“ฉันกับลูกไม่น่ามาที่นี่เลย”
คำพูดของนายหญิงคนใหม่ทำให้ชัยวัฒน์ต้องรีบเดินเข้าไปดึงมือคนพูดมาจับไว้
“ฉันว่า…”
“ไม่เอาน่ะรสกว่าที่เราจะฟันฝ่าอุปสรรคมาจนถึงวันนี้ได้มันก็ยาวนานพอแล้วนะคุณจะให้เราต้องแยกจากกันไปถึงเมื่อไหร่”
รสสุคนธ์หันมามองหน้าคนพูดก่อนจะดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุม
“แต่เราไม่ควรทำให้ลูกเสียใจ”
“แล้วเราล่ะ”
“ไม่รู้สิคะ…แค่ทำให้ลูกมีความสุขมันก็น่าจะเพียงพอแล้ว”
คนพูดหันหลังหมายจะออกไปจากห้องนี้ซะทีแต่แล้วก็ต้องถูกใครอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆดึงตัวเข้าไปกอดเอาไว้
“ไม่นะรสผมรักคุณ…คุณก็รักผมเรามาร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกันเถอะนะ”
ชัยวัฒน์ค่อยๆคลายอ้อมกอดออกอย่างช้าๆ
“วัฒน์คะคุณก็เห็นว่าในงานเลี้ยงมันเกิดอะไรขึ้น”
มือที่ยังคงกอดอีกฝ่ายไว้หลวมๆค่อยๆคลายออก
“ถ้ารสรู้ว่าจะทำให้คุณกับลูกผิดใจกันขนาดนี้รสคงไม่มา”
รสสุคนธ์เอื้อมมือไปจับคนที่ยืนอ่อนแรงอยู่ตรงหน้า
“อีกอย่างรสเป็นห่วงยัยวิ”
ชัยวัฒน์หันไปมองคนพูดที่ทำสีหน้าวิตกกังวลในบางเรื่องซึ่งเขาก็พอจะมองออกว่าคือเรื่องอะไร
“เป็นไปไม่ได้หรอกถึงยัยเมย์จะไม่ชอบใจขนาดไหนแต่แกไม่มีทางทำอะไรที่ร้ายกาจได้”
“คุณคิดอย่างนั้นเหรอคะ”
คราวนี้เป็นรสสุคนธ์ที่หันมาสบตากับคนที่พูดเสียงแข็งเมื่อสักครู่แต่พอเธอถามกลับไปแค่นี้เจ้าตัวถึงกลับหลบสายตามองไปทางอื่นใช่ว่าเธอจะอคติกับเมย์สินีแต่ในความเป็นผู้หญิงด้วยกันเธอมองออกว่าในแววตาของเด็กคนนั้นมีบางอย่างที่น่ากลัวเกินกว่าที่เธอจะรับมือได้ที่สำคัญเธอไม่ควรจะเอาลูกสาวของตัวเองมาเสี่ยงในบ้านหลังนี้
“ผมว่าเราน่าจะ…”
“พอเถอะค่ะ”
รสสุคนธ์ยกมือขึ้นห้ามไม่ให้อีกคนพูดต่อก่อนจะรีบเดินก้าวเท้าไปยังประตูทางออกเพราะถ้าช้ากว่านี้เธออาจจะกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมาไม่ได้แต่แล้วก็มีมือใครบางคนมาฉุดเธอไว้ไม่ให้เดินต่อ
“อย่ารั้งกันอีกเลยนะคะ”
พูดได้แค่นั้นรสสุคนธ์ก็เอื้อมมือไปแกะคนที่ดึงแขนเธอไว้
“แม่คะ”
รสสุคนธ์ถึงกับทำอะไรไม่ถูกเมื่อได้รู้ว่าคนที่ดึงเธอไว้คือบุตรสาวของตัวเอง
“ยังไม่นอนเหรอลูก”
วิชุดาเดินเข้าไปใกล้มารดาพร้อมกับเอื้อมมือไปเช็ดหยาดน้ำตาที่กำลังไหลรินออกมาแค่นี้เธอก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดมากมายของคนตรงหน้าแล้วจะพูดให้ถูกก็คือเธอรู้และเข้าใจในเรื่องนี้พอสมควรใช่ว่าช่วงแรกเธอจะยินดีซะเมื่อไหร่แต่เมื่อเห็นความพยายามของคุณลุงชัยวัฒน์แล้วมันก็ทำให้เธอต้องจำใจยอมรับไปเอง ดีซะอีกที่แม่ของเธอจะมีคนดีๆมาดูแล
ครั้งหนึ่งแม่ของเธอเล่าให้ฟังว่าก่อนที่จะแต่งงานกับพ่อของเธอแม่มีคนรักอยู่ก่อนแล้วแต่เหตุจำเป็นหลายๆอย่างจึงทำให้ทั้งสองคนไม่อาจลงเอยกันได้ ตอนนั้นเมื่อได้ฟังเธอก็อดที่จะโกรธแม่ไม่ได้แต่เมื่อเวลาผ่านไปเธอจึงทำใจยอมรับได้และอีกอย่างพ่อเธอก็ได้เสียก่อนที่แม่จะได้เจอลุงชัยวัฒน์อีกครั้ง
เพื่อความสุขของมารดาผู้เป็นที่รักเธอจึงพยายามทำใจให้ยอมรับกับเรื่องนี้
“แม่คะ”
“วิได้ยินหมดแล้วใช่มั้ยลูก”
วิชุดาพยักหน้าแทนคำตอบรับ
“งั้นก็รีบขึ้นไปนอนพรุ่งนี้เราจะได้กลับบ้านกัน”
รสสุคนธ์ดึงมือบุตรสาวให้ขึ้นข้างบนไปกับเธอแต่คนที่ถูกดึงกลับฉุดเธอมายืนยังที่เดิม
“วิอยากอยู่ที่นี่ค่ะ”
“พูดอะไรของลูก”
“จริงๆนะคะวิอยากอยู่ที่นี่”
รสสุคนธ์หันมาจ้องคนพูดก่อนจะเอื้อมมืออีกข้างหนึ่งไปลูบหัวอย่างเบามือ
“แม่รู้ว่าลูกคิดยังไงแต่เราอยู่ที่ไหนก็มีความสุขได้แค่มีแม่กับวิอยู่ด้วยกันก็พอ”
คนพูดพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลเพราะไม่อยากให้คนตรงหน้าเป็นกังวลใจ ใช่ว่าเธอจะดูไม่ออกว่าลูกสาวของเธอต้องการจะทำอะไรแต่หากความสุขของเธอต้องแลกกับความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นกับตัวเธอและบุตรสาวแล้วล่ะก็…เธอขอจากไปตามทางของเธอเองดีกว่า
“เราขึ้นห้องกันเถอะ”
“ตั้งแต่วิเกิดมาก็มีแม่คอยให้ทั้งความรักและความสุขมาตลอด ต่อไปนี้วิขอมอบความสุขคืนกลับให้คุณแม่บ้างแม่พูดถูกค่ะว่าเราอยู่กันแม่ลูกก็มีความสุขแล้วแต่มันจะดีกว่านี้มั้ยคะถ้าวิจะมีพ่อ”
วิชุดาจูงมือมารดาให้เดินตามเธอไปหาคนที่ยืนรอฟังคำตอบอยู่ในห้องเมื่อเดินเข้าไปใกล้เธอจึงดึงมือของทั้งมารดาและบุคคลที่กำลังจะได้ชื่อว่าเป็นพ่อใหม่มาจับกัน
“วิอยากให้คุณแม่มีความสุข“
“แต่แม่ว่า…”
“คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะคะในอนาคตไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราจะจับมือข้ามผ่านไปด้วยกัน”
ชัยวัฒน์มองสองแม่ลูกที่ยืนคุยกันในเรื่องต่างๆและเขาก็พอจะเดาปัญหาที่ทำให้แม่ลูกคู่นี้กังวลซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรกับที่เขากังวัลที่จริงวันนี้ที่เกิดเหตุร้ายแรงเป็นเพราะเขาเองที่ดันลืมบอกเรื่องงานวันนี้กับลูกสาวทั้งๆที่ตั้งใจจะบอกตั้งแต่เช้าแต่ก็มีเหตุให้ต้องคลาดกันไปคลาดกันมาจนกระทั่งงานเลี้ยงเริ่มเขาก็ยังไม่นึกเอะใจแล้วเป็นไงล่ะ…งานแตกไม่เป็นท่า
“ผมรู้ว่าคุณกำลังไม่สบายใจเรื่องยัยเมย์มันเป็นความผิดของผมเองที่ทำให้เรื่องเลยเถิดมาถึงขนาดนี้แต่คุณอย่าลงโทษผมด้วยวิธีนี้เลยนะช่วยอยู่เคียงข้างผมจับมือผมไว้แล้วช่วยเติมเต็มบ้านหลังนี้ให้สมบูรณ์และน่าอยู่ขึ้นได้มั้ย”
จบประโยครสสุคนธ์ถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา เธอรู้สึกผิดที่พอเกิดเรื่องเธอก็ถึงกับจะทิ้งคนที่รักและเฝ้ารอคอยเธอมาตลอดอย่างง่ายดาย
“ฉัน…”
คนพูดเว้นวรรคทำท่าลังเลเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองคนที่ยืนทำหน้าเศร้าอยู่ตรงหน้า
“ฉัน…ฉันจะอยู่ที่นี่ค่ะเพื่อลูกและ…เพื่อคุณ”
คนฟังทั้งสองคนหันมายิ้มให้กันก่อนที่ชัยวัฒน์จะดึงคนพูดเข้ามากอดอย่างดีใจ
“ดีใจจังต่อไปนี้ครอบครัวเราก็จะมีแม่ มีคุณลุงชัยวัฒน์…”
ชัยวัฒน์คลายอ้อมกอดก่อนจะหันมาพูดแทรกคนที่ทำให้เรื่องดีๆกลับคืนมา
“แทนลุงว่าพ่อได้มั้ยลุงขอเป็นพ่ออีกคนหนึ่งของหนูวิได้มั้ย”
วิชุดาถึงกับอึ้งที่ได้ยินประโยคเช่นนี้แต่เมื่อหันไปมองหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของมารดาแถมผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมันคงไม่ผิดที่เธอจะคิดรักและเคารพคนๆนี้เป็นบิดาอีกคน
“ค่ะ…คุณพ่อ”
ชัยวัฒน์ส่งยิ้มให้กับลูกสาวคนใหม่ก่อนจะดึงทั้งสองแม่ลูกเข้ามาสู่อ้อมกอดอีกครั้ง
“ดีใจจังวิจะมีทั้งพ่อ ทั้งแม่แถมยังจะมีน้องสาวเพิ่มมาอีก…”
เพล้ง!...เสียงอะไรบางอย่างกระทบพื้นทำให้ทั้ง3คนในห้องต้องหันไปมองอย่างพร้อมเพรียง
“เมย์”
เป็นเสียงของชัยวัฒน์ที่เรียกชื่อนั้นอย่างตกใจ
“ยังดีนะคะที่จำลูกคนนี้ได้…อีกอย่าง…”
เมย์สินีหันไปมองคนที่พูดออกมาเต็มปากว่าจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวเธอ
“เธอควรจะรู้ไว้ว่าฉันเป็นลูกคนเดียวมีแม่คนเดียวแต่ก็ไม่รู้สิน่ะเธออาจจะยังไม่ชินเพราะท่าทางเธอคงจะมีหลายพ่อหลายแม่มาก่อน…”
“ยัยเมย์!”
เมย์สินีพูดจบก็เดินก้าวขึ้นบันไดทันทีโดยไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าคนที่ได้ยินจะรู้สึกอย่างไร
ชัยวัฒน์หันมามองหน้าสองแม่ลูกที่ยืนทำหน้าอึ้งไม่ต่างไปจากเขา
“คือพ่อ…”
“ไม่เป็นไรค่ะวิเข้าใจเวลาจะเป็นตัวช่วยให้เราเข้าใจกันได้ค่ะ”
วิชุดาพูดพร้อมรอยยิ้มที่ออกมาจากใจทำให้คนที่เห็นต่างพากันยิ้มตามได้อย่างง่ายดาย ต่อไปนี้ไร่ของเขาจะมีสายลมแห่งรักพัดให้คนทุกคนที่เข้ามาได้รู้สึกสดชื่นจะไม่มีคำว่าแห้งแล้งและว่างเปล่าอีกแล้วสินะ…
เช้าวันต่อมาบรรยากาศใหม่ๆทำให้วิชุดาถึงกับรีบตื่นขึ้นมาเพื่อหวังจะลงไปสัมผัสกับความงามของธรรมชาติอย่างใกล้ชิด
วิชุดาเดินมาตามทางเรื่อยๆไร่สายลม…เป็นสถานที่ที่มีความสมบูรณ์และสวยงามมากกว่าที่เธอคิดซะอีกทุกอย่างของที่นี่ชวนให้น่าหลงใหลจนเธอเผลอเดินมาจนสุดทางเมื่อหันกลับไปมองยังบ้านพักเธอก็ถึงกับส่ายหัวให้กับตัวเองที่ดันเดินมาไกลเป็นกิโลท่าทางขากลับจะหนักเอาการเพราะตอนนี้แดดก็เริ่มแรงขึ้นทุกที
“นั่นใครน่ะ”
หญิงสาวหันไปมองยังทางที่ได้ยินเสียงเหมือนมีใครกำลังเดินมา ในใจเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นได้แถมที่เธออยู่ตอนนี้ก็เปลี่ยวหากเกิดอะไรขึ้นเธอจะทำอย่างไร
“ฉันถามว่าใคร!”
เงียบไร้เสียงตอบกลับมาวิชุดาจึงหันซ้ายหันขวาเพื่อหาอาวุธมาป้องกันตัวและในที่สุดเธอก็หาไม้ท่อนหนึ่งที่ช่างเหมาะมือพอดีพร้อมกับวิ่งไปหลบหลังต้นไม้ เสียงการก้าวเท้ายังคงดังและใกล้เข้ามาเรื่อยๆและในที่สุดวิชุดาจึงตัดสินใจฟาดไม้ไปยังใครบางคนที่ดูท่าทางไม่น่าไว้วางใจอย่างไม่ยั้งมือ
“โอ๊ย!...”
เสียงร้องที่ดังขึ้นมาทำให้คนที่กำลังหลับหูหลับตาฟาดไม้ต้องหยุดการกระทำทุกอย่างพร้อมกับลืมตาขึ้นมองคนที่เธอกำลังทำร้ายอย่างเต็มตา
“ผู้หญิง…”
“โอ๊ย…เจ็บๆๆๆใครวะ!”
หญิงสาวทิ้งไม้ลงพื้นพร้อมกับเดินเข้าไปดูบาดแผลของคนที่ถูกเธอทำร้ายทันที
“ฉันขอโทษ”
ภาวิดายกมือขึ้นลูบที่หัวตัวเองและเมื่อพบว่ามีน้ำบางอย่างไหลออกมาเจ้าตัวก็ถึงกับเข่าอ่อน
“ขอโทษแล้วมันหายเจ็บมั้ยฉันลองฟาดหัวเธอแล้วพูดขอโทษดีมั้ยล่ะจะได้หายกัน”
“ฉันขอโทษเดี๋ยวฉันพาไปทำแผล”
“ไม่…”
ภาวิดาเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่ทำร้ายเธอก่อนจะรีบเอามือมาอุดปากตัวเองอย่างรวดเร็ว
“เธอเจ็บปากด้วยเหรอ”
“ปะ…ปละ…ปะเปล่าค่ะ”
“ฉันขอโทษจากใจนะคะ”
คนพูดเอ่ยออกมาจากใจก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดดูแผลของอีกคน
“เอ่อ…ไม่เป็นไรหรอกค่ะดาเองก็ผิดเหมือนกัน”
ท่าทางที่ดูนอบน้อมขึ้นของคนตรงหน้าทำให้วิชุดาอดแปลกใจไม่ได้
“เธอนี่แปลกนะตะกี้ยังทำเหมือนจะโวยวายแต่มาตอนนี้สิทำท่าหงอเหมือนกลัวอะไร”
“คือดาไม่รู้ว่าเป็นคุณหนูนี่คะ”
“คุณหนู…”
“ค่ะ…ดาต้องขอโทษอีกทีนะคะ”
“พอแล้วๆเดี๋ยวฉันจะพาเธอไปทำแผลแล้วอีกอย่างเลิกเรียกฉันว่าคุณหนูได้แล้ว”
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่…โอเค๊”
ภาวิดาหันหน้ามามองคนพูดก่อนจะทำตามคำสั่งอย่างว่าง่ายเพราะตอนนี้สิ่งที่เธอควรจะทำที่สุดคือการไปหายามาใส่แผลก่อนที่เลือดจะไหลออกจนหมดหัว…
เมื่อมาถึงบ้านวิชุดาก็รีบเดินไปหยิบชุดยามาทำแผลให้คนหน้าซีดที่นั่งรออยู่ที่ระเบียงบ้าน
“เจ็บเหรอ”
“แสบๆอะค่ะ”
“อืม…ถามหน่อยสิ”
“คะ”
“ตอนฉันตะโกนถามว่าใครทำไมเธอไม่ตอบ”
คนถามลดมือลงพร้อมกับเก็บยาลงเข้ากล่องอย่างเรียบร้อย
“ว่าไงล่ะ”
“เอ่อ…”
ภาวิดายกมือเกาหัวพร้อมกับส่งยิ้มแบบอายๆให้กับคนที่ทำหน้าสงสัยอยู่ตรงหน้า
“คือที่บ้านดาเค้าถือกันน่ะค่ะว่าถ้ามีเสียงอะไรตะโกนออกมาโดยที่เราไม่รู้ที่มาห้ามตอบกลับไป”
“หมายถึง…”
“ค่ะ,,,เรื่องผีล้วนๆ”
คนฟังถึงกับหลุดหัวเราะออกมาไม่น่าเชื่อว่าคนสมัยนี้จะยังเชื่อเรื่องพวกนี้อยู่
“เธอจะบ้าหรือไงแดดออกขนาดนั้น”
ไม่มีคำตอบใดๆออกมาจากปากของภาวิดามีเพียงแต่รอยยิ้มเขินอายที่เจ้าตัวแสดงออกมาเท่านั้นที่ทำให้คนที่กำลังหัวเราะรู้ได้ทันทีว่าคนกลัวผีรู้สึกอย่างไรความกลัวทำให้คนเราทำและเชื่อได้ในทุกอย่างที่อยากจะเชื่อดูอย่างเธอสิยังอุตสาห์หาไม้มาใช้ป้องกันตัวจนทำให้เกิดการบาดเจ็บนี้ขึ้น
“อะแว่นของเธอ”
“ขอบคุณค่ะก็ว่าทำไมวันนี้มันดูมืดๆมัวๆพิกล”
เป็นอีกประโยคที่เรียกเสียงหัวเราะจากคนมาใหม่ได้อีกครั้ง เอาน่ะถึงวันนี้จะมีเรื่องรุนแรงเกิดขึ้นแต่อย่างน้อยเธอก็รู้แล้วว่าในไร่สายลมแห่งนี้มีลมเย็นๆที่ทำให้เธอสามารถยิ้มได้อยู่ตรงนี้
สนใจอ่านตอนต่อไปและเรื่องอื่นๆได้ที่
http://www.comeon-book.com/comeonv3/prof.php?WID=9007
คุณหนูที่รัก yuri ตอนที่ 4
คำพูดของนายหญิงคนใหม่ทำให้ชัยวัฒน์ต้องรีบเดินเข้าไปดึงมือคนพูดมาจับไว้
“ฉันว่า…”
“ไม่เอาน่ะรสกว่าที่เราจะฟันฝ่าอุปสรรคมาจนถึงวันนี้ได้มันก็ยาวนานพอแล้วนะคุณจะให้เราต้องแยกจากกันไปถึงเมื่อไหร่”
รสสุคนธ์หันมามองหน้าคนพูดก่อนจะดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุม
“แต่เราไม่ควรทำให้ลูกเสียใจ”
“แล้วเราล่ะ”
“ไม่รู้สิคะ…แค่ทำให้ลูกมีความสุขมันก็น่าจะเพียงพอแล้ว”
คนพูดหันหลังหมายจะออกไปจากห้องนี้ซะทีแต่แล้วก็ต้องถูกใครอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆดึงตัวเข้าไปกอดเอาไว้
“ไม่นะรสผมรักคุณ…คุณก็รักผมเรามาร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกันเถอะนะ”
ชัยวัฒน์ค่อยๆคลายอ้อมกอดออกอย่างช้าๆ
“วัฒน์คะคุณก็เห็นว่าในงานเลี้ยงมันเกิดอะไรขึ้น”
มือที่ยังคงกอดอีกฝ่ายไว้หลวมๆค่อยๆคลายออก
“ถ้ารสรู้ว่าจะทำให้คุณกับลูกผิดใจกันขนาดนี้รสคงไม่มา”
รสสุคนธ์เอื้อมมือไปจับคนที่ยืนอ่อนแรงอยู่ตรงหน้า
“อีกอย่างรสเป็นห่วงยัยวิ”
ชัยวัฒน์หันไปมองคนพูดที่ทำสีหน้าวิตกกังวลในบางเรื่องซึ่งเขาก็พอจะมองออกว่าคือเรื่องอะไร
“เป็นไปไม่ได้หรอกถึงยัยเมย์จะไม่ชอบใจขนาดไหนแต่แกไม่มีทางทำอะไรที่ร้ายกาจได้”
“คุณคิดอย่างนั้นเหรอคะ”
คราวนี้เป็นรสสุคนธ์ที่หันมาสบตากับคนที่พูดเสียงแข็งเมื่อสักครู่แต่พอเธอถามกลับไปแค่นี้เจ้าตัวถึงกลับหลบสายตามองไปทางอื่นใช่ว่าเธอจะอคติกับเมย์สินีแต่ในความเป็นผู้หญิงด้วยกันเธอมองออกว่าในแววตาของเด็กคนนั้นมีบางอย่างที่น่ากลัวเกินกว่าที่เธอจะรับมือได้ที่สำคัญเธอไม่ควรจะเอาลูกสาวของตัวเองมาเสี่ยงในบ้านหลังนี้
“ผมว่าเราน่าจะ…”
“พอเถอะค่ะ”
รสสุคนธ์ยกมือขึ้นห้ามไม่ให้อีกคนพูดต่อก่อนจะรีบเดินก้าวเท้าไปยังประตูทางออกเพราะถ้าช้ากว่านี้เธออาจจะกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมาไม่ได้แต่แล้วก็มีมือใครบางคนมาฉุดเธอไว้ไม่ให้เดินต่อ
“อย่ารั้งกันอีกเลยนะคะ”
พูดได้แค่นั้นรสสุคนธ์ก็เอื้อมมือไปแกะคนที่ดึงแขนเธอไว้
“แม่คะ”
รสสุคนธ์ถึงกับทำอะไรไม่ถูกเมื่อได้รู้ว่าคนที่ดึงเธอไว้คือบุตรสาวของตัวเอง
“ยังไม่นอนเหรอลูก”
วิชุดาเดินเข้าไปใกล้มารดาพร้อมกับเอื้อมมือไปเช็ดหยาดน้ำตาที่กำลังไหลรินออกมาแค่นี้เธอก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดมากมายของคนตรงหน้าแล้วจะพูดให้ถูกก็คือเธอรู้และเข้าใจในเรื่องนี้พอสมควรใช่ว่าช่วงแรกเธอจะยินดีซะเมื่อไหร่แต่เมื่อเห็นความพยายามของคุณลุงชัยวัฒน์แล้วมันก็ทำให้เธอต้องจำใจยอมรับไปเอง ดีซะอีกที่แม่ของเธอจะมีคนดีๆมาดูแล
ครั้งหนึ่งแม่ของเธอเล่าให้ฟังว่าก่อนที่จะแต่งงานกับพ่อของเธอแม่มีคนรักอยู่ก่อนแล้วแต่เหตุจำเป็นหลายๆอย่างจึงทำให้ทั้งสองคนไม่อาจลงเอยกันได้ ตอนนั้นเมื่อได้ฟังเธอก็อดที่จะโกรธแม่ไม่ได้แต่เมื่อเวลาผ่านไปเธอจึงทำใจยอมรับได้และอีกอย่างพ่อเธอก็ได้เสียก่อนที่แม่จะได้เจอลุงชัยวัฒน์อีกครั้ง
เพื่อความสุขของมารดาผู้เป็นที่รักเธอจึงพยายามทำใจให้ยอมรับกับเรื่องนี้
“แม่คะ”
“วิได้ยินหมดแล้วใช่มั้ยลูก”
วิชุดาพยักหน้าแทนคำตอบรับ
“งั้นก็รีบขึ้นไปนอนพรุ่งนี้เราจะได้กลับบ้านกัน”
รสสุคนธ์ดึงมือบุตรสาวให้ขึ้นข้างบนไปกับเธอแต่คนที่ถูกดึงกลับฉุดเธอมายืนยังที่เดิม
“วิอยากอยู่ที่นี่ค่ะ”
“พูดอะไรของลูก”
“จริงๆนะคะวิอยากอยู่ที่นี่”
รสสุคนธ์หันมาจ้องคนพูดก่อนจะเอื้อมมืออีกข้างหนึ่งไปลูบหัวอย่างเบามือ
“แม่รู้ว่าลูกคิดยังไงแต่เราอยู่ที่ไหนก็มีความสุขได้แค่มีแม่กับวิอยู่ด้วยกันก็พอ”
คนพูดพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลเพราะไม่อยากให้คนตรงหน้าเป็นกังวลใจ ใช่ว่าเธอจะดูไม่ออกว่าลูกสาวของเธอต้องการจะทำอะไรแต่หากความสุขของเธอต้องแลกกับความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นกับตัวเธอและบุตรสาวแล้วล่ะก็…เธอขอจากไปตามทางของเธอเองดีกว่า
“เราขึ้นห้องกันเถอะ”
“ตั้งแต่วิเกิดมาก็มีแม่คอยให้ทั้งความรักและความสุขมาตลอด ต่อไปนี้วิขอมอบความสุขคืนกลับให้คุณแม่บ้างแม่พูดถูกค่ะว่าเราอยู่กันแม่ลูกก็มีความสุขแล้วแต่มันจะดีกว่านี้มั้ยคะถ้าวิจะมีพ่อ”
วิชุดาจูงมือมารดาให้เดินตามเธอไปหาคนที่ยืนรอฟังคำตอบอยู่ในห้องเมื่อเดินเข้าไปใกล้เธอจึงดึงมือของทั้งมารดาและบุคคลที่กำลังจะได้ชื่อว่าเป็นพ่อใหม่มาจับกัน
“วิอยากให้คุณแม่มีความสุข“
“แต่แม่ว่า…”
“คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะคะในอนาคตไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราจะจับมือข้ามผ่านไปด้วยกัน”
ชัยวัฒน์มองสองแม่ลูกที่ยืนคุยกันในเรื่องต่างๆและเขาก็พอจะเดาปัญหาที่ทำให้แม่ลูกคู่นี้กังวลซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรกับที่เขากังวัลที่จริงวันนี้ที่เกิดเหตุร้ายแรงเป็นเพราะเขาเองที่ดันลืมบอกเรื่องงานวันนี้กับลูกสาวทั้งๆที่ตั้งใจจะบอกตั้งแต่เช้าแต่ก็มีเหตุให้ต้องคลาดกันไปคลาดกันมาจนกระทั่งงานเลี้ยงเริ่มเขาก็ยังไม่นึกเอะใจแล้วเป็นไงล่ะ…งานแตกไม่เป็นท่า
“ผมรู้ว่าคุณกำลังไม่สบายใจเรื่องยัยเมย์มันเป็นความผิดของผมเองที่ทำให้เรื่องเลยเถิดมาถึงขนาดนี้แต่คุณอย่าลงโทษผมด้วยวิธีนี้เลยนะช่วยอยู่เคียงข้างผมจับมือผมไว้แล้วช่วยเติมเต็มบ้านหลังนี้ให้สมบูรณ์และน่าอยู่ขึ้นได้มั้ย”
จบประโยครสสุคนธ์ถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา เธอรู้สึกผิดที่พอเกิดเรื่องเธอก็ถึงกับจะทิ้งคนที่รักและเฝ้ารอคอยเธอมาตลอดอย่างง่ายดาย
“ฉัน…”
คนพูดเว้นวรรคทำท่าลังเลเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองคนที่ยืนทำหน้าเศร้าอยู่ตรงหน้า
“ฉัน…ฉันจะอยู่ที่นี่ค่ะเพื่อลูกและ…เพื่อคุณ”
คนฟังทั้งสองคนหันมายิ้มให้กันก่อนที่ชัยวัฒน์จะดึงคนพูดเข้ามากอดอย่างดีใจ
“ดีใจจังต่อไปนี้ครอบครัวเราก็จะมีแม่ มีคุณลุงชัยวัฒน์…”
ชัยวัฒน์คลายอ้อมกอดก่อนจะหันมาพูดแทรกคนที่ทำให้เรื่องดีๆกลับคืนมา
“แทนลุงว่าพ่อได้มั้ยลุงขอเป็นพ่ออีกคนหนึ่งของหนูวิได้มั้ย”
วิชุดาถึงกับอึ้งที่ได้ยินประโยคเช่นนี้แต่เมื่อหันไปมองหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของมารดาแถมผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมันคงไม่ผิดที่เธอจะคิดรักและเคารพคนๆนี้เป็นบิดาอีกคน
“ค่ะ…คุณพ่อ”
ชัยวัฒน์ส่งยิ้มให้กับลูกสาวคนใหม่ก่อนจะดึงทั้งสองแม่ลูกเข้ามาสู่อ้อมกอดอีกครั้ง
“ดีใจจังวิจะมีทั้งพ่อ ทั้งแม่แถมยังจะมีน้องสาวเพิ่มมาอีก…”
เพล้ง!...เสียงอะไรบางอย่างกระทบพื้นทำให้ทั้ง3คนในห้องต้องหันไปมองอย่างพร้อมเพรียง
“เมย์”
เป็นเสียงของชัยวัฒน์ที่เรียกชื่อนั้นอย่างตกใจ
“ยังดีนะคะที่จำลูกคนนี้ได้…อีกอย่าง…”
เมย์สินีหันไปมองคนที่พูดออกมาเต็มปากว่าจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวเธอ
“เธอควรจะรู้ไว้ว่าฉันเป็นลูกคนเดียวมีแม่คนเดียวแต่ก็ไม่รู้สิน่ะเธออาจจะยังไม่ชินเพราะท่าทางเธอคงจะมีหลายพ่อหลายแม่มาก่อน…”
“ยัยเมย์!”
เมย์สินีพูดจบก็เดินก้าวขึ้นบันไดทันทีโดยไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าคนที่ได้ยินจะรู้สึกอย่างไร
ชัยวัฒน์หันมามองหน้าสองแม่ลูกที่ยืนทำหน้าอึ้งไม่ต่างไปจากเขา
“คือพ่อ…”
“ไม่เป็นไรค่ะวิเข้าใจเวลาจะเป็นตัวช่วยให้เราเข้าใจกันได้ค่ะ”
วิชุดาพูดพร้อมรอยยิ้มที่ออกมาจากใจทำให้คนที่เห็นต่างพากันยิ้มตามได้อย่างง่ายดาย ต่อไปนี้ไร่ของเขาจะมีสายลมแห่งรักพัดให้คนทุกคนที่เข้ามาได้รู้สึกสดชื่นจะไม่มีคำว่าแห้งแล้งและว่างเปล่าอีกแล้วสินะ…
เช้าวันต่อมาบรรยากาศใหม่ๆทำให้วิชุดาถึงกับรีบตื่นขึ้นมาเพื่อหวังจะลงไปสัมผัสกับความงามของธรรมชาติอย่างใกล้ชิด
วิชุดาเดินมาตามทางเรื่อยๆไร่สายลม…เป็นสถานที่ที่มีความสมบูรณ์และสวยงามมากกว่าที่เธอคิดซะอีกทุกอย่างของที่นี่ชวนให้น่าหลงใหลจนเธอเผลอเดินมาจนสุดทางเมื่อหันกลับไปมองยังบ้านพักเธอก็ถึงกับส่ายหัวให้กับตัวเองที่ดันเดินมาไกลเป็นกิโลท่าทางขากลับจะหนักเอาการเพราะตอนนี้แดดก็เริ่มแรงขึ้นทุกที
“นั่นใครน่ะ”
หญิงสาวหันไปมองยังทางที่ได้ยินเสียงเหมือนมีใครกำลังเดินมา ในใจเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นได้แถมที่เธออยู่ตอนนี้ก็เปลี่ยวหากเกิดอะไรขึ้นเธอจะทำอย่างไร
“ฉันถามว่าใคร!”
เงียบไร้เสียงตอบกลับมาวิชุดาจึงหันซ้ายหันขวาเพื่อหาอาวุธมาป้องกันตัวและในที่สุดเธอก็หาไม้ท่อนหนึ่งที่ช่างเหมาะมือพอดีพร้อมกับวิ่งไปหลบหลังต้นไม้ เสียงการก้าวเท้ายังคงดังและใกล้เข้ามาเรื่อยๆและในที่สุดวิชุดาจึงตัดสินใจฟาดไม้ไปยังใครบางคนที่ดูท่าทางไม่น่าไว้วางใจอย่างไม่ยั้งมือ
“โอ๊ย!...”
เสียงร้องที่ดังขึ้นมาทำให้คนที่กำลังหลับหูหลับตาฟาดไม้ต้องหยุดการกระทำทุกอย่างพร้อมกับลืมตาขึ้นมองคนที่เธอกำลังทำร้ายอย่างเต็มตา
“ผู้หญิง…”
“โอ๊ย…เจ็บๆๆๆใครวะ!”
หญิงสาวทิ้งไม้ลงพื้นพร้อมกับเดินเข้าไปดูบาดแผลของคนที่ถูกเธอทำร้ายทันที
“ฉันขอโทษ”
ภาวิดายกมือขึ้นลูบที่หัวตัวเองและเมื่อพบว่ามีน้ำบางอย่างไหลออกมาเจ้าตัวก็ถึงกับเข่าอ่อน
“ขอโทษแล้วมันหายเจ็บมั้ยฉันลองฟาดหัวเธอแล้วพูดขอโทษดีมั้ยล่ะจะได้หายกัน”
“ฉันขอโทษเดี๋ยวฉันพาไปทำแผล”
“ไม่…”
ภาวิดาเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่ทำร้ายเธอก่อนจะรีบเอามือมาอุดปากตัวเองอย่างรวดเร็ว
“เธอเจ็บปากด้วยเหรอ”
“ปะ…ปละ…ปะเปล่าค่ะ”
“ฉันขอโทษจากใจนะคะ”
คนพูดเอ่ยออกมาจากใจก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดดูแผลของอีกคน
“เอ่อ…ไม่เป็นไรหรอกค่ะดาเองก็ผิดเหมือนกัน”
ท่าทางที่ดูนอบน้อมขึ้นของคนตรงหน้าทำให้วิชุดาอดแปลกใจไม่ได้
“เธอนี่แปลกนะตะกี้ยังทำเหมือนจะโวยวายแต่มาตอนนี้สิทำท่าหงอเหมือนกลัวอะไร”
“คือดาไม่รู้ว่าเป็นคุณหนูนี่คะ”
“คุณหนู…”
“ค่ะ…ดาต้องขอโทษอีกทีนะคะ”
“พอแล้วๆเดี๋ยวฉันจะพาเธอไปทำแผลแล้วอีกอย่างเลิกเรียกฉันว่าคุณหนูได้แล้ว”
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่…โอเค๊”
ภาวิดาหันหน้ามามองคนพูดก่อนจะทำตามคำสั่งอย่างว่าง่ายเพราะตอนนี้สิ่งที่เธอควรจะทำที่สุดคือการไปหายามาใส่แผลก่อนที่เลือดจะไหลออกจนหมดหัว…
เมื่อมาถึงบ้านวิชุดาก็รีบเดินไปหยิบชุดยามาทำแผลให้คนหน้าซีดที่นั่งรออยู่ที่ระเบียงบ้าน
“เจ็บเหรอ”
“แสบๆอะค่ะ”
“อืม…ถามหน่อยสิ”
“คะ”
“ตอนฉันตะโกนถามว่าใครทำไมเธอไม่ตอบ”
คนถามลดมือลงพร้อมกับเก็บยาลงเข้ากล่องอย่างเรียบร้อย
“ว่าไงล่ะ”
“เอ่อ…”
ภาวิดายกมือเกาหัวพร้อมกับส่งยิ้มแบบอายๆให้กับคนที่ทำหน้าสงสัยอยู่ตรงหน้า
“คือที่บ้านดาเค้าถือกันน่ะค่ะว่าถ้ามีเสียงอะไรตะโกนออกมาโดยที่เราไม่รู้ที่มาห้ามตอบกลับไป”
“หมายถึง…”
“ค่ะ,,,เรื่องผีล้วนๆ”
คนฟังถึงกับหลุดหัวเราะออกมาไม่น่าเชื่อว่าคนสมัยนี้จะยังเชื่อเรื่องพวกนี้อยู่
“เธอจะบ้าหรือไงแดดออกขนาดนั้น”
ไม่มีคำตอบใดๆออกมาจากปากของภาวิดามีเพียงแต่รอยยิ้มเขินอายที่เจ้าตัวแสดงออกมาเท่านั้นที่ทำให้คนที่กำลังหัวเราะรู้ได้ทันทีว่าคนกลัวผีรู้สึกอย่างไรความกลัวทำให้คนเราทำและเชื่อได้ในทุกอย่างที่อยากจะเชื่อดูอย่างเธอสิยังอุตสาห์หาไม้มาใช้ป้องกันตัวจนทำให้เกิดการบาดเจ็บนี้ขึ้น
“อะแว่นของเธอ”
“ขอบคุณค่ะก็ว่าทำไมวันนี้มันดูมืดๆมัวๆพิกล”
เป็นอีกประโยคที่เรียกเสียงหัวเราะจากคนมาใหม่ได้อีกครั้ง เอาน่ะถึงวันนี้จะมีเรื่องรุนแรงเกิดขึ้นแต่อย่างน้อยเธอก็รู้แล้วว่าในไร่สายลมแห่งนี้มีลมเย็นๆที่ทำให้เธอสามารถยิ้มได้อยู่ตรงนี้
สนใจอ่านตอนต่อไปและเรื่องอื่นๆได้ที่ http://www.comeon-book.com/comeonv3/prof.php?WID=9007