นิยายเรื่องคุณหนูที่รัก yuri ตอนที่ 1

กระทู้สนทนา
โครม!...เสียงอุบัติเหตุครั้งใหญ่บนท้องถนนทำให้ผู้คนแตกตื่นพากันวิ่งออกมาดูช่างเป็นภาพเหตุการณ์ที่แสนจะหดหู่สำหรับผู้ที่พบเห็นจริงๆ

    ณ โรงพยาบาลชื่อดังในตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่เกิดความโกลาหลขึ้นทันทีเมื่อมีการลำเรียงผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถชนดังกล่าวมารักษาตัว
    
    ชายหนุ่มอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยพร้อมกับรีบวิ่งเข้าไปดูอาการผู้บาดเจ็บซึ่งหนึ่งในนั้นมีภรรยาของเขารวมอยู่ด้วย แต่เมื่อเข้ามาเห็นภาพผู้เป็นพ่อต้องรีบเอามือปิดตาลูกสาวไว้ทันทีเพราะไม่อยากให้เด็กน้อยเห็นภาพน่ากลัวแบบนี้แต่ก็เหมือนจะสายไปเมื่อทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ถูกบันทึกและเก็บไว้ในความทรงจำที่แสนจะเลวร้ายของเด็กหญิงเมย์สินีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงคุณหมอที่เข้าไปรักษาก็เดินทำหน้านิ่งออกมา
    “ภรรยาผมเป็นไงบ้างครับคุณหมอ”
    ชัยวัฒน์วิ่งเข้าไปถามหมอที่กำลังเดินออกมาอย่างร้อนใจ
    “ทำใจดีๆไว้นะครับหมอพยายามเต็มที่แล้ว”
    “คืออะไรครับภรรยาของผมเค้า…เค้าต้องไม่เป็นไรสิครับเธอเข้มแข็งเธอต้องไม่เป็นอะไรสิครับหมอ”
    ไม่พูดเปล่าชายหนุ่มเดินเข้าไปกระชากหมอที่ยืนทำท่าทางสิ้นหวังเข้ามาประจักษ์หน้าอย่างลืมตัว
    “หมอว่าคุณใจเย็นๆก่อนนะครับ”
    คุณหมอเจ้าของไข้ยังคงมีท่าทางใจเย็นจนคนใจร้อนเริ่มได้สติจึงรีบปล่อยมือทันที
    “ผมขอโทษครับ”
    “ไม่เป็นไรครับหมอเข้าใจ”
    “แล้วภรรยาผมละครับ”
    “เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมากจริงๆอย่างที่คุยบอกครับ”
    คุณหมอพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปจับแก้มเด็กหญิงตัวน้อยที่ยืนร้องไห้เหมือนคนใจจะขาด
    “เธอขอพบลูกสาวเป็นครั้งสุดท้าย”
    ชายหนุ่มฟังประโยคที่คนตรงหน้าพูดพร้อมกับระบายลมหายใจออกมาน้อยๆนี่ขนาดอยู่ในนาทีเป็นนาทีตายภรรยาของเขาก็ยังมากด้วยทิฐิจนไม่ยอมพบหน้าเขา
    “แล้วผมละครับขอเข้าไปดูเธอได้มั้ย”
    “คนไข้ร้องแต่จะพบลูกนะครับแล้วปฏิเสธที่จะให้คนอื่นเข้าไปหมอเกรงว่าถ้ามีคนอื่นเข้าไปด้วยอาการเธออาจจะ…”
    “ครับผมเข้าใจ”
    คนฟังรีบพูดตัดบททันทีเพราะไม่อยากจะได้ยินประโยคอะไรที่บั่นทอนความรู้สึกอีก

    เด็กหญิงวัย7ขวบค่อยๆก้าวเข้าห้องICUด้วยหัวใจที่แสนปวดร้าวยิ่งเห็นมารดาของตัวเองในสภาพที่มีผ้าพันเต็มตัวแถมทั้งตัวยังมีสายอะไรไม่รู้ห้อยระโยงระยางเต็มไปหมดอีก
    คนที่นอนอยู่บนเตียงแลสายตาไปมองเด็กน้อยที่กำลังเดินมาทางเธอหยาดน้ำตาค่อยๆไหลรินออกมานี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้เห็นหน้าดวงใจอันเป็นที่รักเรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะผู้หญิงไร้ยางอายคนนั้นคนเดียวที่เข้ามาสร้างความพินาศให้กับครอบครัวของเธอ
    หญิงสาวรวบรวมเรี่ยวแรงครั้งสุดท้ายดึงเอาเครื่องช่วยหายใจออกพร้อมกับโอบกอดเด็กน้อยด้วยกำลังที่มีอยู่ความอ่อนแรงของมารดาทำให้ร่างน้อยๆเป็นฝ่ายกระชับอ้อมกอดนั้นแทนสองแม่ลูกต่างซึมซับความอบอุ่นของกันและกันเพราะต่างรู้ดีว่าจะไม่มีเวลาแห่งความสุขนี้อีกแล้ว
    “แม่จ๋า…แม่จ๋า”
    เด็กหญิงร้องเรียกชื่อมารดาด้วยน้ำเสียงที่ตกใจเป็นที่สุดเมื่อมองเห็นท่าทางที่เริ่มแย่ของอีกคนบนเตียง มธุมาศส่งบางอย่างให้เด็กน้อยก่อนจะกระซิบประโยคบางอย่างที่ทำให้เด็กหญิงเมย์สินีถึงกับกำภาพในมือไว้แน่นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินออกมา
    ชัยวัฒน์มองภาพสองแม่ลูกกอดกันพร้อมกับหยาดน้ำตาลูกผู้ชายที่ไหลออกมาทุกอย่างเป็นความผิดของเขาเองมันเป็นความไม่ชัดเจน โลเลจนทุกอย่างล่วงเลยมาจนถึงวันนี้วันที่ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก ชายหนุ่มผลักประตูห้องICUพร้อมกับเดินเข้าไปอุ้มลูกสาวตัวน้อยที่ยืนกอดร่างไร้วิญญาณของคนบนเตียง
    “แม่เค้าไปสบายแล้วอย่างร้องไห้เลยนะยัยหนู”
    เด็กน้อยร้องไห้ตัวสั่นเทาพร้อมกับเอามือน้อยๆทุบคนที่แยกเธอออกจากมารดา
    “ปล่อยหนู…พ่อใจร้าย…พ่อใจร้าย”
    เสียงจากคนในอ้อมกอดทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกปวดร้าวราวกับคนที่ตายทั้งเป็นต่อแต่นี้ต่อไปครอบครัวที่ไร้ซึ่งความสมบูรณ์จะเป็นไปในแนวทางไหนกันนะ

    ชัยวัฒน์มองดูลูกสาวที่ยืนเหม่ออยู่คนเดียวตั้งแต่เสร็จสิ้นงานศพของมารดาเด็กน้อยก็เอาแต่นิ่งเงียบไม่ยอมพูดคุยกับใครยิ่งกับตัวเขาด้วยแล้วเด็กน้อยก็ยิ่งไม่แม้แต่จะมองหน้า
    “คุณท่านเรียกผมหรือครับ”
    เจ้าของห้องหันไปมองคนที่เข้ามาใหม่พร้อมกับพยักหน้ารับ
    “ใช่…ฉันมีเรื่องจะขอให้นายช่วย”
    ภาคินหันไปมองหน้าผู้เป็นนายแป๊บหนึ่งก่อนจะก้มหน้าลง
    “อย่าพูดอย่างนั้นสิครับคุณท่านช่วยเหลือผมและครอบครัวมาทั้งชีวิตมีอะไรที่ผมจะทำให้ได้ผมก็เต็มใจ”
    ชัยวัฒน์มองคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าแล้วระบายยิ้มออกมา ภาคินเป็นคนเก่าคนแก่ที่มีความจงรักภักดีต่อเขามานานจนถือได้ว่าเป็นคนสนิทที่เขาไว้วางใจมากที่สุดและหวังว่าสิ่งที่เขาจะทำต่อจากนี้จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนที่เขารัก
    “ได้ข่าวว่านายมีลูกสาว”
    คนถูกถามทำหน้าแปลกใจกับคำถามเล็กน้อย
    “ครับ”
    “อายุเท่าไหร่ละ เท่ายัยหนูของฉันมั้ย”
    “คงจะต่างกันสัก2ปีครับลูกสาวผมเนพิ่ง5ขวบ”
    ผู้เป็นนายพยักหน้ารับรู้พร้อมกับชี้มือไปยังเด็กน้อยที่อยืนอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน
    “นายคิดว่าลูกสาวฉันกับลูกสาวนายจะเป็นเพื่อนกันได้มั้ย”
    “คุณท่านคือผมไม่อาจ…”
    ชัยวัฒน์ยกมือห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูดต่อ
    “ถ้าฉันจะให้นายพาลูกสาวนายมาอยู่ที่นี่นายจะตกลงมั้ย”
    คนฟังทำหน้าตกใจเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินประโยคที่เจ้านายเอ่ยออกมาเพราะลำพังตัวเขาเองก็รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณคนตรงหน้ามากมายแล้วหากจะพาลูกสาวมาอยู่ที่นี่อีกก็คงเหมือนการเอาภาระมาเพิ่มให้กับเจ้าของบ้าน
    “มันจะดีเหรอครับคุณท่านแค่นี้ผมก็เกรงใจคุณท่านจะแย่อยู่แล้ว”
    “เอาเถอะน่ะฉันช่วยนายนายก็ช่วยฉันด้วยตามนี้นะ”
    คนพูดหันไปมองร่างน้อยๆที่ยืนเศร้าอยู่เพียงลำพังต่อแต่นี้ไปเขาจะส่งคนที่ไว้ใจได้ไปคอยดูแลลูกสาวแทนเขาเชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไปบุตรสาวจะเข้าใจและยอมให้อภัยเขาในที่สุดเขาหวังอย่างนั้น…
    
    ทางด้านคนที่ถูกคำขอร้องปนคำสั่งให้พาลูกสาวของตัวเองเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ก็ค่อยๆฉีกยิ้มออกมา แต่นี้ต่อไปเขาจะได้ดูแลลูกสาวของตัวเองอย่างเต็มตัวซักทีหลังจากที่เมียของเขาได้ตายจากไปเขาก็ได้ฝากฝังลูกสาวคนเดียวไว้กับญาติๆแถวบ้านเกิดเพราะไม่กล้าที่จะพามาอยู่ที่นี่ด้วยความเกรงใจนายแต่มาวันนี้เหมือนฟ้าจะประทานคำตอบที่เขาเฝ้ารอมานานแสนนาน…

    เด็กหญิงวัย5ขวบเดินจูงมือผู้เป็นพ่อเข้ามาในไร่ส้มที่มีพื้นที่ที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือสิ่งรอบข้างทำให้เด็กน้อยรู้สึกตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมากและที่ทำให้เด็กหญิงภาวิดาถึงกับสะดุดตามากถึงขั้นต้องหยุดเดินแล้วหันไปจ้องมองแบบไม่กระพริบตาจนคนที่เดินนำหน้าต้องหยุดเดินแล้วหันกลับมามองยังคนที่อยู่ๆก็หยุดเดินแบบไม่บอกกล่าว ชายหนุ่มหันไปมองตามบุตรสาวตัวน้อยอย่างสงสัยและเมื่อเห็นว่าลูกสาวกำลังมองอะไรอยู่ชายหนุ่มก็ถึงกับคลี่ยิ้ม
    “นั่นแหละคุณหนูเมย์สินีที่ลูกต้องคอยดูแล”
    เด็กหญิงหันมามองคนพูดด้วยใบหน้าที่สงสัย
    “ต่อไปลูกก็จะเข้าใจ จำคำพ่อไว้แค่อย่างเดียวว่าทั้งคุณชัยวัฒน์และคุณหนูเมย์ท่านทั้งสองมีบุญคุณท่วมหัวเราสองพ่อลูกไม่ว่าท่านจะสั่งอะไรเราก็ต้องทำ…รู้มั้ยลูก”
    คนฟังพยักหน้าน้อยๆแม้เธอจะเป็นแค่เด็กน้อยแต่ทุกวันที่ผ่านมาเธอถูกพร่ำสอนให้รู้จักกับการทดแทนบุญคุณมาตลอด เด็กน้อยหันไปมองภาพเด็กหญิงที่กำลังมองมาทางเธอจากนั้นก็เดินหันหลังจากไปดูเผินๆมันอาจเป็นภาพที่ธรรมดาสำหรับใครหลายๆคนแต่สำหรับเธอภาพเมื่อสักครู่มันช่างดูงดงามและตรึงหัวใจดวงน้อยของเธอให้หยุดอยู่ที่ตรงนี้ได้อย่างมหัศจรรย์จริงๆ

    ภายในบ้านหลังใหญ่คุณชัยวัฒน์เรียกทุกคนที่อยู่ในบ้านให้เข้ามาพบพร้อมกับแนะนำผู้มาอยู่ใหม่ให้กับทุกคนได้รู้จัก
    “เอาล่ะรู้จักกันแล้วก็แยกย้ายไปทำงานได้ อ่าวยัยเมย์มานี่สิลูก”
    คำเรียกของบิดาหาได้ทำให้เด็กน้อยเดินเข้าไปหาแต่เมย์สินีกลับเดินตรงไปหาคนที่มาใหม่พร้อมกับจ้องเข้าไปในแววตาของอีกคน
    “นี่ไงลูกเพื่อนเล่นคนไหม่ของหนู”
    ชัยวัฒน์เป็นฝ่ายเดินเข้าไปใกล้ลูกสาวพร้อมกับย่อตัวลงส่งยิ้มให้เด็กน้อยทั้งสองคน เด็กหญิงภาวิดายิ้มกว้างตอบรับคนพูดพร้อมกับหันไปมองเด็กหญิงอีกคนที่ยังคงทำหน้านิ่ง
    “ยังไงหนูก็เกลียดคุณพ่ออยู่ดี”
    พูดจบเด็กน้อยก็วิ่งขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว ชัยวัฒน์มองกิริยาของคนที่เพิ่งจากไปอย่างเจ็บปวดแต่เขาก็พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุดแล้วก็หันมาบอกให้ทุกคนแยกย้ายไปทำงาน
    
    นับจากวันนั้นภาวิดาก็ต้องมีชีวิตที่เปลี่ยนไปเวลาผ่านไปจากวันเป็นเดือนจากเดือนเป็นปีเด็กสาววัย14หันไปมองรอบๆตัวพร้อมกับรอยยิ้มบางๆที่ผุดขึ้นมาทุกอย่างที่นี่ทำให้เธอและพ่อมีชีวิตที่ดีขึ้นรวมไปถึง…
    “ยัยแว่น!”
    คนถูกเรียกไม่ต้องหันไปมองก็พอจะรู้ได้ว่าคนที่เรียกเธอคือใคร รอยยิ้มที่ปรากฏเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นการถอนหายใจพร้อมกับการก้าวเท้าไปยังคนที่เรียกเธอ
    “หูหนวกหรือไงเรียกหาก็ไม่ตอบ”
    น้ำเสียงที่บ่งบอกความไม่พอใจเป็นที่สุดของคนพูดทำให้คนที่กำลังเดินมาถึงกับต้องรีบเปลี่ยนเป็นวิ่งทันที
    “ขอโทษค่ะคุณหนูมีอะไรให้ดารับใช้คะ”    
    “ก็ต้องมีสิถามได้ไม่มีจะเรียกมาให้รกหูรกตาทำไม”
    “ค่ะ”
    คำตอบรับสั้นๆที่คนถูกว่าเผลอพูดออกมาเบาๆทำให้คนฟังถึงกับออกอาการฉุนจัด
    “ประชดฉันเหรอเดี๋ยวเถอะ”
    “ปละ…ปะเปล่าค่ะ…คุณหนูมีอะไรให้ดารับใช้คะ”
    คนถูกถามไม่ตอบแต่กลับยื่นบางอย่างให้อีกคนแทน
    “สมุด”
    “ใช่สิ!...เห็นเป็นปากกาหรือไงเอาไปทำให้ด้วย”
    ภาวิดาเงยหน้ามองไปยังคนสั่งเธอก่อนจะรีบก้มหน้าลงอย่างเคยชินตั้งแต่ที่เธอมาอยู่ที่นี่เธอก็ไม่เคยมองหน้าคุณหนูของเธอได้นานเลยสักครั้งอาจเพราะความเจียมตัวที่เธอคอยย้ำกับตัวเองเสมอว่าเธอไม่อาจจะเทียบชั้นกับคนตรงหน้าได้เลยและที่สำคัญสายตาของนายสาวที่ทำให้เธอเข้าใจโดยไม่ต้องสื่อความหมายออกมาเป็นคำพูด
    “ยังจะนิ่งอยู่อีกไปทำสิ!”
    “ค่ะ”
    เมย์สินีมองตามหลังคนที่เธอเพิ่งไล่ตะเพิดไปอย่างนึกอารมณ์เสีย
    “เห็นหน้ายัยดาแว่นแล้วอารมณ์เสียทุกทีสิน่า”
    คนพูดกล่าวพร้อมกับหันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้านแต่คนที่ถูกว่ากลับชะงักเท้าพร้อมกับหันกลับมามองคนที่ว่าให้เธอภาวิดายกมือขยับแว่นเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมายังปลายทางที่เธอกำลังจะมุ่งหน้าไป
    หลังจากนั่งทำการบ้านที่ถูกสั่งให้ทำเสร็จภาวิดาก็ถึงกับกุมขมับอันที่จริงการบ้านเธอกับคุณหนูก็หัวข้อเดียวกันแต่หากจะลอกของเธอใส่ให้ก็เกรงว่าครูจะจับได้เธอจึงต้องมานั่งทำให้อีกการเรียบเรียงอะไรใหม่มันดูจะยุ่งและยากสำหรับเธออยู่มากแต่จะว่าไปเธอน่าจะชินได้แล้วเพราะตั้งแต่เรียนมาคุณหนูของเธอเคยทำการบ้านหรือรายงานเองซะทีไหน
    “ทำอะไรอยู่ลูก”
    ภาคินเดินมานั่งข้างๆก่อนจะก้มมองหนังสือที่อยู่ในมือบุตรสาว
    “เอ่อ…ทำการบ้านค่ะ”
    “แต่พ่อว่าเห็นดาทำเมื่อคืนแล้วนิ”
    “คือ…ทำยังไม่เสร็จนะจ่ะพ่อดาเอาไปให้เอ้ย…ดาไป…ไปก่อนนะจ๊ะ”
    คนพูดรีบลุกเดินออกไปทันที ภาคินมองตามพร้อมกับส่ายหัวกับอาการแปลกๆของคนที่รีบเดินออกไปใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแต่สิ่งที่ทำได้คงมีเพียงการปล่อยให้มันเป็นไปเพราะหากจะให้ขัดใจคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้านายก็คงจะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว…
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่