรง Captain Phillips ทำรายได้ใช้ได้ที่ 25.7 ล้านเหรียญ เมื่อเปรียบเทียบกับหนังแนวๆ เดียวกัน ถือว่าทำได้ดีกว่า 24.4 ล้านเหรียญของ Zero Dark Thirty และเหนือกว่า Argo ที่ทำไว้ 19.5 ล้านเหรียญ จากการเปิดตัวในสัปดาห์เดียวกันเมื่อปีก่อน แล้วยังถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีอีกเรื่องหนึ่งสำหรับการเป็นหนังทอม แฮงค์ส ที่มีหนังเปิดตัวน่าผิดหวังมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น Cloud Atlas, Extremely Loud & Incredibly Close และ Larry Crowne  นอกจากนี้ยังเป็นหนังโซนี่ที่เปิดตัวได้ประสบความสำเร็จ หลังเจอหายนะช่วงซัมเมอร์มาโดยตลอด ทีมการตลาดของโซนีวางแผนการตลาดได้อย่างแข็งแรง เน้นและแสดงให้เห็นชัดเจนว่า นี่เป็นหนังสร้างจากเรื่องจริงทุนสูง และมีความตื่นเต้น ทำให้หนังเรื่องนี้ถูกขายในแบบหนังคุณภาพสูง แล้วการได้คำวิจารณ์ที่ดี 95% ก็ช่วยดันรายได้ของหนังได้ โดยคนดู 52% เป็นผู้ชาย และ 62% อายุมากกว่า 35 ปี ซึ่งแทบจะเป็นตัวเลขเดียวกันกับของ Gravity เมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งมีความหวั่นใจบางอย่างเกิดขึ้นก่อนที่หนังจะฉาย เพราะความที่กลุ่มคนดูคล้ายคลึงกัน ถูกแบ่งออกไปให้กับหนัง 2 เรื่องแบบนี้ หนังทั้งสองเรื่องจะฆ่ากันเอง แต่หนังทั้งสองเรื่องต่างทำได้ดีมากๆ ผิดไปจากที่มีการเปรียบเทียบกันในอดีต มันทำให้ไม่ต่างไปจากกรณีศึกษา แต่จริงๆ แล้วหากดูที่อีกตัวเลขหนึ่งจะพบว่า การที่หนังทั้งสองเรื่องไปได้ดี ก็เพราะไม่มีหนังที่น่าสนใจเป็นพิเศษอยู่ในตลาด เห็นได้จากการที่หนัง 12 อันดับแรกทำเงินรวมกันเพียง 106.6 ล้านเหรียญ น้อยกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 12%

คนดูให้คะแนน Captain Phillips ในซีนีมาสกอร์ A บวกกับคำวิจารณ์ที่ดี หนังน่าจะไปได้ในระยะยาว แต่ไม่น่าจะยืนระยะได้ดีแบบ Argo หากก็น่าจะผ่าน 100 ล้านเหรียญไปได้

Cloudy with a Chance of Meatballs 2 รายได้ตกลง 34% ทำเงินมาอีก 13.8 ล้านเหรียญ หนังภาคต่อเรื่องนี้ทำเงินรวมอยู่ที่ 77.6 ล้านเหรียญ ต่ำกว่าหนังภาคแรกในเวลาฉายเท่ากันเล็กน้อย

ในอันดับ 4 เป็นหนังใหม่ Machete Kills ที่คว่ำสนิทเมื่อเปิดตัวแค่ 3.84 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นหนึ่งเปิดตัวกว่า 2,500 โรง ที่เปิดตัวแย่ที่สุด และเป็นหนังเปิดตัวแย่ที่สุดของปีนี้ ร่วมกับ Paranoia เมื่อเดือนสิงหาคม แม้จะได้เมล กิ๊บสัน, โซเฟีย เวอร์การา, เลดี้ กาก้า และ คาร์ลอส เอสเตเวซมาเสริมที Machete Kills กลับเปิดตัวได้แค่ 1 ใน 3 ที่หนังภาคแรกทำไว้ 11.4 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าเป็นรายได้ที่ตกอย่างน่าใจหายสำหรับหนังภาคต่อ

สาเหตุที่ Machete Kills คว่ำเป็นเรื่องที่เห็นได้ง่ายๆ มุขของหนังมันเอาท์ไปแล้ว คนดูสัมผัสกับความตื่นเต้นในแบบหนังไกรนด์เฮาส์กันอย่างเต็มอิ่มไปแล้วจากหนังเรื่อง Grindhouse และหนัง Machete ภาคแรก แล้วไม่รู้ว่าเป็นเพราะการทำการตลาดที่ดีเกินไปหรือเปล่า แต่มันทำให้หนัง Machete Kills แทนที่จะเป็นงานเสียดสีที่ดูเหมือนเป็นหนังทุนต่ำ แต่กลับดูเป็นหนังทุนต่ำจริงๆ ผลลัพธ์ก็คือ กระทั่งแฟนของหนังเรื่องนี้ ก็ยังเลือกจะรอแผ่นออกมากกว่ามาชมที่โรงภาพยนตร์ ยิ่งหนังได้คะแนนในซีนีมาสกอร์แค่ B- อนาคตของหนังยิ่งไม่น่าไปไหนไกล และคงเป็นเรื่องน่าประลาดใจถ้าหนังปิดโปรแกรมด้วยรายได้ที่มากกว่า 10 ล้านเหรียญ

หลังสัปดาห์เปิดตัวที่กลายเป็นหายนะ Runner Runner รายได้สัปดาห์ที่ 2 ตกลง 51% รายได้อยู่ที่ 3.77 ล้านเหรียญ รายได้รวมของหนังเบน อัฟเฟล็ค-จัสติน ทิมเบอร์เลคเรื่องนี้อยู่ที่ 14.2 ล้านเหรียญ

อ่านวิจารณ์ Runner Runner ได้ที่ http://bit.ly/16slDj6

หลังฉายในวงจำกัดมาแล้ว 2-3 สัปดาห์ Enough Said เปิดให้ดูกันทั่วประเทศด้วยจำนวนโรงมากกว่า 600 โรง และได้เงินมา 1.9 ล้านเหรียญมาถึงตอนนี้ หนังอินดีเรื่องนี้ ทำเงินไปแล้ว 8.2 ล้านเหรียญ

เปิดตัวด้วยโรงแค่ 461 โรง Romeo and Juliet กลายเป็นหายนะทำเงินแค่ 520,116 เหรียญ หนังเป็นผลงานการจัดจำหน่ายของรีเลติวิตี มีเดีย โดยใช้วิธีการจัดจำหน่ายในรูปแบบใหม่ ซึ่งทางผู้สร้างจะจ่ายค่าธรรมเนียมให้รีเลติวิตี มีเดีย เพื่อใช้เครือข่ายของบริษัทในการจัดจำหน่าย โดยไม่ต้องไปนึกถึงว่าใครจ่ายอะไร ยังไง ดูจากรายได้ หนังก็คว่ำสนิทเห็นๆ เช่นเดียวกับ The Inevitable Defeat of Mister and Pete ที่ทำรายได้เพียง 254,279 เหรียญจาก 147 โรง

Escape from Tomorrow ทำเงินแค่ 63,297 เหรียญจาก 30 โรง ทั้งๆ ที่ได้เสียงฮือฮาจากงานเทศกาลซันแดนซ์ เนื่องจากถ่ายในสวนสนุกเดอะ เมจิค คิงดอม และดิสนีย์แลนด์ โดยไม่ได้รับอณุญาตจากวอลท์ ดิสนีย์ ถึงกระนั้นทางดิสนีย์ก็ไม่ยื่นฟ้องหนัง ทั้งๆ ที่เป็นเซียนในเรื่องฟ้องร้องอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นแค่หนังเล็กๆ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นหนังที่แสดงให้เห้นส่วนดีของดิสนีย์ออกมา

หันมาดูรายได้หนังนอกอเมริกากันบ้าง Gravity เติมเงินให้ตัวเองอีก 28 ล้านเหรียญจาก 38 ประเทศ และกับประเทศที่ฉายไปแล้วก่อนหน้า หนังทำรายได้ตกเฉลี่ยเพียง 27% ซึ่งเห็นได้ชัดว่าหนังน่าจะไปได้ไกลในตลาดต่างประเทศ โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา หนังทำรายได้ดีที่รัสเซีย ซึ่งรายได้ตกลง 42% ทำเงิน 4.3 ล้านเหรียญ แล้วก็ไปได้สวยที่เยอรมันนี ทำรายได้ 3.1 ล้านเหรียญ รายได้ตกแค่ 15% , ออสเตรเลีย 3 ล้านเหรียญ รายได้ตก 11%, สเปน 2 ล้านเหรียญ รายได้ลดลง 10% และอิตาลี 2 ล้านเหรียญ รายได้ลดลง 30% ตลาดใหญ่ๆ ที่หนังเพิ่งเปิดตัวไปก็คือ บราซิล ทำรายได้ไปพอประมาณ 1.5 ล้านเหรียญ ทำให้มาถึงตอนนี้หนังทำเงินนอกอเมริกไปแล้ว 68 ล้านเหรียญ โดยสุดสัปดาห์นี้จะเปิดตัวที่เกาหลีใต้ และเม็กซิโก โดยยังไม่เปิดตัวที่ฝรั่งเศส, อังกฤษ, ญี่ปุ่น และจีน เลยด้วยซ้ำ

ส่วนหนังดราม่าสงครามโลกครั้งที่ 2 Stalingrad เปิดตัวด้วยรายได้ 14.4 ล้านเหรียญ ในบ้านเกิด รัสเซีย ซึ่งถือเป็นรายได้เปิดตัวมากที่สุดสำหรับหนังท้องถิ่น สำหรับรายได้ในโรงไอแมกซ์อยู่ที่ 2.3 ล้านเหรียญจาก 39 จอซึ่งทำให้มีรายได้เฉลี่ยสูงถึง 60,000 เหรียญต่อจอ

Despicable Me 2 เปิดตัวในตลาดสุดท้ายเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เงินมาอีก 10.1 ล้านเหรียญ ทำให้รายได้รวมอยู่ที่ 522.1 ล้านเหรียญ โดยหนังเปิดตัวได้อย่างมหัศจรรย์ที่อิตาลี 6.8 ล้านเหรียญ และทำได้ดีที่กรีซ 535,000 เหรียญ เมื่อรวมรายได้ทั้งหมด หนังทำเงินไปถึง 885.2 ล้านเหรียญทั่วโลก รั้งอันดับ6 หนังแอนิเมชันทำเงินสูงสุดตลอดกาล แซงหน้า Ice Age: Continental Drift

ขณะที่แอนิเมชันอีกเรื่อง Cloudy with a Chance of Meatballs 2 ทำเงินมา 9.1 ล้านเหรียญในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งก็รวมรายได้ 3.3 ล้านเหรียญจากการฉายในสัปดาห์ที่ 2 ที่บราซิลเอาไว้ด้วย ถึงตอนนี้หนังทำเงินไปแล้ว 21.4 ล้านเหรียญ

ปิดท้ายด้วย Now You See Me เปิดตัวในจีนเป็นสัปดาห์แรก ทำเงินมาได้ 8n ล้านเหรียญ ทำให้รายได้รวมนอกอเมริกาเพิ่มเป็น 215.3 ล้านเหรียญ โดยยังไม่เปิดตัวในญี่ปุ่น

อ่านแล้วชอบคลิก Like ได้ที่ www.facebook.com/Sadaos และติดตามข่าวสาร, อ่านเรื่องราว บทวิจารณ์หนัง-เพลงได้ที่ www.sadaos.com พิเศษชมภาพจากจา พนมในกองถ่าย Fast and Furious 7 ได้ที่ http://bit.ly/1ahpagP
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่