US Box Office September 19-21, 2014
(แปล-เรียบเรียงจาก www.boxofficemojo.com)
The Maze Runner ออกตัวแบบมาดี จนกลายเป็นหนึ่งในหนังเปิดตัวเดือนกันยายนที่ดีที่สุด และเมื่อรวมกับรายได้ต่างประเทศที่แข็งแรงแล้วละก็ หนังผู้ใหญ่วัยเยาว์ หรือ หนัง Young Adult ภาคต่อเรื่องใหม่ ถือกำเนิดเกิดขึ้นแล้วในสุดสัปดาห์นี้ ขณะที่หนังเข้าใหม่เรื่องอื่นๆ อย่าง A Walk Among the Tombstones และ This is Where I Leave You เปิดตัวได้แย่กว่าที่คาดกันไว้
ด้วยโรงฉาย 3,604 โรง The Maze Runner เปิดตัวที่ 32.5 ล้านเหรียญ แม้จะเทียบ Divergent ไม่ได้ แต่ก็มากกว่า Percy Jackson & The Olympians: The Lightning Thief ที่ทำเอาไว้ 31.2 ล้านเหรียญ รวมทั้ง Ender's Game ที่เปิดตัวเพียง 27 ล้านเหรียญ สิ่งที่ทำให้หนัง The Maze Runner แตกต่างไปจากหนังในกลุ่มเดียวกันก็คือ ทุนสร้างที่ไม่เวอร์นัก เพียงแค่ 34 ล้านเหรียญ ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของหนังเหล่านั้นด้วยซ้ำ แถมในต่างประเทศหนังก็เปิดตัวได้ดีอีกต่างหาก แต่ความสำเร็จของหนังเรื่องนี้ ก็ไม่ต่างไปจากหนังผู้ใหญ่วัยเยาว์เรื่องอื่นๆ ที่อาศัยแรงหนุนจากกลุ่มแฟนๆ ที่เริ่มมาจากกลุ่มแฟนหนังสือชุดนี้ของเจมส์ แดชเนอร์ และเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าไม่สามารถขยายวงไปได้ ฐานแฟนๆ ก็ช่วยอะไรไม่ได้ อย่างที่เห็นจากหนังอย่าง Beautiful Creatures, The Host, The Mortal Instruments: City of Bones และอีกหลายๆ เรื่อง
ในความแตกต่างกับหนังเรื่องอื่นๆ แผนการตลาดของ The Maze Runner พยายามที่จะสร้างความน่าสนใจให้เกิดขึ้นกับคนนอกกลุ่มแฟนเดนตายของนิยาย ที่เรียกว่าพวก “เกลเดอร์ส” (Gladers) การประชาสัมพันธ์จะแบ่งกันระหว่างการให้ข้อมูลของหนังกับการเผยห้เห็นฉากแอ็คชันต่างๆ งานนี้ต้องขอบคุณอย่างหลังเป็นพิเศษ เมื่อหนังได้คนดูผู้ชายถึง 49% มากกว่าหนัง Young Adult เรื่องอื่นๆ แน่นอนว่าคนดูจะเป็นกลุ่มเด็ก โดย 64% นั้นอายุต่ำกว่า 25 ปี และทำให้มีแนวโน้มว่า รายได้จะตกฮวบฮาบในสัปดาห์ต่อไป แต่คะแนนจากคนดูของซีนีมาสกอร์เป็น A- หนังก็พอมีหวังจากการบอกปากต่อปาก ถ้าหนังทำเงินได้ในแบบที่ Divergent ทำได้ The Maze Runner น่าจะปิดตัวที่ราวๆ 90 ล้านเหรียญ แต่ที่แน่ๆ แบบไม่ต้องรอรายได้ในสัปดาห์ต่อไป ฟ็อกซ์ดูมั่นใจมากๆ กับหนัง และตัดสินใจเดินหน้าภาคต่อ The Maze Runner: Scorch Trials โดยวางกำหนดฉายเอาไว้ 18 กันยายน 2015
หนังเรื่องนี้ ถือเป็นความสำเร็จล่าสุดในปีนี้ของฟ็อกซ์ ที่มีงานประสบความสำเร็จมากมายในปีนี้ ซึ่งมากพอจะทำให้กลายเป็นสตูดิโอทำเงินอันดับ 1 ของปีด้วยรายได้เกือบๆ 1.3 พันล้านเหรียญ และมีโอกาสมากๆ ที่จะปิดปีด้วยการเป็นสตูดิโอทำเงินสูงสุด เมื่อยังมีหนังอย่าง Gone Girl, The Penguins of Madagascar และ Exodus: Gods and Kings อยู่ในมือ ขณะที่ในตลาดต่างประเทศ หนังทำเงินสูงสุด 5 เรื่องนอกอเมริกาของฟ็อกซ์ ทำเงินรวมกันไปแล้วเกือบ 2 พันล้านเหรียญ
หนัง A Walk Among the Tombstones ของเลียม นีสัน เปิดตัวในอันดับ 2 รายได้ 12.8 ล้านเหรียญ ต่ำกว่ารายได้เปิดของ Non-Stop ที่เปิดตัวเมื่อต้นปีนี้ 28.9 ล้านเหรียญมากกว่าครึ่ง แต่การเปรียบเทียบหนัง 2 เรื่องนี้ก็ดูไม่ยุติธรรมนัก เพราะหนัง Non-Stop เป็นหนังระทึกขวัญ ไฮ-คอนเส็ปท์ เรทแค่ พีจิ-13 ส่วน A Walk Among the Tombstones เป็นงานดรามา อาชญากรรม เรท อาร์ ที่ดูหดหู่ โดยหนังเรท อาร์ โทนเดียวๆ กันของนีสันอย่าง The Grey เคยเปิดตัวเอาไว้ใกล้ๆ 20 ล้านเหรียญเมื่อปี 2012 ที่แตกต่างกันก็คือ การตลาดของ The Grey นั้นถือว่ามีหมัดเด็ด นีสันปะทะฝูงหมาป่า ขณะที่ Tombstones ไม่ได้ดูมีอะไรพิเศษ นอกจากเป็นหนังอาชญากรรมโดยทั่วไป
กลุ่มคนดูนั้น ถือว่าพอๆ กันระหว่างชายและหญิง แต่ 77% อายุมากกว่า 25 ปี คะแนนจากซีนีมาสกอร์เป็น B- ถือว่าปากต่อปากผสมๆ กันไป และกับการที่มีคู่แข่งอย่าง The Equalizer และ Gone Girl รออยู่ในอีกไม่กี่าัปดาห์ข้างหน้า หนังน่าจะไปได้ดีที่สุดแค่ 40 ล้านเหรียญ
อันดับ 3 เป็น This is Where I Leave You ที่เปิดตัว 11.6 ล้านเหรียญ ซึ่งไม่ใช่ตัวเลขที่น่าตื่นเต้นอะไร และไม่ใช่ตัวเลขที่ดีอีกต่างหาก การโปรโมทพยายามขายกลุ่มดารานำของหนัง ที่มี เจสัน เบทแมน, ทินา เฟย์, อดัม ไดรเวอร์, เจน ฟอนดา เป็นหลัก แต่ก็ไม่ช่วยอะไร ตัวอย่างยังแสดงให้เห็นส่วนผสมประหลาดๆ ระหว่างการเป็นงานดรามา และเบาสมอง ที่ไม่มีสีสันของหนัง บวกกับคำวิจารณ์ที่ไม่ดี (แค่ 43% จากเว็บมะเขือเน่า) ก็ยิ่งไม่ช่วยหนังเข้าไปใหญ่ สำหรับคนดูนั้น 63% เป็นหญิง และ 86% อายุมากกว่า 25 คะแนนซีนีมาสกอร์อยู่ที่ B+ กับคนดูที่หนักไปทางมีอายุ หนังน่าจะพอทรงๆ ได้สัก 1-2 สัปดาห์ รายได้น่าจะอยู่ราวๆ 30 - 40 ล้านเหรียญ
หลังเปิดตัวในอันดับ 1 สัปดาห์นี้ No Good Deed หล่นฮวบมาถึงที่ 4 รายได้ร่วง 60% ทำเงินมาอีก 9.8 ล้านเหรียญ ผ่าน 10 วันรายได้รวมของหนังเขย่าขวัญบ้านถูกบุกเรื่องนี้อยู่ที่ 39.7 ล้านเหรียญ ส่วน
Dolphin Tale 2 รายได้ตกลงมา 44% ได้เงินมาอีก 8.7 ล้านเหรียญ เทียบกับภาคแรก ที่รายได้ตกแค่ 27% ในระยะเวลาเท่ากัน หนังทำรายได้ตกไม่ใช่น้อย ตอนนี้ Dolphin Tale 2 ทำเงินไปแล้ว 26.9 ล้านเหรียญ น้อยกว่าภาคแรกกว่า 10 ล้านเหรียญ อันดับ 6 เป็น Guardians of the Galaxy รายได้ลดลง 35% ทำเงิน 5.24 ล้านเหรียญ และเมื่อวันอทิตย์ หนังทำเงินผ่าน Iron Man 2 กลายเป็นหนังในจักรวาลของมาร์เวลทำเงินสูงสุดอันดับ 4 เป็นรอง The Avengers, Iron Man 3 และ Iron Man รายได้รวมตอนนี้เป็น 313.7 ล้านเหรียญ และน่าจะไปได้ถึงราวๆ 330 ล้านเหรียญ
เปิดตัว 602 โรง และหนังของผู้เขียนบท/ ผู้กำกับ เควิน สมิธ Tusk จบเห่เรียบร้อย เมื่อทำรายได้แค่ 846,831 เหรียญ นี่คือหนังในแบบที่น่าจะประสบความสำเร็จในตลาดหลังออกจากโรง อย่าง ลงเคเบิล, ลงแผ่น หรือขายสตรีมมิง แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้ออ้างสำหรับการที่หนังเปิดตัวทั่วประเทศแล้วทำเงินได้ไม่ถึงล้านเหรียญ
ในตลาดนอกอเมริกา The Maze Runner เพิ่มอีก 45 ตลาดใหม่ และทำเงินในสุดสัปดาห์นี้ 37.6 ล้านเหรียญ โดยสามารถขึ้นอันดับ 1 ได้เกือบทุกตลาด รวมทั้งยังยืนระยะได้ดีในตลาดที่เปิดฉายไปก่อน ในพื้นที่เดียวกันกับ Divergent หนังก็ทำรายได้เปิดตัวดีกว่า โดยเปิดตัว 5.5 ล้านเหรียญในเกาหลี และรัสเซีย ที่สำคัญทั้งสองตลาดนี้ หนังทำได้ดีกว่า The Hunger Games ภาคแรก และเปิดตัวมากเป็น 2 เท่าของ Divergent ที่ออสเตรเลีย (3.3 ล้านเหรียญ) กับบราซิล (2 ล้านเหรียญ) ตอนนี้ The Maze Runner ทำรายได้นอกอเมริกาไปแล้ว 49 ล้านเหรียญ และยังมี 9 จาก 15 ตลาดใหญ่ให้ได้เล่น หนังน่าจะปิดตัวที่รายได้ราวๆ กว่า 200 ล้านเหรียญได้
Dawn of the Planet of the Apes เปิดตัวในญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดสุดท้ายแล้วในสุดสัปดาห์นี้ และทำรายได้แค่ 3.7 ล้านเหรียญ ซึ่งต่ำกว่ารายได้เปิดตัวของหนังภาคแรก ที่ทำไว้กว่า 5 ล้านเหรียญเมื่อปี 2011 แต่ตอนนี้หนังทำเงินทั่วโลกไปได้แล้วถึง 681 ล้านเหรียญ ซึ่งในจีนนั้นทำได้มากกว่าร้อยล้านเหรียญ และน่าจะปิดตัวได้เกิน 700 ล้านเหรียญนิดๆ ขณะที่ Lucy ได้ตังค์มาอีก 13 ล้านเหรียญในสัปดาห์นี้ รายได้รวมนอกอเมริกาไปอยู่ที่ 253 ล้านเหรียญ
อ่านแล้วชอบอย่าลืมไปกดไลค์ที่
www.facebook.com/Sadaos พร้อมอ่านเรื่องราวอีกมากมายได้นะคะ
เด็กๆ ชาวทุ่ง วิ่งทะยานพา The Maze Runner ขึ้นอันดับ 1 หนังทำเงินอเมริกา ส่งอนาคตภาคต่อเรืองรองผ่องใส
(แปล-เรียบเรียงจาก www.boxofficemojo.com)
The Maze Runner ออกตัวแบบมาดี จนกลายเป็นหนึ่งในหนังเปิดตัวเดือนกันยายนที่ดีที่สุด และเมื่อรวมกับรายได้ต่างประเทศที่แข็งแรงแล้วละก็ หนังผู้ใหญ่วัยเยาว์ หรือ หนัง Young Adult ภาคต่อเรื่องใหม่ ถือกำเนิดเกิดขึ้นแล้วในสุดสัปดาห์นี้ ขณะที่หนังเข้าใหม่เรื่องอื่นๆ อย่าง A Walk Among the Tombstones และ This is Where I Leave You เปิดตัวได้แย่กว่าที่คาดกันไว้
ด้วยโรงฉาย 3,604 โรง The Maze Runner เปิดตัวที่ 32.5 ล้านเหรียญ แม้จะเทียบ Divergent ไม่ได้ แต่ก็มากกว่า Percy Jackson & The Olympians: The Lightning Thief ที่ทำเอาไว้ 31.2 ล้านเหรียญ รวมทั้ง Ender's Game ที่เปิดตัวเพียง 27 ล้านเหรียญ สิ่งที่ทำให้หนัง The Maze Runner แตกต่างไปจากหนังในกลุ่มเดียวกันก็คือ ทุนสร้างที่ไม่เวอร์นัก เพียงแค่ 34 ล้านเหรียญ ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของหนังเหล่านั้นด้วยซ้ำ แถมในต่างประเทศหนังก็เปิดตัวได้ดีอีกต่างหาก แต่ความสำเร็จของหนังเรื่องนี้ ก็ไม่ต่างไปจากหนังผู้ใหญ่วัยเยาว์เรื่องอื่นๆ ที่อาศัยแรงหนุนจากกลุ่มแฟนๆ ที่เริ่มมาจากกลุ่มแฟนหนังสือชุดนี้ของเจมส์ แดชเนอร์ และเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าไม่สามารถขยายวงไปได้ ฐานแฟนๆ ก็ช่วยอะไรไม่ได้ อย่างที่เห็นจากหนังอย่าง Beautiful Creatures, The Host, The Mortal Instruments: City of Bones และอีกหลายๆ เรื่อง
ในความแตกต่างกับหนังเรื่องอื่นๆ แผนการตลาดของ The Maze Runner พยายามที่จะสร้างความน่าสนใจให้เกิดขึ้นกับคนนอกกลุ่มแฟนเดนตายของนิยาย ที่เรียกว่าพวก “เกลเดอร์ส” (Gladers) การประชาสัมพันธ์จะแบ่งกันระหว่างการให้ข้อมูลของหนังกับการเผยห้เห็นฉากแอ็คชันต่างๆ งานนี้ต้องขอบคุณอย่างหลังเป็นพิเศษ เมื่อหนังได้คนดูผู้ชายถึง 49% มากกว่าหนัง Young Adult เรื่องอื่นๆ แน่นอนว่าคนดูจะเป็นกลุ่มเด็ก โดย 64% นั้นอายุต่ำกว่า 25 ปี และทำให้มีแนวโน้มว่า รายได้จะตกฮวบฮาบในสัปดาห์ต่อไป แต่คะแนนจากคนดูของซีนีมาสกอร์เป็น A- หนังก็พอมีหวังจากการบอกปากต่อปาก ถ้าหนังทำเงินได้ในแบบที่ Divergent ทำได้ The Maze Runner น่าจะปิดตัวที่ราวๆ 90 ล้านเหรียญ แต่ที่แน่ๆ แบบไม่ต้องรอรายได้ในสัปดาห์ต่อไป ฟ็อกซ์ดูมั่นใจมากๆ กับหนัง และตัดสินใจเดินหน้าภาคต่อ The Maze Runner: Scorch Trials โดยวางกำหนดฉายเอาไว้ 18 กันยายน 2015
หนังเรื่องนี้ ถือเป็นความสำเร็จล่าสุดในปีนี้ของฟ็อกซ์ ที่มีงานประสบความสำเร็จมากมายในปีนี้ ซึ่งมากพอจะทำให้กลายเป็นสตูดิโอทำเงินอันดับ 1 ของปีด้วยรายได้เกือบๆ 1.3 พันล้านเหรียญ และมีโอกาสมากๆ ที่จะปิดปีด้วยการเป็นสตูดิโอทำเงินสูงสุด เมื่อยังมีหนังอย่าง Gone Girl, The Penguins of Madagascar และ Exodus: Gods and Kings อยู่ในมือ ขณะที่ในตลาดต่างประเทศ หนังทำเงินสูงสุด 5 เรื่องนอกอเมริกาของฟ็อกซ์ ทำเงินรวมกันไปแล้วเกือบ 2 พันล้านเหรียญ
หนัง A Walk Among the Tombstones ของเลียม นีสัน เปิดตัวในอันดับ 2 รายได้ 12.8 ล้านเหรียญ ต่ำกว่ารายได้เปิดของ Non-Stop ที่เปิดตัวเมื่อต้นปีนี้ 28.9 ล้านเหรียญมากกว่าครึ่ง แต่การเปรียบเทียบหนัง 2 เรื่องนี้ก็ดูไม่ยุติธรรมนัก เพราะหนัง Non-Stop เป็นหนังระทึกขวัญ ไฮ-คอนเส็ปท์ เรทแค่ พีจิ-13 ส่วน A Walk Among the Tombstones เป็นงานดรามา อาชญากรรม เรท อาร์ ที่ดูหดหู่ โดยหนังเรท อาร์ โทนเดียวๆ กันของนีสันอย่าง The Grey เคยเปิดตัวเอาไว้ใกล้ๆ 20 ล้านเหรียญเมื่อปี 2012 ที่แตกต่างกันก็คือ การตลาดของ The Grey นั้นถือว่ามีหมัดเด็ด นีสันปะทะฝูงหมาป่า ขณะที่ Tombstones ไม่ได้ดูมีอะไรพิเศษ นอกจากเป็นหนังอาชญากรรมโดยทั่วไป
กลุ่มคนดูนั้น ถือว่าพอๆ กันระหว่างชายและหญิง แต่ 77% อายุมากกว่า 25 ปี คะแนนจากซีนีมาสกอร์เป็น B- ถือว่าปากต่อปากผสมๆ กันไป และกับการที่มีคู่แข่งอย่าง The Equalizer และ Gone Girl รออยู่ในอีกไม่กี่าัปดาห์ข้างหน้า หนังน่าจะไปได้ดีที่สุดแค่ 40 ล้านเหรียญ
อันดับ 3 เป็น This is Where I Leave You ที่เปิดตัว 11.6 ล้านเหรียญ ซึ่งไม่ใช่ตัวเลขที่น่าตื่นเต้นอะไร และไม่ใช่ตัวเลขที่ดีอีกต่างหาก การโปรโมทพยายามขายกลุ่มดารานำของหนัง ที่มี เจสัน เบทแมน, ทินา เฟย์, อดัม ไดรเวอร์, เจน ฟอนดา เป็นหลัก แต่ก็ไม่ช่วยอะไร ตัวอย่างยังแสดงให้เห็นส่วนผสมประหลาดๆ ระหว่างการเป็นงานดรามา และเบาสมอง ที่ไม่มีสีสันของหนัง บวกกับคำวิจารณ์ที่ไม่ดี (แค่ 43% จากเว็บมะเขือเน่า) ก็ยิ่งไม่ช่วยหนังเข้าไปใหญ่ สำหรับคนดูนั้น 63% เป็นหญิง และ 86% อายุมากกว่า 25 คะแนนซีนีมาสกอร์อยู่ที่ B+ กับคนดูที่หนักไปทางมีอายุ หนังน่าจะพอทรงๆ ได้สัก 1-2 สัปดาห์ รายได้น่าจะอยู่ราวๆ 30 - 40 ล้านเหรียญ
หลังเปิดตัวในอันดับ 1 สัปดาห์นี้ No Good Deed หล่นฮวบมาถึงที่ 4 รายได้ร่วง 60% ทำเงินมาอีก 9.8 ล้านเหรียญ ผ่าน 10 วันรายได้รวมของหนังเขย่าขวัญบ้านถูกบุกเรื่องนี้อยู่ที่ 39.7 ล้านเหรียญ ส่วน
Dolphin Tale 2 รายได้ตกลงมา 44% ได้เงินมาอีก 8.7 ล้านเหรียญ เทียบกับภาคแรก ที่รายได้ตกแค่ 27% ในระยะเวลาเท่ากัน หนังทำรายได้ตกไม่ใช่น้อย ตอนนี้ Dolphin Tale 2 ทำเงินไปแล้ว 26.9 ล้านเหรียญ น้อยกว่าภาคแรกกว่า 10 ล้านเหรียญ อันดับ 6 เป็น Guardians of the Galaxy รายได้ลดลง 35% ทำเงิน 5.24 ล้านเหรียญ และเมื่อวันอทิตย์ หนังทำเงินผ่าน Iron Man 2 กลายเป็นหนังในจักรวาลของมาร์เวลทำเงินสูงสุดอันดับ 4 เป็นรอง The Avengers, Iron Man 3 และ Iron Man รายได้รวมตอนนี้เป็น 313.7 ล้านเหรียญ และน่าจะไปได้ถึงราวๆ 330 ล้านเหรียญ
เปิดตัว 602 โรง และหนังของผู้เขียนบท/ ผู้กำกับ เควิน สมิธ Tusk จบเห่เรียบร้อย เมื่อทำรายได้แค่ 846,831 เหรียญ นี่คือหนังในแบบที่น่าจะประสบความสำเร็จในตลาดหลังออกจากโรง อย่าง ลงเคเบิล, ลงแผ่น หรือขายสตรีมมิง แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้ออ้างสำหรับการที่หนังเปิดตัวทั่วประเทศแล้วทำเงินได้ไม่ถึงล้านเหรียญ
ในตลาดนอกอเมริกา The Maze Runner เพิ่มอีก 45 ตลาดใหม่ และทำเงินในสุดสัปดาห์นี้ 37.6 ล้านเหรียญ โดยสามารถขึ้นอันดับ 1 ได้เกือบทุกตลาด รวมทั้งยังยืนระยะได้ดีในตลาดที่เปิดฉายไปก่อน ในพื้นที่เดียวกันกับ Divergent หนังก็ทำรายได้เปิดตัวดีกว่า โดยเปิดตัว 5.5 ล้านเหรียญในเกาหลี และรัสเซีย ที่สำคัญทั้งสองตลาดนี้ หนังทำได้ดีกว่า The Hunger Games ภาคแรก และเปิดตัวมากเป็น 2 เท่าของ Divergent ที่ออสเตรเลีย (3.3 ล้านเหรียญ) กับบราซิล (2 ล้านเหรียญ) ตอนนี้ The Maze Runner ทำรายได้นอกอเมริกาไปแล้ว 49 ล้านเหรียญ และยังมี 9 จาก 15 ตลาดใหญ่ให้ได้เล่น หนังน่าจะปิดตัวที่รายได้ราวๆ กว่า 200 ล้านเหรียญได้
Dawn of the Planet of the Apes เปิดตัวในญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดสุดท้ายแล้วในสุดสัปดาห์นี้ และทำรายได้แค่ 3.7 ล้านเหรียญ ซึ่งต่ำกว่ารายได้เปิดตัวของหนังภาคแรก ที่ทำไว้กว่า 5 ล้านเหรียญเมื่อปี 2011 แต่ตอนนี้หนังทำเงินทั่วโลกไปได้แล้วถึง 681 ล้านเหรียญ ซึ่งในจีนนั้นทำได้มากกว่าร้อยล้านเหรียญ และน่าจะปิดตัวได้เกิน 700 ล้านเหรียญนิดๆ ขณะที่ Lucy ได้ตังค์มาอีก 13 ล้านเหรียญในสัปดาห์นี้ รายได้รวมนอกอเมริกาไปอยู่ที่ 253 ล้านเหรียญ
อ่านแล้วชอบอย่าลืมไปกดไลค์ที่ www.facebook.com/Sadaos พร้อมอ่านเรื่องราวอีกมากมายได้นะคะ