จับจังหวะตลาดหุ้น
กรกฎาคม 19, 2013 Filed under บทความ Posted by ประภาคาร ภราดรภิบาล / Thai VI
ช่วงเวลาเดือนสองเดือนนี้ผู้ที่ลงทุนในตลาดหุ้นคงจะได้เห็นอารมณ์ของ “มิสเตอร์มาร์เก็ต” กันแล้วว่ามีความผันผวนปรวนแปรเพียงใด บางวันที่อารมณ์รุนแรงก็กระชากดัชนีให้ผันผวนขึ้นลงหลายสิบจุดภายในวันเดียว และใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็ทุบตลาดหุ้นให้ลดลงได้เป็นร้อยจุด
นักลงทุนจำนวนมากโดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเข้ามาในตลาดหุ้นได้ไม่นาน พากันตั้งคำถามด้วยความหวาดวิตกว่า ตลาดหุ้นจะไหลรูดต่ำลงไปอีกมากแค่ไหน และจะสามารถขึ้นกลับไปที่จุดสูงสุดเดิมได้หรือไม่ หลายคนถึงกับต้องคอยเฝ้าติดตามการคาดการณ์สภาวะตลาดหุ้นจากแหล่งต่างๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นมาประกอบการตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรดีกับการลงทุนในตลาดหุ้น
แต่ทราบหรือไม่ครับว่า ในขณะที่นักลงทุนทั่วๆไปให้ความสนใจกับการติดตามสภาวะของตลาดหุ้น แต่บรรดานักลงทุนระดับปรมาจารย์ทั้งหลาย แทบไม่มีใครให้ความสำคัญกับการคาดการณ์หรือพยายามจับจังหวะตลาดหุ้นกันเลย
ผู้จัดการกองทุนชื่อดังอย่าง “แอนโทนี โบลตัน” กล่าวว่า “จากประสบการณ์ของผม การคาดการณ์ทิศทางตลาดเป็นเรื่องยากมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การคาดการณ์ให้ถูกต้องอย่างต่อเนื่อง คำแนะนำของผมก็คือ นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงการคาดการณ์และการจับจังหวะตลาด”
พ่อมดการเงินระดับโลก “จอร์จ โซรอส” ก็ยอมรับเช่นกันว่า “ความสำเร็จทางการเงินของผม ดูเหมือนจะสวนทางกับความสามารถในการพยากรณ์ตลาด”
“เซอร์ จอห์น เทมเพิลตัน” ผู้มีประสบการณ์ลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกให้ข้อคิดไว้ว่า “นักลงทุนหลายต่อหลายคนพุ่งเป้าไปที่แนวโน้มตลาดหรือมุมมองทางเศรษฐกิจมากจนเกินไปจนลืมไปว่า หุ้นบางตัวสามารถเพิ่มสูงขึ้นได้แม้ตลาดจะอยู่ในสภาวะตลาดหมี ขณะเดียวกันราคาหุ้นบางตัวก็อาจจะตกต่ำลง แม้ว่ามันจะเป็นตลาดกระทิงก็ตาม ตลาดหุ้นและภาวะเศรษฐกิจไม่จำเป็นต้องไปในทิศทางเดียวกันเสมอไป…ดังนั้นจงเลือกซื้อหุ้นรายตัว แทนที่จะซื้อแนวโน้มตลาดหรือมุมมองทางด้านเศรษฐกิจ”
“ปีเตอร์ ลินซ์” กล่าวอย่างชัดเจนว่าเขาไม่เชื่อการคาดการณ์สภาวะตลาดหุ้น “ผมไม่เชื่อในการทำนายตลาด ผมเชื่อในการซื้อหุ้นที่ดีเยี่ยมโดยเฉพาะบริษัทที่มีราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน และ/หรือ หุ้นที่ไม่ได้รับความสนใจตามที่มันควรจะเป็น” เขาให้คำแนะนำว่า “นักลงทุนไม่ต้องไปสนใจการขึ้นลงของตลาด แต่ให้ใช้เหตุผลในการซื้อขายเท่านั้น จำไว้เสมอว่า กำไรขาดทุนที่จะได้รับ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจโดยรวม แต่จะขึ้นอยู่กับปัจจัยเฉพาะของธุรกิจที่บริษัทดำเนินการอยู่ ดังนั้นไม่ต้องไปสนใจการขึ้นลงของตลาดหุ้น”
“วอร์เรน บัฟเฟตต์” ก็มีความเห็นในแนวทางเดียวกันว่า “หากเราพบกิจการที่เราพึงพอใจ สภาวะของตลาดจะไม่มีผลกระทบอะไรต่อการตัดสินใจของเรา เราจะตัดสินซื้อหุ้นเป็นกิจการๆไป เราไม่เสียเวลาคิดเกี่ยวกับปัจจัยของเศรษฐศาสตร์มหภาค”
เห็นแล้วใช่ไหมครับว่า ในสายตาของสุดยอดนักลงทุนทั้งหลายนั้น การคาดการณ์สภาวะของตลาดหุ้นไม่ใช่สาระสำคัญของการลงทุน แต่ “พื้นฐานของกิจการ” ต่างหากคือสิ่งที่พวกเขาสนใจและให้ความสำคัญ
https://www.facebook.com/home.php#!/pages/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5/198068607020376
จับจังหวะตลาดหุ้น
กรกฎาคม 19, 2013 Filed under บทความ Posted by ประภาคาร ภราดรภิบาล / Thai VI
ช่วงเวลาเดือนสองเดือนนี้ผู้ที่ลงทุนในตลาดหุ้นคงจะได้เห็นอารมณ์ของ “มิสเตอร์มาร์เก็ต” กันแล้วว่ามีความผันผวนปรวนแปรเพียงใด บางวันที่อารมณ์รุนแรงก็กระชากดัชนีให้ผันผวนขึ้นลงหลายสิบจุดภายในวันเดียว และใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็ทุบตลาดหุ้นให้ลดลงได้เป็นร้อยจุด
นักลงทุนจำนวนมากโดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเข้ามาในตลาดหุ้นได้ไม่นาน พากันตั้งคำถามด้วยความหวาดวิตกว่า ตลาดหุ้นจะไหลรูดต่ำลงไปอีกมากแค่ไหน และจะสามารถขึ้นกลับไปที่จุดสูงสุดเดิมได้หรือไม่ หลายคนถึงกับต้องคอยเฝ้าติดตามการคาดการณ์สภาวะตลาดหุ้นจากแหล่งต่างๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นมาประกอบการตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรดีกับการลงทุนในตลาดหุ้น
แต่ทราบหรือไม่ครับว่า ในขณะที่นักลงทุนทั่วๆไปให้ความสนใจกับการติดตามสภาวะของตลาดหุ้น แต่บรรดานักลงทุนระดับปรมาจารย์ทั้งหลาย แทบไม่มีใครให้ความสำคัญกับการคาดการณ์หรือพยายามจับจังหวะตลาดหุ้นกันเลย
ผู้จัดการกองทุนชื่อดังอย่าง “แอนโทนี โบลตัน” กล่าวว่า “จากประสบการณ์ของผม การคาดการณ์ทิศทางตลาดเป็นเรื่องยากมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การคาดการณ์ให้ถูกต้องอย่างต่อเนื่อง คำแนะนำของผมก็คือ นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงการคาดการณ์และการจับจังหวะตลาด”
พ่อมดการเงินระดับโลก “จอร์จ โซรอส” ก็ยอมรับเช่นกันว่า “ความสำเร็จทางการเงินของผม ดูเหมือนจะสวนทางกับความสามารถในการพยากรณ์ตลาด”
“เซอร์ จอห์น เทมเพิลตัน” ผู้มีประสบการณ์ลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกให้ข้อคิดไว้ว่า “นักลงทุนหลายต่อหลายคนพุ่งเป้าไปที่แนวโน้มตลาดหรือมุมมองทางเศรษฐกิจมากจนเกินไปจนลืมไปว่า หุ้นบางตัวสามารถเพิ่มสูงขึ้นได้แม้ตลาดจะอยู่ในสภาวะตลาดหมี ขณะเดียวกันราคาหุ้นบางตัวก็อาจจะตกต่ำลง แม้ว่ามันจะเป็นตลาดกระทิงก็ตาม ตลาดหุ้นและภาวะเศรษฐกิจไม่จำเป็นต้องไปในทิศทางเดียวกันเสมอไป…ดังนั้นจงเลือกซื้อหุ้นรายตัว แทนที่จะซื้อแนวโน้มตลาดหรือมุมมองทางด้านเศรษฐกิจ”
“ปีเตอร์ ลินซ์” กล่าวอย่างชัดเจนว่าเขาไม่เชื่อการคาดการณ์สภาวะตลาดหุ้น “ผมไม่เชื่อในการทำนายตลาด ผมเชื่อในการซื้อหุ้นที่ดีเยี่ยมโดยเฉพาะบริษัทที่มีราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน และ/หรือ หุ้นที่ไม่ได้รับความสนใจตามที่มันควรจะเป็น” เขาให้คำแนะนำว่า “นักลงทุนไม่ต้องไปสนใจการขึ้นลงของตลาด แต่ให้ใช้เหตุผลในการซื้อขายเท่านั้น จำไว้เสมอว่า กำไรขาดทุนที่จะได้รับ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจโดยรวม แต่จะขึ้นอยู่กับปัจจัยเฉพาะของธุรกิจที่บริษัทดำเนินการอยู่ ดังนั้นไม่ต้องไปสนใจการขึ้นลงของตลาดหุ้น”
“วอร์เรน บัฟเฟตต์” ก็มีความเห็นในแนวทางเดียวกันว่า “หากเราพบกิจการที่เราพึงพอใจ สภาวะของตลาดจะไม่มีผลกระทบอะไรต่อการตัดสินใจของเรา เราจะตัดสินซื้อหุ้นเป็นกิจการๆไป เราไม่เสียเวลาคิดเกี่ยวกับปัจจัยของเศรษฐศาสตร์มหภาค”
เห็นแล้วใช่ไหมครับว่า ในสายตาของสุดยอดนักลงทุนทั้งหลายนั้น การคาดการณ์สภาวะของตลาดหุ้นไม่ใช่สาระสำคัญของการลงทุน แต่ “พื้นฐานของกิจการ” ต่างหากคือสิ่งที่พวกเขาสนใจและให้ความสำคัญ
https://www.facebook.com/home.php#!/pages/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5/198068607020376