บทที่ 1
http://ppantip.com/topic/30719163
=======================
ทางลัดพิศวง.......บทที่ 2 หมู่บ้าน
=======================
ความเดิม
หญิงสาวกรีดร้องสุดเสียงแบบไม่เกรงใจใคร แทบหมดสติด้วยความตกใจ แต่สัญชาตญาณยังครบถ้วน เธอกระทืบคันเร่งเต็มแรงรถพุ่งพรวดแทบแฉลบลงข้างถนน แต่หญิงสาวถึงจะตกใจปานใดมือยังหมุนพวงมาลันรถบังคับให้รถกลับมาในเส้นทางอย่างหวุดหวิด มองทางกระจกมองหลัง เห็นคนเหล่านั้นวิ่งตามมาติดๆ มือไขว่คว้าไปมาในอากาศอย่างน่าขนลุกและน่าสะพรึงกลัวกับกิริยาอากาศอันวิปริตผิดธรรมชาติแบบนั้น
ภาจิรัตน์ หญิงสาวผู้เดินทางกลับกรุงเทพ โดยใช้ทางลัด ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้พบกับสิ่งที่น่ากลัวมากขึ้นทุกที่
ช่วงนั้นสภาพของถนนไม่ค่อยดีนัก บางครั้งรถกระแทกหลุมบ่อเอียงวูบวาบแต่หญิงสาวไม่รู้สึกอะไรนอกจากพยายามขับให้เร็วเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าจะไม่หันไปมองข้างหลังแล้วก็ตาม ในความรู้สึกยังมองเห็นภาพผู้คนเหล่านั้นชัดเจนในห้วงความคิด เห็นชัดขนาดมองออกว่าใบหน้าขาวซีดของคนพวกนั้นกำลังปากเหมือนพยายามบอกอะไรบางอย่าง สองมือตะกายไขว่คว้าไปในอากาศหรือยื่นตรงมาข้างหน้าคล้ายเปรตขอส่วนบุญ เป็นภาพติดตามนานอยู่หลายนาทีกว่าจะจางหายไป
ภาจิรัตน์ขับรถแบบไม่คิดชีวิต เป็นระยะทางไกลเท่าไรก็สุดจะคำนวณ กระทั่งใจคอเริ่มสงบลงบ้าง จึงกล้าหันไปดูกระจกหลัง ซึ่งไม่พบอะไรอีกแล้วนอกจากความมืด
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรภาจิรัตน์ เธอเป็นบ้าอะไรทะลึ่งมาทางลัด”
เธอทุบพวงมาลัยแรงๆเป็นการระบายอารมณ์และขับไล่ความหวาดกลัว พยายามตั้งสติไม่หันกลับไปคิดถึงกลุ่มคนแปลกๆซึ่งเพิ่งเจอมาหยกๆ มันจะเป็นซอมบี้เมืองไทยหรือเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาก็ตาม แต่ที่แน่ๆสร้างความขนพองสยองเกล้าในสติแทบปลิวปลิวด้วยความอกสั่นขวัญแขวน
หญิงสาวรู้สึกเมื่อยขบไปทั้งตัว บิดหลังและสะบัดไหลไปมา ความเร็วลดลงในระดับปลอดภัย มีแสงไฟด้านหน้ารถทำให้รู้สึกอุ่นใจได้บ้างแม้ว่าจะส่องสว่างให้มองเห็นเฉพาะพื้นผิวถนนเท่านั้น แต่ตอนนี้สิ่งที่น่ากลัวมากที่สุดกลับเป็นความคิดของตัวเอง เมื่อเริ่มคิดถึงเรื่องราวของภูตผีปีศาจอันเกี่ยวข้องกับการขับรถคนเดียวในยามค่ำคืน ความโดดเดี่ยวความอ้างว้างทำให้ความคิดเหล่านั้นแทบก่อตัวขึ้นมาเป็นรูปร่าง รู้สึกเหมือนลมหายใจอันเยือกเย็นมากระทบต้นคอจนขนลุกซู่ ราวกับเหมือนมีมือมองไม่เห็นกำลังยื่นมาจากทางด้านหลังหางตาเหมือนเห็นเงาวูบวาบอยู่ด้านหลัง ความคิดแบบนี้มันทำลายตัวเองชัดๆ
เพื่อน..ต้องหาเพื่อน โทรหาใครสักคนก็ได้ อย่างน้อยจะได้คุยเป็นเพื่อน พอนึกได้มือก็ความหาโทรศัพท์กดโทรออกแบบส่งๆ อย่างน้อยก็น่าจะโทรไปยังเบอร์โทรออกสุดท้ายได้ รู้สึกใจชื้นว่าปลายสายยังมีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่ได้ขาดหายไปเหมือนในนิยายสยองขวัญหรือหนังสยองขวัญหลายๆเรื่องซึ่งโทรศัพท์มักมีปัญหายามคับขันเลมอ
“ถึงไหนแล้ว”
เสียงเรียกของเพื่อนแว่วดังเข้าหูด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง หญิงสาวไม่ต้องชำเลืองมองเบอร์โทรก็รู้ว่าเป็นใครเพราะจำเสียงได้ สายตาจ้องมองไปถนนเบื้องหน้าเผื่อจะพบอะไรพออาศัยเป็นเบาะแสในการให้ข้อมูลคนถามบ้างก็แต่พบเพียงถนนทอดยาวไกลหายไปในความมืดเท่านั้น
“บอกไม่ถูกเหมือนกันนะว่าอยู่พิกัดไหน รู้แต่ว่าแวะมาทางแยกขวามือ น่าจะตัดเข้าเส้นโคราชกรุงเทพได้นะ”
“ระวังตัวบ้างก็ดี” เสียงเตือนของเพื่อนด้วยความเป็นห่วงแต่ทำให้ใจหายวูบ จะให้ระวังยังไงกัน ตอนนี้ก็อยู่ในรถแล้ว
“มีอะไรผิดปกติรีบโทรบอกนะ”
คราวนี้ภาจิรัตน์อดขำไม่ได้ บอกแล้วเพื่อนจะเหาะมาทางอากาศมาช่วยได้หรืออย่างไรแต่ก็ซาบซึ้งในความเป็นห่วงนั้น บางครั้งคนเราถึงช่วยอะไรไม่ได้เพราะข้อจำกัดสภาพทางภูมิศาสตร์แต่การส่งกำลังใจให้ก็เป็นเรื่องสำคัญ
“น้ำมันเหลือเยอะไหม”
คำถามของเพื่อนทำให้ชำเลืองมองเกจ์วัดน้ำมัน พบว่าเหลืออยู่ไม่มากนัก ทำให้รู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมาทันที ถ้ารถหมดน้ำมันขึ้นมากลางทางจะทำอย่างไรดี
“เหลือนิดเดียว”
“ไม่เป็นไรน่า ยังไงก็เป็นทางลัดมันคงไม่ไกล และอีกอย่างท้ายรถเธอมีน้ำมันสำรองอยู่ถังหนึ่ง จำไม่ได้เหรอ”
“อ้อ....จำได้ๆ”
ความจริงเธอเพิ่งนึกออกว่าท้ายรถมีน้ำมันเบนซินบรรจุในถึงน้ำมันเครื่องเอาไว้สำรองฉุกเฉินนานแล้ว ถึงจะไม่กี่ลิตรแต่ก็คงสามารถยืดระยะทางออกไปได้พอสมควร นอกจากถังน้ำมันสำรองยังมี”กระเป๋ายังชีพ” อีกใบ ซึ่งบรรจุสิ่งของจำเป็น เช่น บะหมี่สำเร็จรูป ไฟฉาย ไม้ขีดไฟ ยาสามัญประจำบ้าน กระทั่งสบู่และยาสีฟัน เนื่องจากความเป็นนักท่องเที่ยวด้วยรถยนต์ จึงต้องเตรียมพร้อมเสมอ
ยังไม่ทันจะคุยอะไรต่อสัญญาณโทรศัพท์ก็ตัดขาดไปอีก กำลังนึกชมอยู่หยกๆสุดท้ายก็ขาดหายไปจนได้ ในช่วงเวลานั้นเองเธอเริ่มสังเกตเห็นแสงไฟอยู่ไกลออกไปด้านหน้า หญิงสาวเริ่มรู้สึกใจชื้นขึ้นมาเพราะไม่ได้เห็นสัญญาณของแสงสว่างจากแหล่งอื่นมาพักใหญ่แล้ว แสงไฟนั้นเหมือนอยู่ริมถนน น่าจะเป็นตะเกียงของชาวบ้านซึ่งอาจมาหาปูหาปลาในยามค่ำคืนเพราะลักษณะการส่องสว่างไม่มากนัก
รถชะลอความเร็วลงเมื่อเริ่มมองเห็นคนกลุ่มหนึ่งน่าจะประมาณสี่ห้าคนเดินอยู่ฝั่งซ้ายของถนน น่าจะเป็นชาวบ้าน หญิงสาวชักใจหายเพราะนึกถึงพวกคนประหลาดซึ่งผ่านมาล่าสุด คนพวกนี้จะเหมือนกันไหมนะ ไม่น่า....มันเป็นไปไม่ได้ เพราะพวกเขากำลังเดินมุ่งหน้าไปข้างหน้า ไม่ได้ยืนนิ่งแข็งทื่ออย่างที่ผ่านมา ท่าทางเหมือนกำลังแบกหามอะไรบางอย่าง ค่อยๆชะลอรถให้วิ่งผ่านเหลือบตามองด้วยใจเต้นระทึก อะไรบางอย่างคล้ายบังคับให้ทำแบบนั้นแทนที่จะรีบขับรถหนีไปให้พ้นโดยเร็ว
เมื่อเข้าไปใกล้จึงเห็นว่าคนกลุ่มนั้นช่วยกันแบกแผ่นไม้ขนาดใหญ่ ลักษณะท่าทางพวกเขานุ่งกางเกงเก่าคร่ำคร่าไม่ได้สวมเสื้อ ราวไม่หวั่นต่อกระแสลมยามค่ำคืน ใบหน้ามองตรงไปข้างหน้า ชายคนเดินหลังสุดถือกลองรูปร่างแปลกตาใบหนึ่งขนาดเท่าถังถุงน้ำแบบหิ้วทั่วไป เขาใช้มือตีกลองทำให้เกิดเสียงต่ำดัง ทึม..ๆ....เป็นจังหวะตลอดเวลา แม้จะปิดกระจกรถเสียงกลองนั้นยังแว่วเข้ามาได้ บนแผ่นไม้นั้นมีร่างคนคนนอนราบแน่นิ่งพื้นไม้เหนือหัวมีตะเกียงโบราณวางส่องสว่าง บริเวณหน้าอก ลำตัว แขนและเท้ามีเทียนไขกระทั่งก้านธูปปักวางส่องสว่างวับแวมวูบวาบ
แต่สิ่งที่ทำให้หญิงสาวตัวเย็นเฉียบเลือดในกายแทบจับตัวเป็นก้อนแข็งคือใบหน้าของคนซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนแผ่นไม้
แสงจากตะเดียงและแสงเทียนส่องสว่างให้เห็นใบหน้านั้นอย่างชัดเจน ใบหน้าซึ่งเอียงตะแคงหันมาทางถนนในลักษณะน่าเกลียดน่ากลัวที่สุด โหนกแก้มสูง ตาเหลือกขึ้นไปเห็นแต่ตาขาว น้ำลายไหลยืดออกมาจากมุมปาก ใบหน้าขาวซีดเกือบเป็นสีเทาแบบเดียวกับใบหน้าของซากศพ ดูอย่างไรก็เป็นใบหน้าของคนตายไปแล้ว
เวลาเหมือนยืดออกอย่างยาวนาน ภาจิรัตน์ตะลึงเหม่อมองภาพนั้นซึ่งค่อยๆผ่านไปด้านหลังอย่างช้าราวสโลว์โมชั่นในภาพยนตร์ สรรพสิ่งเงียบกริบไปชั่วขณะ ยังรู้สึกเหมือนศพบนแผ่นไม้กระดานขยับไหวไปมาเหมือนพยายามพูดอะไรบางอย่าง
จนภาพเหล่านั้นหายไปในความมืดด้านหลัง ก่อนหายไปรู้สึกเหมือนจะเห็นร่างนั้นลุกขึ้นมานั่งจ้องตามมาเสียด้วยซ้ำ หญิงสาวตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวและสยองแสยงจิตจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว สติขาดหายไปพักหนึ่งก่อนจะกลับมาพบว่ากำลังขับรถอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนถนนสายเปลี่ยวอีกครั้ง
หญิงสาวยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างงุนงงกับชีวิต ทำไมถึงมาพบมาเจอเหตุการณ์แปลกๆน่ากลัวแบบนี้
“ก็เพราะเธอยากมาทางลัดไงล่ะ ภาจิรัตน์”
ร้องตอบตัวเองเสียงดังและสั่นสะท้านด้วยความรู้สึกภายใน จะเป็นเพราะใครถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ยัยภาจิรัตน์ เธอคนเดียวแท้ๆ ว่าแต่คนพวกนั้นทำอะไรกัน ค่ำมืดอย่างนี้พากันแบกศพไปไหน ท่าทางเหมือนทำพิธีกรรมสักอย่าง พยายามคิดหาคำตอบและเหตุผล แต่สิ่งที่ทำให้ขนลุกคือ คนพวกนั้นกำลังตามเธอมาทางด้านหลัง อย่างน้อยจุดหมายของคนพวกนั้นก็อยู่ในเส้นทางถนนสายเดียวกับเธอ
พยายามท่องคาถาบทสวดหรืออะไรก็ตามซึ่งพอนึกได้ในตอนนั้น สิ่งที่จำเป็นในตอนนี้คือขวัญและกำลังใจ จากใครหรืออะไรก็ได้
ทันใดนั้นเองเธอก็เริ่มสังเกตเห็นแสงไฟอีกครั้ง หากคราวนี้ลักษณะของแสงไฟคล้ายเป็นแสงไฟจากชุมชนเพราะลักษณะผิดกันกับแสงไฟจากตะเกียงของคนเดินริมทาง นั่นไงหมู่บ้าน...หญิงสาวร้องอย่างคนซึ่งมีความหวังขึ้นมาบ้าง หมู่บ้านจะต้องมีคนซึ่งสามารถซักถามเส้นทางได้บ้าง ถ้ามีหมู่บ้านก็อาจหมายความว่าเธออยู่ใกล้ถนสายหลักมากแล้ว
รถใกล้เข้าไป จนในที่สุดแสงไฟหน้ารถก็สาดส่องมองเห็นป้ายไม้ขนาดใหญ่อยู่ข้างถนนบอกให้รู้ว่ากำลังเข้าสู่ตัวหมู่บ้าน ขับต้อไปไม่ถึงอึดใจก็พบหมู่บ้านจริงๆอยู่ทางซ้ายมือ และมีแสงไฟสว่างแสดงว่าหมู่บ้านแห่งนี้ยังไม่พากันหลับนอน หน้าบ้านหลายหลังมีตะเกียงแขวนให้ความสว่าง หญิงสาวหยุดรถและมองผ่านกระจกรถอย่างเงียบๆ พอสังเกตได้ว่าลักษณะเป็นหมู่บ้านคล้ายหมู่บ้านตามชนบท บ้านไม้สองชั้นใต้ถุนสูงและบันใดแบบวางพาดขึ้นไปบนนอกชาน และพอสังเกตพักหนึ่งหญิงสาวก็ขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
หมู่บ้านแห่งนี้มีประมาณยี่สิบกว่าหลังคาเรือนจากการประมาณด้วยสายตาอย่างคร่าวๆ มองเผินๆไม่ต่างจากหมู่บ้านตามชนบททั่วไปแต่เมื่อมองให้ดีจึงพบว่าบ้านแต่ละหลังอยู่ติดกัน ใช้ชานเรือนร่วมกัน ถึงแม้ว่าจะมีระดับสูงต่ำต่างกันก็ตาม หญิงสาวไม่เคยเห็นหมู่บ้านลักษณะแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต เพราะมันหมายความว่าผู้คนในบ้านแต่ละหลังสามารถเดินไปมาหาสู่กันได้อย่างสบายโดยไม่ต้องลงมาบนพื้นดิน พวกเขาคิดอย่างไรกันถึงสร้างบ้านต่อกันในลักษณะประหลาดแบบนี้ มันผิดธรรมชาติอย่างควรจะเป็น
ถึงจะมีแสงไฟสลอดออกมาทางประตูหน้าต่างหรือมีตะเกียงแขวนตามหน้าบ้าน กลับไม่พบผู้คนเลย บ้านทุกหลังดูเงียบเชียบไร้การเคลื่อนไหวของผู้คน
“สงสัยอะไรภาจิรัตน์...เธอก็รู้ว่าคนตามหมู่บ้านแถวชนบทพวกเขาจะพากันนอนเร็วกันทั้งนั้น”
หญิงสาวเอาเสียงตัวเองเป็นเพื่อนแต่ยังไม่อยากลงจากรถ ได้แต่มองสังเกตการณ์ไปมา ถนนสายนี้ความจริงดูตามสภาพแล้วควรผ่านเข้ามากลางหมู่บ้าน ทำไมถึงมีแสงไฟและบ้านเรือนผู้คนอยู่เฉพาะทางซ้ายมือเท่านั้น ลองหันไปดูทางฝั่งขวามือ สักพักพอสายตาปรับตัวได้จึงสังเกตเห็นว่าฝั่งขวามือมีบ้านเรือนอยู่จริงๆ แต่สภาพทรุดโทรมพังลงมาจนส่วนใหญ่เหลือแต่เสาเรือน มันเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเรือนอีกฟากถนน..
ลองขยับรถไปอีกหน่อย แล้วสังเกตอีกครั้ง
แสงไฟบนบ้านบางหลังมีเงาวูบวาบเหมือนคนเคลื่อนผ่านตะเกียง แสดงว่ายังมีคนไม่ยอมเข้านอนและคงได้ยินเสียงรถยนต์ แบบนี้คงมีทางพอขอความช่วยเหลือซักถามได้ แต่พอถึงถึงกลุ่มคนซึ่งพากันแบกหามศพตามหลังมาทำให้ใจหายวูบอีกแล้ว จะทำอะไรก็ต้องรีบทำ จะรีบหนีก็ต้องหนีตอนนี้
พอคิดอยากจะหนีไปให้พ้นก็รู้สึกเหมือนมีอะไรวูบวาบตัดแสงไฟรถซึ่งยังติดเครื่องอยู่ พอหันไปมองก็สะดุ้งสุดตัว
ผู้หญิงผมยาวท่าทางซีดเซียวคนหนึ่งแต่งตัวเสื้อแขนกระบอกยืนอยู่หน้ารถ ก้มหน้านิ่งไม่ไหวติงและถัดออกไปยังมีเด็กชายเด็กหญิงอีกหลายคนพากันยืนกั้นถนนอย่อย่างเงียบๆ
หญิงสาวกดแตรดังลั่น แต่ทุกคนยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง เท่ากับปิดเส้นทางโดยสิ้นเชิงนอกจากจะขับตะลุยชนแหลกออกไปเท่านั้น
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน คนพวกนี้มากันตอนไหน จู่ๆก็พากันมายืนขวางถนนแบบนี้ ทำให้ตกใจและหวาดกลัวในขณะเดียวกัน ผู้หญิงตัวคนเดียวจะเอาตัวรอดได้อย่างไรถ้าคนพวกนี้คิดร้าย
......
ทางลัดพิศวง.......บทที่ 2 หมู่บ้าน
http://ppantip.com/topic/30719163
=======================
ทางลัดพิศวง.......บทที่ 2 หมู่บ้าน
=======================
ความเดิม
หญิงสาวกรีดร้องสุดเสียงแบบไม่เกรงใจใคร แทบหมดสติด้วยความตกใจ แต่สัญชาตญาณยังครบถ้วน เธอกระทืบคันเร่งเต็มแรงรถพุ่งพรวดแทบแฉลบลงข้างถนน แต่หญิงสาวถึงจะตกใจปานใดมือยังหมุนพวงมาลันรถบังคับให้รถกลับมาในเส้นทางอย่างหวุดหวิด มองทางกระจกมองหลัง เห็นคนเหล่านั้นวิ่งตามมาติดๆ มือไขว่คว้าไปมาในอากาศอย่างน่าขนลุกและน่าสะพรึงกลัวกับกิริยาอากาศอันวิปริตผิดธรรมชาติแบบนั้น
ภาจิรัตน์ หญิงสาวผู้เดินทางกลับกรุงเทพ โดยใช้ทางลัด ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้พบกับสิ่งที่น่ากลัวมากขึ้นทุกที่
ช่วงนั้นสภาพของถนนไม่ค่อยดีนัก บางครั้งรถกระแทกหลุมบ่อเอียงวูบวาบแต่หญิงสาวไม่รู้สึกอะไรนอกจากพยายามขับให้เร็วเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าจะไม่หันไปมองข้างหลังแล้วก็ตาม ในความรู้สึกยังมองเห็นภาพผู้คนเหล่านั้นชัดเจนในห้วงความคิด เห็นชัดขนาดมองออกว่าใบหน้าขาวซีดของคนพวกนั้นกำลังปากเหมือนพยายามบอกอะไรบางอย่าง สองมือตะกายไขว่คว้าไปในอากาศหรือยื่นตรงมาข้างหน้าคล้ายเปรตขอส่วนบุญ เป็นภาพติดตามนานอยู่หลายนาทีกว่าจะจางหายไป
ภาจิรัตน์ขับรถแบบไม่คิดชีวิต เป็นระยะทางไกลเท่าไรก็สุดจะคำนวณ กระทั่งใจคอเริ่มสงบลงบ้าง จึงกล้าหันไปดูกระจกหลัง ซึ่งไม่พบอะไรอีกแล้วนอกจากความมืด
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรภาจิรัตน์ เธอเป็นบ้าอะไรทะลึ่งมาทางลัด”
เธอทุบพวงมาลัยแรงๆเป็นการระบายอารมณ์และขับไล่ความหวาดกลัว พยายามตั้งสติไม่หันกลับไปคิดถึงกลุ่มคนแปลกๆซึ่งเพิ่งเจอมาหยกๆ มันจะเป็นซอมบี้เมืองไทยหรือเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาก็ตาม แต่ที่แน่ๆสร้างความขนพองสยองเกล้าในสติแทบปลิวปลิวด้วยความอกสั่นขวัญแขวน
หญิงสาวรู้สึกเมื่อยขบไปทั้งตัว บิดหลังและสะบัดไหลไปมา ความเร็วลดลงในระดับปลอดภัย มีแสงไฟด้านหน้ารถทำให้รู้สึกอุ่นใจได้บ้างแม้ว่าจะส่องสว่างให้มองเห็นเฉพาะพื้นผิวถนนเท่านั้น แต่ตอนนี้สิ่งที่น่ากลัวมากที่สุดกลับเป็นความคิดของตัวเอง เมื่อเริ่มคิดถึงเรื่องราวของภูตผีปีศาจอันเกี่ยวข้องกับการขับรถคนเดียวในยามค่ำคืน ความโดดเดี่ยวความอ้างว้างทำให้ความคิดเหล่านั้นแทบก่อตัวขึ้นมาเป็นรูปร่าง รู้สึกเหมือนลมหายใจอันเยือกเย็นมากระทบต้นคอจนขนลุกซู่ ราวกับเหมือนมีมือมองไม่เห็นกำลังยื่นมาจากทางด้านหลังหางตาเหมือนเห็นเงาวูบวาบอยู่ด้านหลัง ความคิดแบบนี้มันทำลายตัวเองชัดๆ
เพื่อน..ต้องหาเพื่อน โทรหาใครสักคนก็ได้ อย่างน้อยจะได้คุยเป็นเพื่อน พอนึกได้มือก็ความหาโทรศัพท์กดโทรออกแบบส่งๆ อย่างน้อยก็น่าจะโทรไปยังเบอร์โทรออกสุดท้ายได้ รู้สึกใจชื้นว่าปลายสายยังมีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่ได้ขาดหายไปเหมือนในนิยายสยองขวัญหรือหนังสยองขวัญหลายๆเรื่องซึ่งโทรศัพท์มักมีปัญหายามคับขันเลมอ
“ถึงไหนแล้ว”
เสียงเรียกของเพื่อนแว่วดังเข้าหูด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง หญิงสาวไม่ต้องชำเลืองมองเบอร์โทรก็รู้ว่าเป็นใครเพราะจำเสียงได้ สายตาจ้องมองไปถนนเบื้องหน้าเผื่อจะพบอะไรพออาศัยเป็นเบาะแสในการให้ข้อมูลคนถามบ้างก็แต่พบเพียงถนนทอดยาวไกลหายไปในความมืดเท่านั้น
“บอกไม่ถูกเหมือนกันนะว่าอยู่พิกัดไหน รู้แต่ว่าแวะมาทางแยกขวามือ น่าจะตัดเข้าเส้นโคราชกรุงเทพได้นะ”
“ระวังตัวบ้างก็ดี” เสียงเตือนของเพื่อนด้วยความเป็นห่วงแต่ทำให้ใจหายวูบ จะให้ระวังยังไงกัน ตอนนี้ก็อยู่ในรถแล้ว
“มีอะไรผิดปกติรีบโทรบอกนะ”
คราวนี้ภาจิรัตน์อดขำไม่ได้ บอกแล้วเพื่อนจะเหาะมาทางอากาศมาช่วยได้หรืออย่างไรแต่ก็ซาบซึ้งในความเป็นห่วงนั้น บางครั้งคนเราถึงช่วยอะไรไม่ได้เพราะข้อจำกัดสภาพทางภูมิศาสตร์แต่การส่งกำลังใจให้ก็เป็นเรื่องสำคัญ
“น้ำมันเหลือเยอะไหม”
คำถามของเพื่อนทำให้ชำเลืองมองเกจ์วัดน้ำมัน พบว่าเหลืออยู่ไม่มากนัก ทำให้รู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมาทันที ถ้ารถหมดน้ำมันขึ้นมากลางทางจะทำอย่างไรดี
“เหลือนิดเดียว”
“ไม่เป็นไรน่า ยังไงก็เป็นทางลัดมันคงไม่ไกล และอีกอย่างท้ายรถเธอมีน้ำมันสำรองอยู่ถังหนึ่ง จำไม่ได้เหรอ”
“อ้อ....จำได้ๆ”
ความจริงเธอเพิ่งนึกออกว่าท้ายรถมีน้ำมันเบนซินบรรจุในถึงน้ำมันเครื่องเอาไว้สำรองฉุกเฉินนานแล้ว ถึงจะไม่กี่ลิตรแต่ก็คงสามารถยืดระยะทางออกไปได้พอสมควร นอกจากถังน้ำมันสำรองยังมี”กระเป๋ายังชีพ” อีกใบ ซึ่งบรรจุสิ่งของจำเป็น เช่น บะหมี่สำเร็จรูป ไฟฉาย ไม้ขีดไฟ ยาสามัญประจำบ้าน กระทั่งสบู่และยาสีฟัน เนื่องจากความเป็นนักท่องเที่ยวด้วยรถยนต์ จึงต้องเตรียมพร้อมเสมอ
ยังไม่ทันจะคุยอะไรต่อสัญญาณโทรศัพท์ก็ตัดขาดไปอีก กำลังนึกชมอยู่หยกๆสุดท้ายก็ขาดหายไปจนได้ ในช่วงเวลานั้นเองเธอเริ่มสังเกตเห็นแสงไฟอยู่ไกลออกไปด้านหน้า หญิงสาวเริ่มรู้สึกใจชื้นขึ้นมาเพราะไม่ได้เห็นสัญญาณของแสงสว่างจากแหล่งอื่นมาพักใหญ่แล้ว แสงไฟนั้นเหมือนอยู่ริมถนน น่าจะเป็นตะเกียงของชาวบ้านซึ่งอาจมาหาปูหาปลาในยามค่ำคืนเพราะลักษณะการส่องสว่างไม่มากนัก
รถชะลอความเร็วลงเมื่อเริ่มมองเห็นคนกลุ่มหนึ่งน่าจะประมาณสี่ห้าคนเดินอยู่ฝั่งซ้ายของถนน น่าจะเป็นชาวบ้าน หญิงสาวชักใจหายเพราะนึกถึงพวกคนประหลาดซึ่งผ่านมาล่าสุด คนพวกนี้จะเหมือนกันไหมนะ ไม่น่า....มันเป็นไปไม่ได้ เพราะพวกเขากำลังเดินมุ่งหน้าไปข้างหน้า ไม่ได้ยืนนิ่งแข็งทื่ออย่างที่ผ่านมา ท่าทางเหมือนกำลังแบกหามอะไรบางอย่าง ค่อยๆชะลอรถให้วิ่งผ่านเหลือบตามองด้วยใจเต้นระทึก อะไรบางอย่างคล้ายบังคับให้ทำแบบนั้นแทนที่จะรีบขับรถหนีไปให้พ้นโดยเร็ว
เมื่อเข้าไปใกล้จึงเห็นว่าคนกลุ่มนั้นช่วยกันแบกแผ่นไม้ขนาดใหญ่ ลักษณะท่าทางพวกเขานุ่งกางเกงเก่าคร่ำคร่าไม่ได้สวมเสื้อ ราวไม่หวั่นต่อกระแสลมยามค่ำคืน ใบหน้ามองตรงไปข้างหน้า ชายคนเดินหลังสุดถือกลองรูปร่างแปลกตาใบหนึ่งขนาดเท่าถังถุงน้ำแบบหิ้วทั่วไป เขาใช้มือตีกลองทำให้เกิดเสียงต่ำดัง ทึม..ๆ....เป็นจังหวะตลอดเวลา แม้จะปิดกระจกรถเสียงกลองนั้นยังแว่วเข้ามาได้ บนแผ่นไม้นั้นมีร่างคนคนนอนราบแน่นิ่งพื้นไม้เหนือหัวมีตะเกียงโบราณวางส่องสว่าง บริเวณหน้าอก ลำตัว แขนและเท้ามีเทียนไขกระทั่งก้านธูปปักวางส่องสว่างวับแวมวูบวาบ
แต่สิ่งที่ทำให้หญิงสาวตัวเย็นเฉียบเลือดในกายแทบจับตัวเป็นก้อนแข็งคือใบหน้าของคนซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนแผ่นไม้
แสงจากตะเดียงและแสงเทียนส่องสว่างให้เห็นใบหน้านั้นอย่างชัดเจน ใบหน้าซึ่งเอียงตะแคงหันมาทางถนนในลักษณะน่าเกลียดน่ากลัวที่สุด โหนกแก้มสูง ตาเหลือกขึ้นไปเห็นแต่ตาขาว น้ำลายไหลยืดออกมาจากมุมปาก ใบหน้าขาวซีดเกือบเป็นสีเทาแบบเดียวกับใบหน้าของซากศพ ดูอย่างไรก็เป็นใบหน้าของคนตายไปแล้ว
เวลาเหมือนยืดออกอย่างยาวนาน ภาจิรัตน์ตะลึงเหม่อมองภาพนั้นซึ่งค่อยๆผ่านไปด้านหลังอย่างช้าราวสโลว์โมชั่นในภาพยนตร์ สรรพสิ่งเงียบกริบไปชั่วขณะ ยังรู้สึกเหมือนศพบนแผ่นไม้กระดานขยับไหวไปมาเหมือนพยายามพูดอะไรบางอย่าง
จนภาพเหล่านั้นหายไปในความมืดด้านหลัง ก่อนหายไปรู้สึกเหมือนจะเห็นร่างนั้นลุกขึ้นมานั่งจ้องตามมาเสียด้วยซ้ำ หญิงสาวตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวและสยองแสยงจิตจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว สติขาดหายไปพักหนึ่งก่อนจะกลับมาพบว่ากำลังขับรถอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนถนนสายเปลี่ยวอีกครั้ง
หญิงสาวยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างงุนงงกับชีวิต ทำไมถึงมาพบมาเจอเหตุการณ์แปลกๆน่ากลัวแบบนี้
“ก็เพราะเธอยากมาทางลัดไงล่ะ ภาจิรัตน์”
ร้องตอบตัวเองเสียงดังและสั่นสะท้านด้วยความรู้สึกภายใน จะเป็นเพราะใครถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ยัยภาจิรัตน์ เธอคนเดียวแท้ๆ ว่าแต่คนพวกนั้นทำอะไรกัน ค่ำมืดอย่างนี้พากันแบกศพไปไหน ท่าทางเหมือนทำพิธีกรรมสักอย่าง พยายามคิดหาคำตอบและเหตุผล แต่สิ่งที่ทำให้ขนลุกคือ คนพวกนั้นกำลังตามเธอมาทางด้านหลัง อย่างน้อยจุดหมายของคนพวกนั้นก็อยู่ในเส้นทางถนนสายเดียวกับเธอ
พยายามท่องคาถาบทสวดหรืออะไรก็ตามซึ่งพอนึกได้ในตอนนั้น สิ่งที่จำเป็นในตอนนี้คือขวัญและกำลังใจ จากใครหรืออะไรก็ได้
ทันใดนั้นเองเธอก็เริ่มสังเกตเห็นแสงไฟอีกครั้ง หากคราวนี้ลักษณะของแสงไฟคล้ายเป็นแสงไฟจากชุมชนเพราะลักษณะผิดกันกับแสงไฟจากตะเกียงของคนเดินริมทาง นั่นไงหมู่บ้าน...หญิงสาวร้องอย่างคนซึ่งมีความหวังขึ้นมาบ้าง หมู่บ้านจะต้องมีคนซึ่งสามารถซักถามเส้นทางได้บ้าง ถ้ามีหมู่บ้านก็อาจหมายความว่าเธออยู่ใกล้ถนสายหลักมากแล้ว
รถใกล้เข้าไป จนในที่สุดแสงไฟหน้ารถก็สาดส่องมองเห็นป้ายไม้ขนาดใหญ่อยู่ข้างถนนบอกให้รู้ว่ากำลังเข้าสู่ตัวหมู่บ้าน ขับต้อไปไม่ถึงอึดใจก็พบหมู่บ้านจริงๆอยู่ทางซ้ายมือ และมีแสงไฟสว่างแสดงว่าหมู่บ้านแห่งนี้ยังไม่พากันหลับนอน หน้าบ้านหลายหลังมีตะเกียงแขวนให้ความสว่าง หญิงสาวหยุดรถและมองผ่านกระจกรถอย่างเงียบๆ พอสังเกตได้ว่าลักษณะเป็นหมู่บ้านคล้ายหมู่บ้านตามชนบท บ้านไม้สองชั้นใต้ถุนสูงและบันใดแบบวางพาดขึ้นไปบนนอกชาน และพอสังเกตพักหนึ่งหญิงสาวก็ขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
หมู่บ้านแห่งนี้มีประมาณยี่สิบกว่าหลังคาเรือนจากการประมาณด้วยสายตาอย่างคร่าวๆ มองเผินๆไม่ต่างจากหมู่บ้านตามชนบททั่วไปแต่เมื่อมองให้ดีจึงพบว่าบ้านแต่ละหลังอยู่ติดกัน ใช้ชานเรือนร่วมกัน ถึงแม้ว่าจะมีระดับสูงต่ำต่างกันก็ตาม หญิงสาวไม่เคยเห็นหมู่บ้านลักษณะแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต เพราะมันหมายความว่าผู้คนในบ้านแต่ละหลังสามารถเดินไปมาหาสู่กันได้อย่างสบายโดยไม่ต้องลงมาบนพื้นดิน พวกเขาคิดอย่างไรกันถึงสร้างบ้านต่อกันในลักษณะประหลาดแบบนี้ มันผิดธรรมชาติอย่างควรจะเป็น
ถึงจะมีแสงไฟสลอดออกมาทางประตูหน้าต่างหรือมีตะเกียงแขวนตามหน้าบ้าน กลับไม่พบผู้คนเลย บ้านทุกหลังดูเงียบเชียบไร้การเคลื่อนไหวของผู้คน
“สงสัยอะไรภาจิรัตน์...เธอก็รู้ว่าคนตามหมู่บ้านแถวชนบทพวกเขาจะพากันนอนเร็วกันทั้งนั้น”
หญิงสาวเอาเสียงตัวเองเป็นเพื่อนแต่ยังไม่อยากลงจากรถ ได้แต่มองสังเกตการณ์ไปมา ถนนสายนี้ความจริงดูตามสภาพแล้วควรผ่านเข้ามากลางหมู่บ้าน ทำไมถึงมีแสงไฟและบ้านเรือนผู้คนอยู่เฉพาะทางซ้ายมือเท่านั้น ลองหันไปดูทางฝั่งขวามือ สักพักพอสายตาปรับตัวได้จึงสังเกตเห็นว่าฝั่งขวามือมีบ้านเรือนอยู่จริงๆ แต่สภาพทรุดโทรมพังลงมาจนส่วนใหญ่เหลือแต่เสาเรือน มันเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเรือนอีกฟากถนน..
ลองขยับรถไปอีกหน่อย แล้วสังเกตอีกครั้ง
แสงไฟบนบ้านบางหลังมีเงาวูบวาบเหมือนคนเคลื่อนผ่านตะเกียง แสดงว่ายังมีคนไม่ยอมเข้านอนและคงได้ยินเสียงรถยนต์ แบบนี้คงมีทางพอขอความช่วยเหลือซักถามได้ แต่พอถึงถึงกลุ่มคนซึ่งพากันแบกหามศพตามหลังมาทำให้ใจหายวูบอีกแล้ว จะทำอะไรก็ต้องรีบทำ จะรีบหนีก็ต้องหนีตอนนี้
พอคิดอยากจะหนีไปให้พ้นก็รู้สึกเหมือนมีอะไรวูบวาบตัดแสงไฟรถซึ่งยังติดเครื่องอยู่ พอหันไปมองก็สะดุ้งสุดตัว
ผู้หญิงผมยาวท่าทางซีดเซียวคนหนึ่งแต่งตัวเสื้อแขนกระบอกยืนอยู่หน้ารถ ก้มหน้านิ่งไม่ไหวติงและถัดออกไปยังมีเด็กชายเด็กหญิงอีกหลายคนพากันยืนกั้นถนนอย่อย่างเงียบๆ
หญิงสาวกดแตรดังลั่น แต่ทุกคนยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง เท่ากับปิดเส้นทางโดยสิ้นเชิงนอกจากจะขับตะลุยชนแหลกออกไปเท่านั้น
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน คนพวกนี้มากันตอนไหน จู่ๆก็พากันมายืนขวางถนนแบบนี้ ทำให้ตกใจและหวาดกลัวในขณะเดียวกัน ผู้หญิงตัวคนเดียวจะเอาตัวรอดได้อย่างไรถ้าคนพวกนี้คิดร้าย
......