แนวคิด “จงกล้าเมื่อคนอื่นกลัว” ในบริบทตลาดหุ้นไทย
ในสถานการณ์ที่ตลาดหุ้นไทยเผชิญกับความผันผวน และดัชนี SET อาจปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจนแตะระดับ 1,100 จุด ความเห็นของนักลงทุนมักจะแบ่งออกเป็นสองฝ่ายชัดเจน:
1. กลุ่มแรก: เล่นฝั่ง Put หวังเก็งกำไรจากการลงต่อเนื่อง
• นักลงทุนในกลุ่มนี้เชื่อว่าตลาดยังคงมีแนวโน้มขาลง เนื่องจากปัจจัยลบที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข เช่น เศรษฐกิจที่ซบเซา, การส่งออกลดลง, และหนี้ครัวเรือนที่สูง
• การเล่น Put Options หรือลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเมื่อหุ้นตก จึงเป็นกลยุทธ์ที่พวกเขาเลือกใช้เพื่อทำกำไรในระยะสั้น
2. กลุ่มที่สอง: ซื้อหุ้นสะสม “ชอบของถูก”
• อีกฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าตลาดขาลงคือโอกาสสะสมหุ้นในราคาที่ต่ำ โดยเฉพาะหุ้นพื้นฐานดีที่ราคาลดลงมาจากปัจจัยชั่วคราว
• แนวคิดนี้ยึดหลัก “จงกล้าเมื่อคนอื่นกลัว” ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) ซึ่งหมายถึงการมองหาโอกาสลงทุนในช่วงที่ตลาดอยู่ในภาวะตื่นตระหนก
ข้อดีและข้อเสียของทั้งสองกลยุทธ์
กลยุทธ์ 1: เล่น Put เมื่อหุ้นตก
ข้อดี
• ทำกำไรจากการคาดการณ์ที่ตรงกับทิศทางตลาด
• เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เชี่ยวชาญด้านเทคนิคและมีระยะเวลาการลงทุนสั้น
ข้อเสีย
• หากตลาดกลับตัวหรือปัจจัยลบคลี่คลายเร็ว อาจเกิดการขาดทุนสูง
• ความเสี่ยงจากการเก็งกำไรสูงกว่าการสะสมหุ้นระยะยาว
กลยุทธ์ 2: ซื้อสะสมของถูก
ข้อดี
• สะสมหุ้นพื้นฐานดีในราคาที่ต่ำ เป็นการลงทุนระยะยาวที่อาจให้ผลตอบแทนสูงเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว
• ลดความกังวลเรื่องความผันผวนในระยะสั้น
ข้อเสีย
• หากตลาดปรับลงต่อเนื่อง นักลงทุนอาจติดดอยและเผชิญการขาดทุนระหว่างรอการฟื้นตัว
• ต้องใช้เงินทุนและความอดทนสูง
กลยุทธ์แบบผสม: เล่นเกมระยะสั้นและวางแผนระยะยาว
• สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยง อาจพิจารณาใช้กลยุทธ์ทั้งสองร่วมกัน
• แบ่งพอร์ตลงทุน: ลงทุนบางส่วนใน Put Options เพื่อเก็งกำไรในช่วงตลาดขาลง
• สะสมหุ้นพื้นฐานดี: เก็บหุ้นคุณภาพในช่วงที่ราคาลดลง โดยเลือกหุ้นที่มีโอกาสฟื้นตัวในระยะยาว
การเลือกกลยุทธ์ลงทุนในตลาดหุ้นไทยขึ้นอยู่กับแนวคิดและเป้าหมายของนักลงทุนแต่ละคน
• หากคุณมองตลาดระยะสั้น และคาดการณ์ว่าหุ้นยังคงปรับตัวลงต่อ การเล่นฝั่ง Put อาจเป็นโอกาสทำกำไร
• หากคุณมองตลาดระยะยาว และเชื่อในศักยภาพของหุ้นพื้นฐานดี การสะสมในราคาที่ต่ำอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ท้ายที่สุด ความสำเร็จในการลงทุนไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเลือกกลยุทธ์ใดกลยุทธ์หนึ่ง แต่ขึ้นอยู่กับการบริหารความเสี่ยงและการตัดสินใจที่มีข้อมูลรองรับ.
เปิดแนวคิดต่าง 'จงกล้าเมื่อคนอื่นกลัว' กลุ่มเพจ 'คุยหุ้น' ในเฟสบุ๊ค เล่น Put หุ้นไทย อีกฝ่ายซื้อเก็บไว้ลั่นชอบสะสมของถูก
ในสถานการณ์ที่ตลาดหุ้นไทยเผชิญกับความผันผวน และดัชนี SET อาจปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจนแตะระดับ 1,100 จุด ความเห็นของนักลงทุนมักจะแบ่งออกเป็นสองฝ่ายชัดเจน:
1. กลุ่มแรก: เล่นฝั่ง Put หวังเก็งกำไรจากการลงต่อเนื่อง
• นักลงทุนในกลุ่มนี้เชื่อว่าตลาดยังคงมีแนวโน้มขาลง เนื่องจากปัจจัยลบที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข เช่น เศรษฐกิจที่ซบเซา, การส่งออกลดลง, และหนี้ครัวเรือนที่สูง
• การเล่น Put Options หรือลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเมื่อหุ้นตก จึงเป็นกลยุทธ์ที่พวกเขาเลือกใช้เพื่อทำกำไรในระยะสั้น
2. กลุ่มที่สอง: ซื้อหุ้นสะสม “ชอบของถูก”
• อีกฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าตลาดขาลงคือโอกาสสะสมหุ้นในราคาที่ต่ำ โดยเฉพาะหุ้นพื้นฐานดีที่ราคาลดลงมาจากปัจจัยชั่วคราว
• แนวคิดนี้ยึดหลัก “จงกล้าเมื่อคนอื่นกลัว” ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) ซึ่งหมายถึงการมองหาโอกาสลงทุนในช่วงที่ตลาดอยู่ในภาวะตื่นตระหนก
ข้อดีและข้อเสียของทั้งสองกลยุทธ์
กลยุทธ์ 1: เล่น Put เมื่อหุ้นตก
ข้อดี
• ทำกำไรจากการคาดการณ์ที่ตรงกับทิศทางตลาด
• เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เชี่ยวชาญด้านเทคนิคและมีระยะเวลาการลงทุนสั้น
ข้อเสีย
• หากตลาดกลับตัวหรือปัจจัยลบคลี่คลายเร็ว อาจเกิดการขาดทุนสูง
• ความเสี่ยงจากการเก็งกำไรสูงกว่าการสะสมหุ้นระยะยาว
กลยุทธ์ 2: ซื้อสะสมของถูก
ข้อดี
• สะสมหุ้นพื้นฐานดีในราคาที่ต่ำ เป็นการลงทุนระยะยาวที่อาจให้ผลตอบแทนสูงเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว
• ลดความกังวลเรื่องความผันผวนในระยะสั้น
ข้อเสีย
• หากตลาดปรับลงต่อเนื่อง นักลงทุนอาจติดดอยและเผชิญการขาดทุนระหว่างรอการฟื้นตัว
• ต้องใช้เงินทุนและความอดทนสูง
กลยุทธ์แบบผสม: เล่นเกมระยะสั้นและวางแผนระยะยาว
• สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยง อาจพิจารณาใช้กลยุทธ์ทั้งสองร่วมกัน
• แบ่งพอร์ตลงทุน: ลงทุนบางส่วนใน Put Options เพื่อเก็งกำไรในช่วงตลาดขาลง
• สะสมหุ้นพื้นฐานดี: เก็บหุ้นคุณภาพในช่วงที่ราคาลดลง โดยเลือกหุ้นที่มีโอกาสฟื้นตัวในระยะยาว
การเลือกกลยุทธ์ลงทุนในตลาดหุ้นไทยขึ้นอยู่กับแนวคิดและเป้าหมายของนักลงทุนแต่ละคน
• หากคุณมองตลาดระยะสั้น และคาดการณ์ว่าหุ้นยังคงปรับตัวลงต่อ การเล่นฝั่ง Put อาจเป็นโอกาสทำกำไร
• หากคุณมองตลาดระยะยาว และเชื่อในศักยภาพของหุ้นพื้นฐานดี การสะสมในราคาที่ต่ำอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ท้ายที่สุด ความสำเร็จในการลงทุนไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเลือกกลยุทธ์ใดกลยุทธ์หนึ่ง แต่ขึ้นอยู่กับการบริหารความเสี่ยงและการตัดสินใจที่มีข้อมูลรองรับ.