โบรกฯเตือนหุ้น พ.ค.ผันผวนสูง ทางบวกคาดว่ากระแสทุนต่างชาติยังไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียและหุ้นไทย
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ คาดการณ์ว่า
ตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนสูงขึ้นอีกในเดือน พ.ค. เพราะมีปัจจัยบวกและลบเข้าสู่ตลาดในน้ำหนักที่ใกล้เคียงกัน โดยในทางบวกคาดว่ากระแสทุนต่างชาติยังไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียและหุ้นไทย สืบเนื่องจากทิศทางนโยบายการเงินของประเทศหลักๆ ที่ผ่อนคลายต่อเนื่อง และภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีสัญญาณฟื้นตัว
ส่วนปัจจัยลบได้แก่
1.แรงขายหุ้นรับผลประกอบการไตรมาส 1 ซึ่งภาพรวมน่าจะออกมาไม่แข็งแกร่งนัก
2.ราคาหุ้นที่ขึ้นมาแรง ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ใกล้กับเป้าหมายกลางปี 2557 ที่ 1,430 จุดแล้ว
3.ภาวะการเมืองยังประเมินได้ยาก โดยในเดือน พ.ค.อาจมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลรักษาการหลังจากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ กรณี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โยกย้าย นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เมื่อปี 2554 และการชี้มูลของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีที่นายกฯถูกกล่าวหาละเลยเพิกเฉยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว โดยภาพรวมคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในครึ่งหลังของเดือน พ.ค.จะมีความเสี่ยงด้านราคามากกว่าในช่วงครึ่งแรกของเดือน
ดังนั้นการเลือกหุ้นแนะนำเดือน พ.ค. จะเน้นหุ้นที่แนวโน้มกำไรโดดเด่นไปถึงไตรมาส 2/2557 เพื่อให้มีความทนทานต่อความผันผวนของตลาดรวมได้ดี และมีความเสี่ยงต่อการปรับลดประมาณการค่อนข้างน้อย ในกลุ่มนี้เลือกหุ้น KCE, SAMART, SPALI, THCOM และ TUF ส่วนประเด็นการลงทุนอื่นๆ นั้น เลือกหุ้นขนาดใหญ่ที่ราคาปรับขึ้นช้า เช่น INTUCH* และหุ้นที่เชื่อมโยงกับปัจจัยการเมือง เช่น AMATA* และ STEC* เนื่องจากข่าวสารการเมืองที่อาจมีความชัดเจนในเดือนนี้ อาจส่งผลดีอย่างมีนัยสำคัญต่อหุ้นลักษณะดังกล่าวได้
ด้าน บล.เคที ซีมิโก้ ระบุว่า
สถิติย้อนหลังพบว่าการลงทุนในเดือน พ.ค.ให้ผลตอบแทนติดลบ โดยสถิติย้อนหลัง 10 ปี (ปี 47-56) พบว่ามีโอกาสเพียง 40% ที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เดือน พ.ค.ปิดสูงขึ้น โดยให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ย -0.07% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และให้ผลตอบแทนสูงสุดที่ 13.98% ในปี 2552 ขณะที่ผลตอบแทนต่ำสุดอยู่ที่ -7.66% ในปี 2549 ขณะที่เดือน มิ.ย. ตลาดให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ย +0.07% เมื่อเทียบกับเดือน พ.ค.
สำหรับกระแสเงินทุนต่างชาติ สถิติเดือน พ.ค.ย้อนหลัง 10 ปี (ปี 47-56) พบว่า นักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ขายสุทธิเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง -1.18 หมื่นล้านบาท และขายต่อเนื่องในเดือน มิ.ย.อีก -7.26 หมื่นล้านบาท ก่อนจะกลับมาซื้อสุทธิในเดือนก.ค. +7.12 ล้านบาท สะท้อนความเสี่ยงของการกลับมาขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ อาจเกิดขึ้นในเดือน พ.ค.
กล้า
........หรือ.........
กลัว
Link :
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20140504/579899/%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%AF%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%9E.%E0%B8%84.%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87.html
โบรกฯเตือนหุ้น พ.ค.ผันผวนสูง
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ คาดการณ์ว่า
ตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนสูงขึ้นอีกในเดือน พ.ค. เพราะมีปัจจัยบวกและลบเข้าสู่ตลาดในน้ำหนักที่ใกล้เคียงกัน โดยในทางบวกคาดว่ากระแสทุนต่างชาติยังไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียและหุ้นไทย สืบเนื่องจากทิศทางนโยบายการเงินของประเทศหลักๆ ที่ผ่อนคลายต่อเนื่อง และภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีสัญญาณฟื้นตัว
ส่วนปัจจัยลบได้แก่
1.แรงขายหุ้นรับผลประกอบการไตรมาส 1 ซึ่งภาพรวมน่าจะออกมาไม่แข็งแกร่งนัก
2.ราคาหุ้นที่ขึ้นมาแรง ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ใกล้กับเป้าหมายกลางปี 2557 ที่ 1,430 จุดแล้ว
3.ภาวะการเมืองยังประเมินได้ยาก โดยในเดือน พ.ค.อาจมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลรักษาการหลังจากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ กรณี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โยกย้าย นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เมื่อปี 2554 และการชี้มูลของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีที่นายกฯถูกกล่าวหาละเลยเพิกเฉยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว โดยภาพรวมคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในครึ่งหลังของเดือน พ.ค.จะมีความเสี่ยงด้านราคามากกว่าในช่วงครึ่งแรกของเดือน
ดังนั้นการเลือกหุ้นแนะนำเดือน พ.ค. จะเน้นหุ้นที่แนวโน้มกำไรโดดเด่นไปถึงไตรมาส 2/2557 เพื่อให้มีความทนทานต่อความผันผวนของตลาดรวมได้ดี และมีความเสี่ยงต่อการปรับลดประมาณการค่อนข้างน้อย ในกลุ่มนี้เลือกหุ้น KCE, SAMART, SPALI, THCOM และ TUF ส่วนประเด็นการลงทุนอื่นๆ นั้น เลือกหุ้นขนาดใหญ่ที่ราคาปรับขึ้นช้า เช่น INTUCH* และหุ้นที่เชื่อมโยงกับปัจจัยการเมือง เช่น AMATA* และ STEC* เนื่องจากข่าวสารการเมืองที่อาจมีความชัดเจนในเดือนนี้ อาจส่งผลดีอย่างมีนัยสำคัญต่อหุ้นลักษณะดังกล่าวได้
ด้าน บล.เคที ซีมิโก้ ระบุว่า
สถิติย้อนหลังพบว่าการลงทุนในเดือน พ.ค.ให้ผลตอบแทนติดลบ โดยสถิติย้อนหลัง 10 ปี (ปี 47-56) พบว่ามีโอกาสเพียง 40% ที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เดือน พ.ค.ปิดสูงขึ้น โดยให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ย -0.07% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และให้ผลตอบแทนสูงสุดที่ 13.98% ในปี 2552 ขณะที่ผลตอบแทนต่ำสุดอยู่ที่ -7.66% ในปี 2549 ขณะที่เดือน มิ.ย. ตลาดให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ย +0.07% เมื่อเทียบกับเดือน พ.ค.
สำหรับกระแสเงินทุนต่างชาติ สถิติเดือน พ.ค.ย้อนหลัง 10 ปี (ปี 47-56) พบว่า นักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ขายสุทธิเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง -1.18 หมื่นล้านบาท และขายต่อเนื่องในเดือน มิ.ย.อีก -7.26 หมื่นล้านบาท ก่อนจะกลับมาซื้อสุทธิในเดือนก.ค. +7.12 ล้านบาท สะท้อนความเสี่ยงของการกลับมาขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ อาจเกิดขึ้นในเดือน พ.ค.
กล้า
........หรือ.........
กลัว
Link : http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20140504/579899/%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%AF%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%9E.%E0%B8%84.%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87.html