เช้าของวันใหม่ช่างเป็นวันที่แสนสดใสและสวยงามแดดที่ส่องผ่านภูเขาเข้ามากระทบกับต้นส้มในยามเช้าช่วยทำให้ทั่วทั้งไร่สว่างไสวประดุจแสงทองก็ไม่ปาน วันนี้ที่ไร่จะมีงานเลี้ยงสำคัญภาวิดาจึงต้องมาช่วยพ่อจัดเตรียมงานเมื่อเดินผ่านบ้านหลังใหญ่เธอก็อดไม่ได้ที่หันไปมองหาใครบางคนที่คาดว่ายังไม่น่าจะตื่น หญิงสาวส่ายหัวไปมาให้กับความคิดบ้าๆที่ผุดขึ้นมาในสมองก่อนจะรีบสาวเท้าตามพ่อของตัวเองเข้าไปในไร่
“เอาช่วยกันหน่อย”
“ทางนี้ๆ”
“ตั้งไว้ทางนั้นเลย ดีๆ”
เสียงแม่บ้านตะโกนสั่งงานคนงานดังมาเป็นระยะๆทำให้คนที่กำลังจะเดินผ่านต้องหยุดมอง ภาพที่เห็นทำให้ภาวิดาอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อคนงานแต่ละคนตั้งใจช่วยกันทำงานอย่างขยันขันแข็งไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะเอาเปรียบคุณท่านโชคดีจริงๆที่ได้คนเหล่านี้มาทำงานแต่จะว่าไปพวกเราคนงานทุกคนต่างหากที่โชคดีได้เจ้านายที่แสนดีคนนี้
“เหม่ออะไรอยู่ยัยดาเร็วเข้า”
เสียงผู้เป็นพ่อดังมาแต่ไกลทำให้คนที่เอาแต่มองโน่นนี่นั่นต้องรีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว
“พ่อรอดาด้วย”
ภาคินหยุดเดินแล้วหันกลับมามองหน้าคนที่กำลังวิ่งตามมา
“โอ๊ย!...พ่ออะหยุดก็ไม่บอก”
“ก็เรานั่นแหละเอาแต่มองข้างทางไม่มองทางเดินเอง”
“พ่ออะ…”
“เอาล่ะๆไม่เถียงด้วยแล้วพ่อมีเรื่องจะคุยด้วย”
ภาคินเปลี่ยนจากสีหน้าที่ยิ้มแย้มกลับเข้าสู่ใบหน้าจริงจังอีกครั้ง ภาวิดามองคนพูดก่อนจะเอื้อมมือมาจับที่แขนบิดา
“เรื่องคืนนี้ใช่มั้ยคะ”
“อืม…ลูกคงรู้ว่ามีบางอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป”
“ค่ะ”
“ดาคิดยังไง”
คนถูกถามถึงกับอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มบางๆให้กับบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ไม่รู้สิคะดารู้แค่ว่าสงสารคุณหนู”
ภาคินเอื้อมมือไปลูบที่ศีรษะของบุตรสาวก่อนจะเปลี่ยนมาจูงมือให้เดินไปข้างหน้าพร้อมๆกัน
“พ่อรู้…แต่เราก็ต้องเห็นใจคุณท่านบ้างอีกอย่างทุกอย่างมันก็ผ่านมานานจนบางทีเวลาก็อาจจะเยียวยาทุกอย่างได้บ้างแล้ว”
“พ่อคิดว่าอย่างนั้นเหรอคะ”
คนถูกถามหยุดเดินพร้อมกับหันมามองหน้าคนพูด
“ถ้าเวลาช่วยไม่ได้ก็ต้องเป็นหน้าที่ของคนแล้วล่ะที่ต้องช่วยกัน”
“หน้าที่ของคน…”
คนฟังได้แต่ยืนเกาหัวด้วยไม่เข้าใจในสิ่งที่บิดาพูด
“ใช่หน้าที่ของคน…ของเราทุกคนที่จะช่วยเปลี่ยนหัวใจที่ด้านชาของคุณหนูให้กลับมาเป็นก้อนเนื้ออีกครั้ง”
คราวนี้ภาวิดาถึงกับถอนหายใจออกมาเพราะเธอไม่เห็นหนทางหรือใครหน้าไหนที่จะเข้ามาเปลี่ยนคุณหนูเมย์สินีของเธอได้เลย
“ดาไม่เชื่อเหรอ”
“ไม่ใช่ดาไม่เชื่อนะคะแต่ดามองไม่เห็นทางสว่างต่างหาก”
“บางครั้งความมืดมันก็มีแสงสว่างอยู่ในตัวแค่เราอย่ามองข้ามผ่านไป”
“พ่อหมายถึงอะไรคะ”
“สาเหตุที่ทำให้คุณหนูเมย์เป็นแบบนี้เพราะเธอต้องสูญเสียความรักไปตั้งแต่ยังเด็กแต่เมื่อไหร่ที่ได้ความรักกลับคืนมาวันนั่นแหละที่คุณหนูจะเข้าใจทุกอย่าง”
คนฟังพยายามทบทวนประโยคที่ได้ยินแต่ก็ยังต้องส่ายหัวไปมาอยู่ดี
“แล้วเราจะไปหาความรักแบบนั้นมาให้คุณหนูได้อย่างไรคะ”
“ไม่ต้องหาหรอกเดี๋ยวมันก็มา”
“แล้วเราจะช่วยคุณหนูได้ยังไงคะ”
ภาคินจูงมือคนถามให้เดินตามอีกครั้ง
“เรื่องนี้ไม่ใช่เราแต่เป็นลูกต่างหาก ดาต้องคอยดูแลคุณหนูจนกว่าจะมีคนที่เหมาะสมและรักคุณหนูจริงๆผ่านเข้ามา”
“พ่อคะแต่ว่า…”
“ไม่มีแต่…พ่อขอสั่งให้ดาคอยปกป้องดูแลคุณหนูเมย์ในทุกๆเรื่องจนกว่าจะถึงวันนั้น”
ภาวิดาชะงักฝีเท้าทันทีพร้อมกับหันกลับไปมองยังบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหลังด้วยแววตาแห่งความกังวลใช่ว่าเธออยากจะขัดคำสั่งแต่งานนี้ไม่ได้หมูอย่างที่พ่อเธอคิดเพราะคุณหนูเมย์สินีใช่ว่าจะชอบขี้หน้าเธอเรียกว่าเข้าขั้นเกลียดเลยซะด้วยซ้ำแล้วเธอจะเอาปัญญาที่ไหนไปดูแลเจ้าหล่อนได้
และแล้วงานเลี้ยงต้อนรับสมาชิกใหม่ก็เกิดขึ้นคนงานทุกคนต่างพากันมาร่วมงานด้วยความยินดีที่จะได้เห็นนายหญิงคนใหม่ของไร่สายลมแห่งนี้
เสียงเอะอะทำให้หญิงสาวที่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องต้องเปิดหน้าต่างออกมาดูที่บ้านเธอมีงานเลี้ยงแต่เจ้าของบ้านอย่างเธอกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลยเมื่อคิดเช่นนี้อารมณ์ที่เริ่มเดือดก็ปะทุขึ้นมาอย่างยากที่จะห้ามได้ เมย์สินีเดินไปผลักประตูก่อนจะรีบเดินลงไปร่วมงานเลี้ยงอย่างรวดเร็ว
“เต็มที่นะทุกคน วันนี้ถือว่าเป็นวันครอบครัวก็แล้วกัน”
เสียงนายใหญ่ตะโกนเข้ามาทำให้คนงานแต่ละคนรู้สึกหายเกร็งขึ้นมาบ้าง
และแล้วเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงเมื่อนายใหญ่พาใครบางคนมายืนข้างๆ
“เอาล่ะๆวันนี้ทุกคนคงจะรู้ว่าจุดประสงค์ของงานคืออะไร”
คนงานที่มาร่วมมือต่างพากันเงียบแล้วจ้องมองมายังผู้เป็นนาย
“นี่คุณรสสุคนธ์และหนูวิชุดาทั้งสองคนนี้จะเข้ามาร่วมเป็นครอบครัวเดียวกับพวกเรา”
คนพูดเอื้อมมือไปจับมือของทั้งสองแม่ลูกเอาไว้
“เย้…ไร่เราจะมีนายหญิงแล้ว…”
เสียงคนงานคนหนึ่งตะโกนดังขึ้นมาและจากนั้นคนงานคนอื่นๆก็ส่งเสียงสนับสนุนตามมา
“พอแล้วๆแซวคุณท่านเดี๋ยวแกก็ได้รางวัลหรอก”
เสียงภาคินเอ็ดพวกคนงานที่เริ่มเสียงดังด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์
“ได้รางวัลก็ดีสิลุง…ใช่มั้ยพวกเรา”
คนถูกว่าเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับลูกสมุนที่ร้องเฮ้กันลั่น
“ซองขาวน่ะจะเอามั้ย”
เสียงของผู้เป็นนายเอ่ยแทรกเข้ามาทำให้วงที่ดูจะคึกคักถึงกับแตกแล้วรีบเปลี่ยนที่นั่งโดนทันที บรรยากาศที่แสนจะเป็นกันเองทำให้คนที่เพิ่งเข้ามาอยู่ใหม่รู้สึกผ่อนคลายมาบ้าง
“มีความสุขกันจังเลยนะ”
เสียงเรียบไร้อารมณ์ของคนที่เฝ้ามองเหตุการณ์เมื่อครู่ดังออกมาอันที่จริงเธอควรจะจัดการตั้งแต่เห็นคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อเดินจูงมือพาใครอีกคนเข้ามาอยู่ในบ้านแล้วแต่ยังหรอกเพราะเธอก็อยากให้ทั้งสองคนนั้นได้พบกับคำว่าความสุขในบ้านหลังนี้ก่อนแล้วจากนั้นเธอจะเปลี่ยนคำว่าสุขให้มันกลายเป็นคำว่าทุกข์ในทันทีเริ่มตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป…
“ยัยหนู”
ชัยวัฒน์หันมามองทางต้นเสียงภาพที่เห็นทำให้หัวใจของเขาหล่นวูบในทันที
“ยังจำเมย์ได้เหรอคะนึกว่าไม่เห็นหัวกันซะอีก”
“ยัยเมย์”
และแล้วงานเลี้ยงก็จบลงอย่างรวดเร็วเมื่อพวกคนงานเริ่มเล็งเห็นแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมาการแยกย้ายกลับจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ชัยวัฒน์มองคนงานที่พากันกลับออกไปด้วยสีหน้าและแววตาที่เป็นกังวัลเพราะเรื่องภายในครอบครัวแบบนี้เขาก็ไม่อยากให้ใครรับรู้มากนักเพราะมันอาจจะกระทบกับการปกครองได้
“ไปคุยกันในบ้าน”
“คุยนี่แหละค่ะ…หรือว่าคุณพ่ออาย”
“พูดอะไร”
“เมย์ถามว่าคุณพ่ออายด้วยเหรอค่ะ ถ้าอายทำไมยังกล้าทำ!”
“ยัยเมย์ฟังพ่อก่อนสิลูก”
“ในสายตาเมย์คุณพ่อหมดความน่าเชื่อถือมาตั้งนานแล้วล่ะค่ะ”
“ยัยเมย์!”
การถกถียงที่เริ่มรุนแรงขึ้นทำให้คนที่มองอยู่อย่างรสสุคนธ์ต้องรีบเข้ามาห้ามทัพ
“ใจเย็นๆก่อนนะคะคุณวัฒน์”
เมย์สินีหันมามองหน้าคนที่เดินเข้ามาแยกเธอกับพ่อให้ออกห่างกันก็ถึงกับน้ำตาซึมผู้หญิงคนนี้ใช่คนเดียวกับในรูปที่แม่ของเธอเคยให้ไว้ก่อนท่านเสียแสดงว่าพ่อของเธอยังคงติดต่อกับคนๆนี้ตลอดแล้วยังจะผู้หญิงอีกคนที่ยืนทำหน้าเศร้าเรียกคะแนนความสงสารนั่นอีกทุกข้อสงสัยกำลังประดังเข้าสู่ความคิดของเมย์สินีอย่างรวดเร็วแต่คำตอบที่ออกมากลับมีเพียงหยาดน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาแทน
“ผู้หญิงหน้าด้านฉันเกลียดเธอ!”
คนพูดตะโกนพร้อมกับผลักคนที่เข้ามาห้ามศึกในครั้งนี้จากนั้นก็หันมามองหน้าบิดาด้วยแววตาที่เจ็บปวดอย่างที่สุด
“เมย์เกลียดคุณพ่อที่สุด!”
คนพูดหันหลังวิ่งออกมาอย่างรวดเร็วเธอเจ็บปวดเกินที่จะรับไหวหัวใจของเธอมันปวดร้าวจนแทบจะแตกออกมาเป็นเสี่ยงๆจนเจ้าตัวคิดว่าอาจจะไม่มีแรงหายใจในวันต่อไปอีกก็เป็นได้
การวิ่งไปข้างหน้าโดยไร้จุดหมายทำให้ความรู้สึกเหน็บหนาวมันเข้ามาแทรกตรงกลางใจได้ง่ายดายในโลกนี้คงไม่มีใครอีกแล้วที่จะรักและห่วงใยเธอมากมายเท่ามารดาเพราะขนาดคนที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดายังเห็นคนอื่นดีกว่าเธออีกไม่ใช่สิ…บางทียัยหน้าจืดคนนั้นอาจเป็นลูกอีกคนของพ่อเธอที่รอวันเปิดเผยฐานะก็ได้ความคิดวกไปเวียนมาน้ำตาเจ้ากรรมก็ได้ทีไหลออกมาอีก หญิงสาวหลับตาลงช้าๆแต่แล้วเมย์สินีก็ต้องตกใจเมื่อมีอะไรบางอย่างมากระทบเข้าที่หน้าของตัวเองแต่เมื่อหันไปมองเธอก็ต้องสะบัดหน้าหนีด้วยเกรงว่าใครอีกคนจะมองเห็นน้ำตา
“มาทำไม”
“ผ้าเช็ดหน้าค่ะ”
เมย์สินีหันไปมองหน้าคนที่ตอบไม่ตรงกับคำถามที่เธอถามพร้อมกับดึงผ้าเช็ดหน้าที่อีกคนส่งให้อย่างรวดเร็ว
“ฉันถามว่ามาทำไม”
“มาอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูค่ะ”
“ฉันไม่ต้องการเพื่อน!”
คนพูดลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปยืนมองวิวเขาที่ตอนนี้มืดสนิทแทบมองไม่เห็นอะไรเลย
“งั้นดาขอเป็นอะไรก็ได้ค่ะขอแค่ได้ยืนอยู่ตรงนี้”
คนที่ยืนเหม่อหันมามองคนพูดก่อนจะหัวเราะออกมาน้อยๆ
“เธอไม่ต้องเป็นอะไรหรอกเพราะฉันไม่เคยต้องการเธอ”
ประโยคที่แสนจะเฉียดหัวใจคนฟังถึงกับทำให้ภาวิดาจุกจนพูดอะไรไม่ออก
“ได้ยินแล้วก็ไปสิ…ฉันอยากอยู่คนเดียว”
เงียบไร้เสียงตอบรับใดๆจากอีกคน
“นี่เธอจะกวนประสาทฉันหรือไงไปสิไปอยู่กับนายใหม่เธอสิท่าทางคงจะใจดีน่าดู”
ทำไมภาวิดาจะฟังไม่ออกว่าเป็นคำพูดประชดประชันจากอีกคนเธอจึงตัดสินใจก้าวเท้าเข้าไปหาคนพูดที่เธอมั่นใจว่าเจ้าหล่อนกำลังทำสงครามกับบ่อน้ำตาของตัวเองอยู่เป็นแน่
“ไปสิ!”
คนพูดหันหลังให้กับคนที่ก้าวเท้าเข้ามาใกล้เธออีกครั้งแต่เธอก็สัมผัสได้ว่าคนที่เธอไล่ไม่ได้ก้าวเท้าออกห่างจากเธอเลยแต่เท้าทั้งสองข้างนั้นกำลังก้าวเข้ามาใกล้เธอต่างหาก
“ฉันบอกให้…”
เมย์สินีตัดสินใจหันหน้ามาเผชิญกับไอ้คนดื้อด้านที่กล้าขัดคำสั่งเธออีกครั้งแต่ครั้งนี้เป็นความคิดที่แสนจะผิดพลาดเมื่ออีกคนก้าวเข้ามาใกล้ซะจนทำเธอเสียหลักตอนหันมา
ภาวิดาตกใจเช่นกันไม่คาดคิดว่าจู่ๆคนที่เธอเดินเข้าไปใกล้จะหันหน้ามาแต่สัญชาตญาณก็ทำให้เธอต้องรีบคว้าตัวอีกคนเข้าสู่อ้อมกอดโดยอัตโนมัติ สายตาประสาทกันโดยไม่ทันได้ตั้งตัวภาวิดากลืนน้ำลายเหนี่ยวๆลงคออย่างยากเย็นตอนนี้เธอไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้เลยแม้แต่น้อยและเป็นเมย์สินีที่ได้สติก่อนจึงรีบผลักอีกคนให้ออกห่างจากเธออย่างรวดเร็ว
“ฉันเกลียดเธอ…”
เมย์สินีตะโกนใส่คนที่เธอผลักจนล้มลงจากนั้นก็รีบวิ่งกลับเข้าบ้านทันทีนี่เธอเป็นอะไรไปทำไมรู้สึกว่าหัวใจที่อ่อนแรงเมื่อสักครู่กลับฟื้นขึ้นมาเต้นอีกครั้งและการเต้นครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องปกติซะด้วยสิเพราะมันเต้นเร็วและแรงมากอย่างที่เธอไม่เคยเป็นมาก่อน…
ทางฝ่ายคนที่ล้มลงก็ค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆดีนะที่พื้นมีแต่หญ้าไม่งั้นเธออาจหัวร้างข้างแตกก็เป็นได้แต่แทนที่เจ้าตัวจะหน้าบึ้งกลับมีรอยยิ้มบางๆมาประดับแทนท่าทางเธอจะบ้าไปแล้วที่ยิ้มได้ในสถานการณ์แบบนี้…
สนใจอ่านตอนต่อไปและเรื่องอื่นๆได้ที่
http://www.comeon-book.com/comeonv3/prof.php?WID=9007
คุณหนูที่รัก yuri ตอนที่ 3
“เอาช่วยกันหน่อย”
“ทางนี้ๆ”
“ตั้งไว้ทางนั้นเลย ดีๆ”
เสียงแม่บ้านตะโกนสั่งงานคนงานดังมาเป็นระยะๆทำให้คนที่กำลังจะเดินผ่านต้องหยุดมอง ภาพที่เห็นทำให้ภาวิดาอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อคนงานแต่ละคนตั้งใจช่วยกันทำงานอย่างขยันขันแข็งไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะเอาเปรียบคุณท่านโชคดีจริงๆที่ได้คนเหล่านี้มาทำงานแต่จะว่าไปพวกเราคนงานทุกคนต่างหากที่โชคดีได้เจ้านายที่แสนดีคนนี้
“เหม่ออะไรอยู่ยัยดาเร็วเข้า”
เสียงผู้เป็นพ่อดังมาแต่ไกลทำให้คนที่เอาแต่มองโน่นนี่นั่นต้องรีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว
“พ่อรอดาด้วย”
ภาคินหยุดเดินแล้วหันกลับมามองหน้าคนที่กำลังวิ่งตามมา
“โอ๊ย!...พ่ออะหยุดก็ไม่บอก”
“ก็เรานั่นแหละเอาแต่มองข้างทางไม่มองทางเดินเอง”
“พ่ออะ…”
“เอาล่ะๆไม่เถียงด้วยแล้วพ่อมีเรื่องจะคุยด้วย”
ภาคินเปลี่ยนจากสีหน้าที่ยิ้มแย้มกลับเข้าสู่ใบหน้าจริงจังอีกครั้ง ภาวิดามองคนพูดก่อนจะเอื้อมมือมาจับที่แขนบิดา
“เรื่องคืนนี้ใช่มั้ยคะ”
“อืม…ลูกคงรู้ว่ามีบางอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป”
“ค่ะ”
“ดาคิดยังไง”
คนถูกถามถึงกับอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มบางๆให้กับบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ไม่รู้สิคะดารู้แค่ว่าสงสารคุณหนู”
ภาคินเอื้อมมือไปลูบที่ศีรษะของบุตรสาวก่อนจะเปลี่ยนมาจูงมือให้เดินไปข้างหน้าพร้อมๆกัน
“พ่อรู้…แต่เราก็ต้องเห็นใจคุณท่านบ้างอีกอย่างทุกอย่างมันก็ผ่านมานานจนบางทีเวลาก็อาจจะเยียวยาทุกอย่างได้บ้างแล้ว”
“พ่อคิดว่าอย่างนั้นเหรอคะ”
คนถูกถามหยุดเดินพร้อมกับหันมามองหน้าคนพูด
“ถ้าเวลาช่วยไม่ได้ก็ต้องเป็นหน้าที่ของคนแล้วล่ะที่ต้องช่วยกัน”
“หน้าที่ของคน…”
คนฟังได้แต่ยืนเกาหัวด้วยไม่เข้าใจในสิ่งที่บิดาพูด
“ใช่หน้าที่ของคน…ของเราทุกคนที่จะช่วยเปลี่ยนหัวใจที่ด้านชาของคุณหนูให้กลับมาเป็นก้อนเนื้ออีกครั้ง”
คราวนี้ภาวิดาถึงกับถอนหายใจออกมาเพราะเธอไม่เห็นหนทางหรือใครหน้าไหนที่จะเข้ามาเปลี่ยนคุณหนูเมย์สินีของเธอได้เลย
“ดาไม่เชื่อเหรอ”
“ไม่ใช่ดาไม่เชื่อนะคะแต่ดามองไม่เห็นทางสว่างต่างหาก”
“บางครั้งความมืดมันก็มีแสงสว่างอยู่ในตัวแค่เราอย่ามองข้ามผ่านไป”
“พ่อหมายถึงอะไรคะ”
“สาเหตุที่ทำให้คุณหนูเมย์เป็นแบบนี้เพราะเธอต้องสูญเสียความรักไปตั้งแต่ยังเด็กแต่เมื่อไหร่ที่ได้ความรักกลับคืนมาวันนั่นแหละที่คุณหนูจะเข้าใจทุกอย่าง”
คนฟังพยายามทบทวนประโยคที่ได้ยินแต่ก็ยังต้องส่ายหัวไปมาอยู่ดี
“แล้วเราจะไปหาความรักแบบนั้นมาให้คุณหนูได้อย่างไรคะ”
“ไม่ต้องหาหรอกเดี๋ยวมันก็มา”
“แล้วเราจะช่วยคุณหนูได้ยังไงคะ”
ภาคินจูงมือคนถามให้เดินตามอีกครั้ง
“เรื่องนี้ไม่ใช่เราแต่เป็นลูกต่างหาก ดาต้องคอยดูแลคุณหนูจนกว่าจะมีคนที่เหมาะสมและรักคุณหนูจริงๆผ่านเข้ามา”
“พ่อคะแต่ว่า…”
“ไม่มีแต่…พ่อขอสั่งให้ดาคอยปกป้องดูแลคุณหนูเมย์ในทุกๆเรื่องจนกว่าจะถึงวันนั้น”
ภาวิดาชะงักฝีเท้าทันทีพร้อมกับหันกลับไปมองยังบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหลังด้วยแววตาแห่งความกังวลใช่ว่าเธออยากจะขัดคำสั่งแต่งานนี้ไม่ได้หมูอย่างที่พ่อเธอคิดเพราะคุณหนูเมย์สินีใช่ว่าจะชอบขี้หน้าเธอเรียกว่าเข้าขั้นเกลียดเลยซะด้วยซ้ำแล้วเธอจะเอาปัญญาที่ไหนไปดูแลเจ้าหล่อนได้
และแล้วงานเลี้ยงต้อนรับสมาชิกใหม่ก็เกิดขึ้นคนงานทุกคนต่างพากันมาร่วมงานด้วยความยินดีที่จะได้เห็นนายหญิงคนใหม่ของไร่สายลมแห่งนี้
เสียงเอะอะทำให้หญิงสาวที่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องต้องเปิดหน้าต่างออกมาดูที่บ้านเธอมีงานเลี้ยงแต่เจ้าของบ้านอย่างเธอกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลยเมื่อคิดเช่นนี้อารมณ์ที่เริ่มเดือดก็ปะทุขึ้นมาอย่างยากที่จะห้ามได้ เมย์สินีเดินไปผลักประตูก่อนจะรีบเดินลงไปร่วมงานเลี้ยงอย่างรวดเร็ว
“เต็มที่นะทุกคน วันนี้ถือว่าเป็นวันครอบครัวก็แล้วกัน”
เสียงนายใหญ่ตะโกนเข้ามาทำให้คนงานแต่ละคนรู้สึกหายเกร็งขึ้นมาบ้าง
และแล้วเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงเมื่อนายใหญ่พาใครบางคนมายืนข้างๆ
“เอาล่ะๆวันนี้ทุกคนคงจะรู้ว่าจุดประสงค์ของงานคืออะไร”
คนงานที่มาร่วมมือต่างพากันเงียบแล้วจ้องมองมายังผู้เป็นนาย
“นี่คุณรสสุคนธ์และหนูวิชุดาทั้งสองคนนี้จะเข้ามาร่วมเป็นครอบครัวเดียวกับพวกเรา”
คนพูดเอื้อมมือไปจับมือของทั้งสองแม่ลูกเอาไว้
“เย้…ไร่เราจะมีนายหญิงแล้ว…”
เสียงคนงานคนหนึ่งตะโกนดังขึ้นมาและจากนั้นคนงานคนอื่นๆก็ส่งเสียงสนับสนุนตามมา
“พอแล้วๆแซวคุณท่านเดี๋ยวแกก็ได้รางวัลหรอก”
เสียงภาคินเอ็ดพวกคนงานที่เริ่มเสียงดังด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์
“ได้รางวัลก็ดีสิลุง…ใช่มั้ยพวกเรา”
คนถูกว่าเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับลูกสมุนที่ร้องเฮ้กันลั่น
“ซองขาวน่ะจะเอามั้ย”
เสียงของผู้เป็นนายเอ่ยแทรกเข้ามาทำให้วงที่ดูจะคึกคักถึงกับแตกแล้วรีบเปลี่ยนที่นั่งโดนทันที บรรยากาศที่แสนจะเป็นกันเองทำให้คนที่เพิ่งเข้ามาอยู่ใหม่รู้สึกผ่อนคลายมาบ้าง
“มีความสุขกันจังเลยนะ”
เสียงเรียบไร้อารมณ์ของคนที่เฝ้ามองเหตุการณ์เมื่อครู่ดังออกมาอันที่จริงเธอควรจะจัดการตั้งแต่เห็นคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อเดินจูงมือพาใครอีกคนเข้ามาอยู่ในบ้านแล้วแต่ยังหรอกเพราะเธอก็อยากให้ทั้งสองคนนั้นได้พบกับคำว่าความสุขในบ้านหลังนี้ก่อนแล้วจากนั้นเธอจะเปลี่ยนคำว่าสุขให้มันกลายเป็นคำว่าทุกข์ในทันทีเริ่มตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป…
“ยัยหนู”
ชัยวัฒน์หันมามองทางต้นเสียงภาพที่เห็นทำให้หัวใจของเขาหล่นวูบในทันที
“ยังจำเมย์ได้เหรอคะนึกว่าไม่เห็นหัวกันซะอีก”
“ยัยเมย์”
และแล้วงานเลี้ยงก็จบลงอย่างรวดเร็วเมื่อพวกคนงานเริ่มเล็งเห็นแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมาการแยกย้ายกลับจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ชัยวัฒน์มองคนงานที่พากันกลับออกไปด้วยสีหน้าและแววตาที่เป็นกังวัลเพราะเรื่องภายในครอบครัวแบบนี้เขาก็ไม่อยากให้ใครรับรู้มากนักเพราะมันอาจจะกระทบกับการปกครองได้
“ไปคุยกันในบ้าน”
“คุยนี่แหละค่ะ…หรือว่าคุณพ่ออาย”
“พูดอะไร”
“เมย์ถามว่าคุณพ่ออายด้วยเหรอค่ะ ถ้าอายทำไมยังกล้าทำ!”
“ยัยเมย์ฟังพ่อก่อนสิลูก”
“ในสายตาเมย์คุณพ่อหมดความน่าเชื่อถือมาตั้งนานแล้วล่ะค่ะ”
“ยัยเมย์!”
การถกถียงที่เริ่มรุนแรงขึ้นทำให้คนที่มองอยู่อย่างรสสุคนธ์ต้องรีบเข้ามาห้ามทัพ
“ใจเย็นๆก่อนนะคะคุณวัฒน์”
เมย์สินีหันมามองหน้าคนที่เดินเข้ามาแยกเธอกับพ่อให้ออกห่างกันก็ถึงกับน้ำตาซึมผู้หญิงคนนี้ใช่คนเดียวกับในรูปที่แม่ของเธอเคยให้ไว้ก่อนท่านเสียแสดงว่าพ่อของเธอยังคงติดต่อกับคนๆนี้ตลอดแล้วยังจะผู้หญิงอีกคนที่ยืนทำหน้าเศร้าเรียกคะแนนความสงสารนั่นอีกทุกข้อสงสัยกำลังประดังเข้าสู่ความคิดของเมย์สินีอย่างรวดเร็วแต่คำตอบที่ออกมากลับมีเพียงหยาดน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาแทน
“ผู้หญิงหน้าด้านฉันเกลียดเธอ!”
คนพูดตะโกนพร้อมกับผลักคนที่เข้ามาห้ามศึกในครั้งนี้จากนั้นก็หันมามองหน้าบิดาด้วยแววตาที่เจ็บปวดอย่างที่สุด
“เมย์เกลียดคุณพ่อที่สุด!”
คนพูดหันหลังวิ่งออกมาอย่างรวดเร็วเธอเจ็บปวดเกินที่จะรับไหวหัวใจของเธอมันปวดร้าวจนแทบจะแตกออกมาเป็นเสี่ยงๆจนเจ้าตัวคิดว่าอาจจะไม่มีแรงหายใจในวันต่อไปอีกก็เป็นได้
การวิ่งไปข้างหน้าโดยไร้จุดหมายทำให้ความรู้สึกเหน็บหนาวมันเข้ามาแทรกตรงกลางใจได้ง่ายดายในโลกนี้คงไม่มีใครอีกแล้วที่จะรักและห่วงใยเธอมากมายเท่ามารดาเพราะขนาดคนที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดายังเห็นคนอื่นดีกว่าเธออีกไม่ใช่สิ…บางทียัยหน้าจืดคนนั้นอาจเป็นลูกอีกคนของพ่อเธอที่รอวันเปิดเผยฐานะก็ได้ความคิดวกไปเวียนมาน้ำตาเจ้ากรรมก็ได้ทีไหลออกมาอีก หญิงสาวหลับตาลงช้าๆแต่แล้วเมย์สินีก็ต้องตกใจเมื่อมีอะไรบางอย่างมากระทบเข้าที่หน้าของตัวเองแต่เมื่อหันไปมองเธอก็ต้องสะบัดหน้าหนีด้วยเกรงว่าใครอีกคนจะมองเห็นน้ำตา
“มาทำไม”
“ผ้าเช็ดหน้าค่ะ”
เมย์สินีหันไปมองหน้าคนที่ตอบไม่ตรงกับคำถามที่เธอถามพร้อมกับดึงผ้าเช็ดหน้าที่อีกคนส่งให้อย่างรวดเร็ว
“ฉันถามว่ามาทำไม”
“มาอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูค่ะ”
“ฉันไม่ต้องการเพื่อน!”
คนพูดลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปยืนมองวิวเขาที่ตอนนี้มืดสนิทแทบมองไม่เห็นอะไรเลย
“งั้นดาขอเป็นอะไรก็ได้ค่ะขอแค่ได้ยืนอยู่ตรงนี้”
คนที่ยืนเหม่อหันมามองคนพูดก่อนจะหัวเราะออกมาน้อยๆ
“เธอไม่ต้องเป็นอะไรหรอกเพราะฉันไม่เคยต้องการเธอ”
ประโยคที่แสนจะเฉียดหัวใจคนฟังถึงกับทำให้ภาวิดาจุกจนพูดอะไรไม่ออก
“ได้ยินแล้วก็ไปสิ…ฉันอยากอยู่คนเดียว”
เงียบไร้เสียงตอบรับใดๆจากอีกคน
“นี่เธอจะกวนประสาทฉันหรือไงไปสิไปอยู่กับนายใหม่เธอสิท่าทางคงจะใจดีน่าดู”
ทำไมภาวิดาจะฟังไม่ออกว่าเป็นคำพูดประชดประชันจากอีกคนเธอจึงตัดสินใจก้าวเท้าเข้าไปหาคนพูดที่เธอมั่นใจว่าเจ้าหล่อนกำลังทำสงครามกับบ่อน้ำตาของตัวเองอยู่เป็นแน่
“ไปสิ!”
คนพูดหันหลังให้กับคนที่ก้าวเท้าเข้ามาใกล้เธออีกครั้งแต่เธอก็สัมผัสได้ว่าคนที่เธอไล่ไม่ได้ก้าวเท้าออกห่างจากเธอเลยแต่เท้าทั้งสองข้างนั้นกำลังก้าวเข้ามาใกล้เธอต่างหาก
“ฉันบอกให้…”
เมย์สินีตัดสินใจหันหน้ามาเผชิญกับไอ้คนดื้อด้านที่กล้าขัดคำสั่งเธออีกครั้งแต่ครั้งนี้เป็นความคิดที่แสนจะผิดพลาดเมื่ออีกคนก้าวเข้ามาใกล้ซะจนทำเธอเสียหลักตอนหันมา
ภาวิดาตกใจเช่นกันไม่คาดคิดว่าจู่ๆคนที่เธอเดินเข้าไปใกล้จะหันหน้ามาแต่สัญชาตญาณก็ทำให้เธอต้องรีบคว้าตัวอีกคนเข้าสู่อ้อมกอดโดยอัตโนมัติ สายตาประสาทกันโดยไม่ทันได้ตั้งตัวภาวิดากลืนน้ำลายเหนี่ยวๆลงคออย่างยากเย็นตอนนี้เธอไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้เลยแม้แต่น้อยและเป็นเมย์สินีที่ได้สติก่อนจึงรีบผลักอีกคนให้ออกห่างจากเธออย่างรวดเร็ว
“ฉันเกลียดเธอ…”
เมย์สินีตะโกนใส่คนที่เธอผลักจนล้มลงจากนั้นก็รีบวิ่งกลับเข้าบ้านทันทีนี่เธอเป็นอะไรไปทำไมรู้สึกว่าหัวใจที่อ่อนแรงเมื่อสักครู่กลับฟื้นขึ้นมาเต้นอีกครั้งและการเต้นครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องปกติซะด้วยสิเพราะมันเต้นเร็วและแรงมากอย่างที่เธอไม่เคยเป็นมาก่อน…
ทางฝ่ายคนที่ล้มลงก็ค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆดีนะที่พื้นมีแต่หญ้าไม่งั้นเธออาจหัวร้างข้างแตกก็เป็นได้แต่แทนที่เจ้าตัวจะหน้าบึ้งกลับมีรอยยิ้มบางๆมาประดับแทนท่าทางเธอจะบ้าไปแล้วที่ยิ้มได้ในสถานการณ์แบบนี้…
สนใจอ่านตอนต่อไปและเรื่องอื่นๆได้ที่ http://www.comeon-book.com/comeonv3/prof.php?WID=9007