ขออภัยที่วางเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ไม่จบ
ตอนนี้มีเวลารัไรท์ และจบในกระทู้เดียว
โปรดให้อถ้ยข้าน้อย ผิดไปแล้ว
...................
ภาจิรัตน์เหลือบตามองดูนาฬิกาดิจิตอลบนคอนโซลรถยนต์คู่ชีพ ขมวดคิ้วและมองออกไปเบื้องหน้าอย่างกังวล นาฬิกาบอกเวลา 17.16 น. แต่ท้องฟ้ากลับมืดครี้มกว่าปกติ จากเมฆหนาและสายฝนซึ่งยังคงตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย ไม่กระหน่ำหนักแบบถล่มทลาย แต่ทำให้ไม่สามารถใช้ความเร็วของรถได้มากอย่างตั้งใจ จำนวนรถซึ่งพอมองเห็นเบื้องหน้าเริ่มหนาตาขึ้นเรื่อยๆ เพราะรถคันอื่นต่างลดความเร็วลงเช่นกัน
หญิงสาวขับรถคู่ชีพกลับมาเพียงลำพังจากการไปเที่ยวบ้านเพื่อนต่างจังหวัดหลายวันและออกจากแหล่งท่องเที่ยวแห่งสุดท้ายช้ากว่าที่กำหนดในตารางเวลา ทำให้การเดินทางกลับมายังกรุงเทพเต็มไปด้วยความรีบร้อนเพราะอยากกลับมาพักผ่อนที่บ้านเต็มที่ในเวลาที่เหลือก่อนจะถึงวันทำงานในวันพรุ่งนี้
งานประจำและตำแหน่งความรับผิดชอบในบริษัททำให้หญิงสาวไม่มีโอกาสท่องเที่ยวบ่อยนัก การลาพักร้อนในแต่ละปีไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนมีความรับผิดชอบ ดังนั้นเมื่อมีโอกาสเธอจึงใช้อย่างเต็มที่ในการท่องเที่ยวไปตามภูเขา น้ำตก ชนบท ตามแต่เพื่อนจะพาไป หากช่วงเวลาแห่งความสุขความสบายใจนั้นสั้นนัก ในที่สุดเธอก็พบว่าตัวเองกำลังเดินทางกลับบ้านอย่างโดดเดี่ยวด้วยความรีบร้อนขณะบรรยากาศรอบด้านมืดครึ้ม
มองข้างทางเบื้องหน้าอย่างไม่ตั้งใจนักขณะรถชะลอความเร็วลงเพราะสภาพการจราจรเธอมองเห็นป้ายบอกให้เลี้ยวซ้ายและตัวหนังสือขนาดใหญ่มองเห็นชัดเจน
...เส้นทางลัด กรุงเทพมหานคร…
หญิงสาวขมวดคิ้วมองพิจารณาอย่างรวดเร็ว ถ้าเป็นทางลัดเส้นทางจะต้องสั้นกว่าถนนสายปกติ และน่าจะลัดตัดตรงไปสู่กรุงเทพเลย ไวเท่าความคิด หญิงสาวเหลือบตามองกระจกส่องหลังพอได้จังหวะก็ปาดรถคู่ชีพออกทางซ้ายมือทันที มองเห็นถนนสองเลนแยกจากถนนหลักอยู่ทางซ้ายเชิญชวนให้วิ่งอย่างยิ่ง... แบบนี้คงถึงกรุงเทพเร็วแน่นอน ภาจิรัตน์ตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าถนนสายนั้นทันทีโดยไม่ต้องใช้เวลาในการตัดสินใจมากมาย
ถึงจะเป็นถนนสองเลนแต่ก็กว้างพอให้วิ่งสบาย ถนนอยู่ในสภาพดีมาก สองข้างทางเป็นเทือกสวนไร่นาซึ่ง ผ่านหน้าเก็บเกี่ยวไปแล้ว สายฝนเริ่มขาดหายไปจนหยุดตก ในที่สุดบรรยากาศยามค่ำอย่างควรจะเป็นกลับมาอีกครั้ง ความรู้สึกกดดันหนักอึ้งจากสายฝนผ่อนคลายลง
“ต้องแบบนี้”
หญิงสาวยกมือดีดนิ้วร้องให้กับตัวเองอย่างสบายใจเพราะเริ่มใช้ความเร็วได้ตามต้องการ ขณะนั้นเองเสียงโทรศัพท์มือถือซึ่งเสียบไว้บนที่เสียบโทรศัพท์ในตำแหน่งสะดวกในการใช้งานหน้าคอนโซลรถก็ดังขึ้น มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเบอร์โทรของเพื่อนสนิทซึ่งจากมาอย่างอาวรณ์ในวันนี้เอง
“ถึงไหนแล้ว.....”
น้ำเสียงของเพื่อนมีแววเป็นห่วง หญิงสาวยิ้มคนเดียวเมื่อนึกถึงหน้าเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน ถึงจะไปปักหลักฐานอยู่ต่างจังหวัดก็ยังคงไปมาหาสู่กันเสมอตามแต่โอกาสจะอำนวย
“ยังไม่ถึงสระบุรี แต่ฉันเจอทางลัดแล้ว ตรงไปกรุงเทพเลย”
“ทางลัด”
“ใช่...ก็เพิ่งเคยเห็นนี่ล่ะ” หญิงสาวตอบอย่างร่าเริง “ไม่ถึงชั่วโมงก็คงถึงบ้านแล้ว”
“แน่ใจนะ..มีทางลัดด้วยเหรอแถวนั้นน่ะ”
“มีสิ ก็ฉันกำลังวิ่งอยู่นี่ไง ทางสะดวกมาก ฝนไม่ตกแล้วด้วย”
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนขบคิดอะไรบางอย่าง แล้วต่อมาก็แว่วเสียงของเพื่อนคนนั้นซึ่งมีน้ำเสียงแปลกใจอย่างสังเกตได้ชัด
“ฉันก็เข้ากรุงเทพบ่อยๆ ทำไมไม่เคยเห็นเส้นทางลัดนี้เลย ถ้ามันมีฉันก็น่าจะเคยเห็น”
“เธอไม่สังเกตเองล่ะสิ พอดีเจอฝนกลางทางและรถเริ่มติด พอขับช้าๆเลยมีโอกาสมองข้างทาง”
“แน่ใจนะว่ามันจะพาเธอไปถึงกรุงเทพได้ ฉันคิดว่ามันไม่มีในแผนที่ด้วยล่ะ”
“ป้ายมันคงไม่โกหกหรอกน่า” หญิงสาวพูดพลางหัวเราะพลาง แต่แล้วสัญญาณโทรศัพท์พลันตัดขาดหายไปเฉยๆ.. อะไรกัน..เธอคิดในใจอย่างหงุดหงิด กำลังต้องการเพื่อนคุยเพราะถนนว่างดีเหลือเกินไม่ต้องกังวลกับการขับรถนัก ทะลึ่งมาตัดสายเสียได้ หลังจากนั้นไม่มีเสียงเรียกเข้าอีก เลยเสียบโทรศัพท์ไว้ตำแหน่งเดิม
หญิงสาวหันไปสนใจเส้นทางแทน เพิ่งนึกได้ว่าตั้งแต่เลี้ยวเข้ามาเส้นทางลัดสายนี้ยังไม่เห็นมีรถวิ่งสวนทางมาเลยแม้แต่คันเดียว บรรยากาศมืดครึ้มมากชึ้นเนื่องจากเป็นเวลาเย็นมากแล้ว แต่ยังพอมองเห็นท้องทุ่งนาไกลออกไปสองข้างทางและกอข้าวถูกเก็บเกี่ยวไปหมดแล้ว เหลือเพียงต้นข้าวตอข้าวซึ่งจะถูกไถกลบต่อไปเมื่อถึงเวลาเพาะปลูกอีกครั้งก็จะกลายเป็นท้องทุ่งนาเขียวขจี วนเวียนเช่นนี้เรื่อยไป ข้างทางมีโรงนาใกล้ไกลตั้งอยู่ให้เห็นเป็นระยะในสภาพเก่าแก่ทรุดโทรมเหมือนไม่ได้รับการเอาใจใส่ดูแลมาเนิ่นนาน
ภาจิรัตน์เพิ่งสังเกตว่าสองข้างถนนไม่ได้มีเสาไฟฟ้าเรียงรายให้เห็น หมายถึงว่าเส้นทางนี้จะต้องตกอยู่ในความมืดในเวลาไม่ช้านี้ เธอจะต้องขับรถไปตามลำพังบนถนนสายเปลี่ยวอ้างว้างตามลำพัง พอคิดแบบนี้หญิงสาวก็เริ่มรู้สึกใจหายวูบอย่างประหลาด มองกระจกส่องหลังก็ไม่เห็นรถตามมา ด้านหน้าก็เป็นถนนเหยียดยาวและเริ่มกลืนหายไปในความมืดซึ่งดักหน้ารออยู่เหมือนรอให้เหยื่อเป็นฝ่ายวิ่งเข้าไปหาเองแบบไม่มีทางเลี่ยง ความวิตกกังวลซึ่งก่อตัวขึ้นทีละน้อยทำให้รีบเปิดไฟหน้ารถเพื่อใช้แสงสว่างเป็นเพื่อนนำทาง
ไม่มีอะไรน่ากลัว... เส้นทางลัดก็เป็นแบบนี้ล่ะ สาเหตุที่ไม่มีรถวิ่งสวนมาเพราะมันไม่ได้ออกมาจากตัวเมืองก็เท่านั้นเอง ไม่เห็นต้องคิดมากอะไร....ส่วนกรณีไม่มีรถวิ่งตามมาก็คงเป็นเพราะไม่มีรถคันไหนจะวิ่งเข้ากรุงเทพในช่วงเวลานี้...มันก็เท่านั้น...หรืออีกอย่างคงเป็นเพราะไม่มีใครสังเกตเห็นเส้นทางลัดสายนี้.. ไม่เห็นต้องคิดมากมาย มันต้องเป็นแบบนี้แน่นอน ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น และเราอยู่ในรถของเรา ปลอดภัยไร้กังวลและอบอุ่นที่สุด หญิงสาวพยายามคิดย้ำบอกตัวเอง และกดปุ่มเปิดเครื่องเสียงในรถเพื่อเอาเสียงเพลงเป็นเพื่อน เครื่องเล่นราคาแพงส่งเสียงครืดคราดไปมาครู่หนึ่งแล้วเงียบหายไปเฉยๆ
“บ้าน่า....ซื้อมาตั้งแพง......”
ภาจิรัตน์สบถอย่างหงุดหงิด ทำไมต้องมามีปัญหาเอาตอนนี้ ตอนบ่ายยังฟังเพลงโปรดอยู่ดีๆ แผ่นซีดีเพลงโปรดก็ของแท้แน่นอนจากห้างสรรพสินค้าดัง ทำไมมาเสียง่ายๆแบบนี้ บางทีอาจเป็นที่เครื่องเล่นก็ได้ แต่รถยนต์คันนี้เพิ่งซื้อมาไม่นานด้วยเงินจากน้ำพักน้ำแรงของเธอเอง อะไรจะมาเสียง่ายๆแบบนี้ได้อย่างไร ลองกดปุ่มเปลี่ยนมาฟังวิทยุก็มีแต่เสียงซ่าของคลื่นแปลกๆฟังไม่รู้เรื่อง
“ให้มันได้อย่างนี้สิ ยัยภาจิรัตน์”
หญิงสาวยิ้มมุมปากพูดกับตัวเองด้วยเสียงอันดังให้กับความไม่สมประกอบของระบบเสียงในรถยนต์ เวลาจำเป็นอยากฟังก็ให้มีอันเป็นไป ช่างเหมือนกับชีวิตคนเราเสียจริง บางครั้งอะไรๆก็ผิดพลาดไม่ลงตัวไปเสียทุกอย่าง ไม่ขาดก็เกินอยู่เช่นนั้น..ไม่มีความพอดี ไม่ฟังก็ไม่ฟัง..........ร้องเองก็ได้ไม่ง้อ
ยังไม่ทันได้อ้าปากร้องเพลง สายตาก็เห็นแสงไฟคู่หนึ่งปรากฏอยู่ไกลออกไปในความมืด คล้ายไฟท้ายรถทำให้ใจชื้นขึ้นมาทันทีว่าเส้นทางแห่งนี้มีเพื่อนร่วมเส้นทางแล้ว หญิงสาวเริ่มแตะเบรกชะลอความเร็วอย่างระมัดระวังเมื่อเห็นแสงไฟเบื้องหน้าใกล้เข้ามาทุกทีจนมองเห็นท้ายรถคันนั้น
สังเกตไม่นานก็รู้ว่าเป็นรถกระบะตามความนิยมของชาวไร่ชาวนาทั่วไป เพราะใช้งานได้เอนกประสงค์ตั้งแต่ขนพืชพันธุ์ทางการเกษตรหรือไปเที่ยวงานวัดงานบุญ วิ่งนำหน้าชิดขอบถนนด้านซ้ายไปเหมือนไม่รีบร้อน แสงไฟสาดให้เห็นว่าเป็นรถสีดำไม่มีหลังคาหลัง ดูเหมือนจะมีคนนั่งอยู่กระบะหลังประมาณหก-เจ็ดคน ท่าทางน่าจะเป็นคนท้องถิ่นแถวนั้น พวกเขาพากันก้มหน้านิ่งเงียบ ท่าทางไม่สนใจรถซึ่งวิ่งตามมาเลยสักนิด
ภาจิรัตน์ขับตามอยู่ครู่หนึ่งคล้ายเป็นการทักทายด้วยภาษารถ ก่อนจะหมุนพวงมาลัยเร่งเครื่องเพื่อแซงไปทางด้านขวา
ในช่วงขณะหนึ่งเพราะอะไรไม่รู้เหมือนกัน เธอเหลือบตามองดูผู้คนท้ายรถคันหน้าอย่างไม่ตั้งใจ คนพวกนั้นพากันก้มหน้านิ่งเหมือนไม่สนใจอะไร หากพอรถยนต์ของเธอกำลังจะแซงขึ้นไป ทุกคนกลับสะบัดหน้าอย่างแรงจนน่ากลัวว่าจะคอหักตาย หันมามองพร้อมกันเหมือนนัดกันไว้ หญิงสาวมองไม่เห็นใบหน้าคนพวกนั้นถนัดชัดเจนแต่รู้ด้วยสำนึกประหลาดว่าพวกเขาพากันจ้องมองแบบเขม็งและค้างคาทื่ออยู่อย่างนั้นอย่างผิดปกติและผิดธรรมชาติ
หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจพร้อมอาการหัวใจตกวูบลงจนขนลุกเกรียว รถส่ายไปมาเกือบตกถนนลงไปทางขวามือ ดีว่าสติสัมปชัญญะของหญิงสาวกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว หมุนพวงมาลัยกลับมาให้รถวิ่งอยู่ในเส้นทางอีกครั้ง ความเร็วลดลงเพราะเท้าเหยียบคันเร่งเบาลงโดยไม่รู้ตัว ถนนสายนี้ไม่มีรถวิ่งสวนทางมา ไม่อย่างนั้นอาจเกิดการชนประสานงากันแบบมหาวินาศก็เป็นได้ ตอนนี้กลับกลายเป็นว่ารถกำลังวิ่งขนานกันไปโดยไม่ตั้งใจ
หญิงสาวพยายามรวบรวมสติไม่หันไปมองรถกระบะ แต่เพราะอะไรก็ไม่รู้เหมือนกันทำให้หันไปมองอีกครั้งทั้งที่ใจไม่ต้องการให้ทำแบบนั้น และสิ่งที่ไม่เข้าใจเลยคือทำไมจึงมองเห็นใบหน้าคนบนรถท้ายกระบะชัดเจนมากขึ้นในความมืด และเห็นแบบถนัดชัดตาราวเป็นเวลากลางวัน ใบหน้าเขาเหล่านั้นขาวโพลนอยู่ในความมืด เหมือนใบหน้าของซากศพมากกว่าจะเป็นใบหน้าของคนธรรมดาจ้องเขม็งมองมาแบบแน่นิ่ง ความเย็นวาบแล่นเข้าจับไขสันหลัง ภาจิรัตน์บังคับตัวเองให้กลับมามองถนนอีกครั้ง จะอย่างไรก็ต้องแซงเจ้ารถกระบะแปลก ๆ คันนี้ไปให้ได้ก่อนจะประสาทเสียไปมากกว่านี้
เท้าของหญิงสาวเหยียบคันเร่งอย่างหนัก รถเก๋งคันงามคำรามกระหึ่มเข็มวัดรอบตวัดหมุนขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับอาการกระชากตัวเร่งความเร็วของรถจนแทบเป็นการกระโจน แสงไฟส่องจ้าผ่านกระจกหลังมาทำให้รู้ว่าทิ้งรถคันนั้นไว้เบื้องหลังแล้ว แต่ก็ต้องผวาหมุนพวงมาลัยแบบหายใจหายคอแทบไม่ทันเมื่อเห็นถนนโค้งอยู่ปลายแสงไฟหน้ารถเฉียดข้างทางดพียงนิดเดียว
ทางลัดพิศวง......จบในกระทู้เดียว
ตอนนี้มีเวลารัไรท์ และจบในกระทู้เดียว
โปรดให้อถ้ยข้าน้อย ผิดไปแล้ว
...................
ภาจิรัตน์เหลือบตามองดูนาฬิกาดิจิตอลบนคอนโซลรถยนต์คู่ชีพ ขมวดคิ้วและมองออกไปเบื้องหน้าอย่างกังวล นาฬิกาบอกเวลา 17.16 น. แต่ท้องฟ้ากลับมืดครี้มกว่าปกติ จากเมฆหนาและสายฝนซึ่งยังคงตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย ไม่กระหน่ำหนักแบบถล่มทลาย แต่ทำให้ไม่สามารถใช้ความเร็วของรถได้มากอย่างตั้งใจ จำนวนรถซึ่งพอมองเห็นเบื้องหน้าเริ่มหนาตาขึ้นเรื่อยๆ เพราะรถคันอื่นต่างลดความเร็วลงเช่นกัน
หญิงสาวขับรถคู่ชีพกลับมาเพียงลำพังจากการไปเที่ยวบ้านเพื่อนต่างจังหวัดหลายวันและออกจากแหล่งท่องเที่ยวแห่งสุดท้ายช้ากว่าที่กำหนดในตารางเวลา ทำให้การเดินทางกลับมายังกรุงเทพเต็มไปด้วยความรีบร้อนเพราะอยากกลับมาพักผ่อนที่บ้านเต็มที่ในเวลาที่เหลือก่อนจะถึงวันทำงานในวันพรุ่งนี้
งานประจำและตำแหน่งความรับผิดชอบในบริษัททำให้หญิงสาวไม่มีโอกาสท่องเที่ยวบ่อยนัก การลาพักร้อนในแต่ละปีไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนมีความรับผิดชอบ ดังนั้นเมื่อมีโอกาสเธอจึงใช้อย่างเต็มที่ในการท่องเที่ยวไปตามภูเขา น้ำตก ชนบท ตามแต่เพื่อนจะพาไป หากช่วงเวลาแห่งความสุขความสบายใจนั้นสั้นนัก ในที่สุดเธอก็พบว่าตัวเองกำลังเดินทางกลับบ้านอย่างโดดเดี่ยวด้วยความรีบร้อนขณะบรรยากาศรอบด้านมืดครึ้ม
มองข้างทางเบื้องหน้าอย่างไม่ตั้งใจนักขณะรถชะลอความเร็วลงเพราะสภาพการจราจรเธอมองเห็นป้ายบอกให้เลี้ยวซ้ายและตัวหนังสือขนาดใหญ่มองเห็นชัดเจน
...เส้นทางลัด กรุงเทพมหานคร…
หญิงสาวขมวดคิ้วมองพิจารณาอย่างรวดเร็ว ถ้าเป็นทางลัดเส้นทางจะต้องสั้นกว่าถนนสายปกติ และน่าจะลัดตัดตรงไปสู่กรุงเทพเลย ไวเท่าความคิด หญิงสาวเหลือบตามองกระจกส่องหลังพอได้จังหวะก็ปาดรถคู่ชีพออกทางซ้ายมือทันที มองเห็นถนนสองเลนแยกจากถนนหลักอยู่ทางซ้ายเชิญชวนให้วิ่งอย่างยิ่ง... แบบนี้คงถึงกรุงเทพเร็วแน่นอน ภาจิรัตน์ตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าถนนสายนั้นทันทีโดยไม่ต้องใช้เวลาในการตัดสินใจมากมาย
ถึงจะเป็นถนนสองเลนแต่ก็กว้างพอให้วิ่งสบาย ถนนอยู่ในสภาพดีมาก สองข้างทางเป็นเทือกสวนไร่นาซึ่ง ผ่านหน้าเก็บเกี่ยวไปแล้ว สายฝนเริ่มขาดหายไปจนหยุดตก ในที่สุดบรรยากาศยามค่ำอย่างควรจะเป็นกลับมาอีกครั้ง ความรู้สึกกดดันหนักอึ้งจากสายฝนผ่อนคลายลง
“ต้องแบบนี้”
หญิงสาวยกมือดีดนิ้วร้องให้กับตัวเองอย่างสบายใจเพราะเริ่มใช้ความเร็วได้ตามต้องการ ขณะนั้นเองเสียงโทรศัพท์มือถือซึ่งเสียบไว้บนที่เสียบโทรศัพท์ในตำแหน่งสะดวกในการใช้งานหน้าคอนโซลรถก็ดังขึ้น มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเบอร์โทรของเพื่อนสนิทซึ่งจากมาอย่างอาวรณ์ในวันนี้เอง
“ถึงไหนแล้ว.....”
น้ำเสียงของเพื่อนมีแววเป็นห่วง หญิงสาวยิ้มคนเดียวเมื่อนึกถึงหน้าเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน ถึงจะไปปักหลักฐานอยู่ต่างจังหวัดก็ยังคงไปมาหาสู่กันเสมอตามแต่โอกาสจะอำนวย
“ยังไม่ถึงสระบุรี แต่ฉันเจอทางลัดแล้ว ตรงไปกรุงเทพเลย”
“ทางลัด”
“ใช่...ก็เพิ่งเคยเห็นนี่ล่ะ” หญิงสาวตอบอย่างร่าเริง “ไม่ถึงชั่วโมงก็คงถึงบ้านแล้ว”
“แน่ใจนะ..มีทางลัดด้วยเหรอแถวนั้นน่ะ”
“มีสิ ก็ฉันกำลังวิ่งอยู่นี่ไง ทางสะดวกมาก ฝนไม่ตกแล้วด้วย”
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนขบคิดอะไรบางอย่าง แล้วต่อมาก็แว่วเสียงของเพื่อนคนนั้นซึ่งมีน้ำเสียงแปลกใจอย่างสังเกตได้ชัด
“ฉันก็เข้ากรุงเทพบ่อยๆ ทำไมไม่เคยเห็นเส้นทางลัดนี้เลย ถ้ามันมีฉันก็น่าจะเคยเห็น”
“เธอไม่สังเกตเองล่ะสิ พอดีเจอฝนกลางทางและรถเริ่มติด พอขับช้าๆเลยมีโอกาสมองข้างทาง”
“แน่ใจนะว่ามันจะพาเธอไปถึงกรุงเทพได้ ฉันคิดว่ามันไม่มีในแผนที่ด้วยล่ะ”
“ป้ายมันคงไม่โกหกหรอกน่า” หญิงสาวพูดพลางหัวเราะพลาง แต่แล้วสัญญาณโทรศัพท์พลันตัดขาดหายไปเฉยๆ.. อะไรกัน..เธอคิดในใจอย่างหงุดหงิด กำลังต้องการเพื่อนคุยเพราะถนนว่างดีเหลือเกินไม่ต้องกังวลกับการขับรถนัก ทะลึ่งมาตัดสายเสียได้ หลังจากนั้นไม่มีเสียงเรียกเข้าอีก เลยเสียบโทรศัพท์ไว้ตำแหน่งเดิม
หญิงสาวหันไปสนใจเส้นทางแทน เพิ่งนึกได้ว่าตั้งแต่เลี้ยวเข้ามาเส้นทางลัดสายนี้ยังไม่เห็นมีรถวิ่งสวนทางมาเลยแม้แต่คันเดียว บรรยากาศมืดครึ้มมากชึ้นเนื่องจากเป็นเวลาเย็นมากแล้ว แต่ยังพอมองเห็นท้องทุ่งนาไกลออกไปสองข้างทางและกอข้าวถูกเก็บเกี่ยวไปหมดแล้ว เหลือเพียงต้นข้าวตอข้าวซึ่งจะถูกไถกลบต่อไปเมื่อถึงเวลาเพาะปลูกอีกครั้งก็จะกลายเป็นท้องทุ่งนาเขียวขจี วนเวียนเช่นนี้เรื่อยไป ข้างทางมีโรงนาใกล้ไกลตั้งอยู่ให้เห็นเป็นระยะในสภาพเก่าแก่ทรุดโทรมเหมือนไม่ได้รับการเอาใจใส่ดูแลมาเนิ่นนาน
ภาจิรัตน์เพิ่งสังเกตว่าสองข้างถนนไม่ได้มีเสาไฟฟ้าเรียงรายให้เห็น หมายถึงว่าเส้นทางนี้จะต้องตกอยู่ในความมืดในเวลาไม่ช้านี้ เธอจะต้องขับรถไปตามลำพังบนถนนสายเปลี่ยวอ้างว้างตามลำพัง พอคิดแบบนี้หญิงสาวก็เริ่มรู้สึกใจหายวูบอย่างประหลาด มองกระจกส่องหลังก็ไม่เห็นรถตามมา ด้านหน้าก็เป็นถนนเหยียดยาวและเริ่มกลืนหายไปในความมืดซึ่งดักหน้ารออยู่เหมือนรอให้เหยื่อเป็นฝ่ายวิ่งเข้าไปหาเองแบบไม่มีทางเลี่ยง ความวิตกกังวลซึ่งก่อตัวขึ้นทีละน้อยทำให้รีบเปิดไฟหน้ารถเพื่อใช้แสงสว่างเป็นเพื่อนนำทาง
ไม่มีอะไรน่ากลัว... เส้นทางลัดก็เป็นแบบนี้ล่ะ สาเหตุที่ไม่มีรถวิ่งสวนมาเพราะมันไม่ได้ออกมาจากตัวเมืองก็เท่านั้นเอง ไม่เห็นต้องคิดมากอะไร....ส่วนกรณีไม่มีรถวิ่งตามมาก็คงเป็นเพราะไม่มีรถคันไหนจะวิ่งเข้ากรุงเทพในช่วงเวลานี้...มันก็เท่านั้น...หรืออีกอย่างคงเป็นเพราะไม่มีใครสังเกตเห็นเส้นทางลัดสายนี้.. ไม่เห็นต้องคิดมากมาย มันต้องเป็นแบบนี้แน่นอน ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น และเราอยู่ในรถของเรา ปลอดภัยไร้กังวลและอบอุ่นที่สุด หญิงสาวพยายามคิดย้ำบอกตัวเอง และกดปุ่มเปิดเครื่องเสียงในรถเพื่อเอาเสียงเพลงเป็นเพื่อน เครื่องเล่นราคาแพงส่งเสียงครืดคราดไปมาครู่หนึ่งแล้วเงียบหายไปเฉยๆ
“บ้าน่า....ซื้อมาตั้งแพง......”
ภาจิรัตน์สบถอย่างหงุดหงิด ทำไมต้องมามีปัญหาเอาตอนนี้ ตอนบ่ายยังฟังเพลงโปรดอยู่ดีๆ แผ่นซีดีเพลงโปรดก็ของแท้แน่นอนจากห้างสรรพสินค้าดัง ทำไมมาเสียง่ายๆแบบนี้ บางทีอาจเป็นที่เครื่องเล่นก็ได้ แต่รถยนต์คันนี้เพิ่งซื้อมาไม่นานด้วยเงินจากน้ำพักน้ำแรงของเธอเอง อะไรจะมาเสียง่ายๆแบบนี้ได้อย่างไร ลองกดปุ่มเปลี่ยนมาฟังวิทยุก็มีแต่เสียงซ่าของคลื่นแปลกๆฟังไม่รู้เรื่อง
“ให้มันได้อย่างนี้สิ ยัยภาจิรัตน์”
หญิงสาวยิ้มมุมปากพูดกับตัวเองด้วยเสียงอันดังให้กับความไม่สมประกอบของระบบเสียงในรถยนต์ เวลาจำเป็นอยากฟังก็ให้มีอันเป็นไป ช่างเหมือนกับชีวิตคนเราเสียจริง บางครั้งอะไรๆก็ผิดพลาดไม่ลงตัวไปเสียทุกอย่าง ไม่ขาดก็เกินอยู่เช่นนั้น..ไม่มีความพอดี ไม่ฟังก็ไม่ฟัง..........ร้องเองก็ได้ไม่ง้อ
ยังไม่ทันได้อ้าปากร้องเพลง สายตาก็เห็นแสงไฟคู่หนึ่งปรากฏอยู่ไกลออกไปในความมืด คล้ายไฟท้ายรถทำให้ใจชื้นขึ้นมาทันทีว่าเส้นทางแห่งนี้มีเพื่อนร่วมเส้นทางแล้ว หญิงสาวเริ่มแตะเบรกชะลอความเร็วอย่างระมัดระวังเมื่อเห็นแสงไฟเบื้องหน้าใกล้เข้ามาทุกทีจนมองเห็นท้ายรถคันนั้น
สังเกตไม่นานก็รู้ว่าเป็นรถกระบะตามความนิยมของชาวไร่ชาวนาทั่วไป เพราะใช้งานได้เอนกประสงค์ตั้งแต่ขนพืชพันธุ์ทางการเกษตรหรือไปเที่ยวงานวัดงานบุญ วิ่งนำหน้าชิดขอบถนนด้านซ้ายไปเหมือนไม่รีบร้อน แสงไฟสาดให้เห็นว่าเป็นรถสีดำไม่มีหลังคาหลัง ดูเหมือนจะมีคนนั่งอยู่กระบะหลังประมาณหก-เจ็ดคน ท่าทางน่าจะเป็นคนท้องถิ่นแถวนั้น พวกเขาพากันก้มหน้านิ่งเงียบ ท่าทางไม่สนใจรถซึ่งวิ่งตามมาเลยสักนิด
ภาจิรัตน์ขับตามอยู่ครู่หนึ่งคล้ายเป็นการทักทายด้วยภาษารถ ก่อนจะหมุนพวงมาลัยเร่งเครื่องเพื่อแซงไปทางด้านขวา
ในช่วงขณะหนึ่งเพราะอะไรไม่รู้เหมือนกัน เธอเหลือบตามองดูผู้คนท้ายรถคันหน้าอย่างไม่ตั้งใจ คนพวกนั้นพากันก้มหน้านิ่งเหมือนไม่สนใจอะไร หากพอรถยนต์ของเธอกำลังจะแซงขึ้นไป ทุกคนกลับสะบัดหน้าอย่างแรงจนน่ากลัวว่าจะคอหักตาย หันมามองพร้อมกันเหมือนนัดกันไว้ หญิงสาวมองไม่เห็นใบหน้าคนพวกนั้นถนัดชัดเจนแต่รู้ด้วยสำนึกประหลาดว่าพวกเขาพากันจ้องมองแบบเขม็งและค้างคาทื่ออยู่อย่างนั้นอย่างผิดปกติและผิดธรรมชาติ
หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจพร้อมอาการหัวใจตกวูบลงจนขนลุกเกรียว รถส่ายไปมาเกือบตกถนนลงไปทางขวามือ ดีว่าสติสัมปชัญญะของหญิงสาวกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว หมุนพวงมาลัยกลับมาให้รถวิ่งอยู่ในเส้นทางอีกครั้ง ความเร็วลดลงเพราะเท้าเหยียบคันเร่งเบาลงโดยไม่รู้ตัว ถนนสายนี้ไม่มีรถวิ่งสวนทางมา ไม่อย่างนั้นอาจเกิดการชนประสานงากันแบบมหาวินาศก็เป็นได้ ตอนนี้กลับกลายเป็นว่ารถกำลังวิ่งขนานกันไปโดยไม่ตั้งใจ
หญิงสาวพยายามรวบรวมสติไม่หันไปมองรถกระบะ แต่เพราะอะไรก็ไม่รู้เหมือนกันทำให้หันไปมองอีกครั้งทั้งที่ใจไม่ต้องการให้ทำแบบนั้น และสิ่งที่ไม่เข้าใจเลยคือทำไมจึงมองเห็นใบหน้าคนบนรถท้ายกระบะชัดเจนมากขึ้นในความมืด และเห็นแบบถนัดชัดตาราวเป็นเวลากลางวัน ใบหน้าเขาเหล่านั้นขาวโพลนอยู่ในความมืด เหมือนใบหน้าของซากศพมากกว่าจะเป็นใบหน้าของคนธรรมดาจ้องเขม็งมองมาแบบแน่นิ่ง ความเย็นวาบแล่นเข้าจับไขสันหลัง ภาจิรัตน์บังคับตัวเองให้กลับมามองถนนอีกครั้ง จะอย่างไรก็ต้องแซงเจ้ารถกระบะแปลก ๆ คันนี้ไปให้ได้ก่อนจะประสาทเสียไปมากกว่านี้
เท้าของหญิงสาวเหยียบคันเร่งอย่างหนัก รถเก๋งคันงามคำรามกระหึ่มเข็มวัดรอบตวัดหมุนขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับอาการกระชากตัวเร่งความเร็วของรถจนแทบเป็นการกระโจน แสงไฟส่องจ้าผ่านกระจกหลังมาทำให้รู้ว่าทิ้งรถคันนั้นไว้เบื้องหลังแล้ว แต่ก็ต้องผวาหมุนพวงมาลัยแบบหายใจหายคอแทบไม่ทันเมื่อเห็นถนนโค้งอยู่ปลายแสงไฟหน้ารถเฉียดข้างทางดพียงนิดเดียว