น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เปิดเผยภายหลังการหารือกับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ว่า ที่ประชุมมีมติร่วมกันที่จะร่วมมือกันเดินหน้าแก้ไข พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 (พ.ร.บ.กสทช.) พ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 และ พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 เนื่องจากกฎหมายแต่ละฉบับมีความขัดแย้งกันเอง ทำให้การออกประกาศต่างๆ ของ กสทช. เกิดปัญหาหลังมีผลบังคับใช้ ดังนั้น จึงควรนำข้อขัดแย้งกันต่างๆมาหารือกันเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยขั้นตอนจากนี้จะมีการตั้งคณะกรรมการร่วมกันระหว่างไอซีที กับ กสทช. เพื่อดำเนินการร่วมกันพิจารณาแก้ไขข้อกฎหมาย เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติ
สำหรับร่างประกาศมาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราวในกรณีสิ้นสุดการอนุญาตสัมปทาน หรือสัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือร่างเยียวยาผู้ใช้บริการ 1800 MHz เพื่อรองรับการสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในวันที่ 15 ก.ย.56 นี้ ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อลูกค้า 17 ล้านรายในระบบ 1800 MHz นั้น เบื้องต้น ไอซีทีได้ขอคำชี้แจงจาก กสทช. 3 ประเด็น คือ
1.กสทช.มีฐานอำนาจในการออกประกาศเยียวยา 1800 MHz หรือไม่
2.นิยามของผู้ให้บริการที่ร่างประกาศเยียวยาระบุ
3.รายได้ภายหลังหมดสัญญาสัมปทาน
โดยทั้ง 3 ข้อไอซีทียึดเอาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ ซึ่งในเบื้องต้นต้องดูรายละเอียด หากมีประเด็นกฎหมายที่เห็นแตกต่างกันก็ต้องให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา หรือสำนักงานอัยการสูงสุดตีความต่อไป
ที่มา :
http://www.thairath.co.th/content/eco/366696
ไอซีทีลุยแก้กฎหมาย กสทช.
สำหรับร่างประกาศมาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราวในกรณีสิ้นสุดการอนุญาตสัมปทาน หรือสัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือร่างเยียวยาผู้ใช้บริการ 1800 MHz เพื่อรองรับการสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในวันที่ 15 ก.ย.56 นี้ ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อลูกค้า 17 ล้านรายในระบบ 1800 MHz นั้น เบื้องต้น ไอซีทีได้ขอคำชี้แจงจาก กสทช. 3 ประเด็น คือ
1.กสทช.มีฐานอำนาจในการออกประกาศเยียวยา 1800 MHz หรือไม่
2.นิยามของผู้ให้บริการที่ร่างประกาศเยียวยาระบุ
3.รายได้ภายหลังหมดสัญญาสัมปทาน
โดยทั้ง 3 ข้อไอซีทียึดเอาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ ซึ่งในเบื้องต้นต้องดูรายละเอียด หากมีประเด็นกฎหมายที่เห็นแตกต่างกันก็ต้องให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา หรือสำนักงานอัยการสูงสุดตีความต่อไป
ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/eco/366696