*เขียนจากประสบการณ์จริงบนถนนสายหนึ่งที่เพชรบูรณ์*
เรื่องนี้ถูกเล่าในช่องพระเจอผี และ เดอะช๊อคแล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เล่าในเดอะช๊อค https://www.youtube.com/watch?v=wsF_lfs0c-8
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ฉบับเต็ม พระเจอผี https://www.youtube.com/watch?v=MnLFkKEmih4
เหตุการณ์มันเกิดขึ้นกลางฤดูฝน ในปี 2562
ในเวลาโพล้เพ้
ณ ถนนสายหนึ่งกลางอุทยานแห่งชาติ
ระหว่างกลับจากเขาค้อจะขี่รถไปขอนแก่น
ตอนนั้นฝนตกหนักมากจนการมองเห็นย่ำแย่
เราสองคนจึงพยายามมองหาที่หลบฝน
จนกระทั่ง....เจอเข้ากับศาลาหลังหนึ่งตั้งอยู่ริมทาง
และเหตุการณ์ชวนขวัญผวา มันกำลังจะเริ่มต้นขึ้นที่นี่!!!!
ทุกอย่างไร้การเคลื่อนไหว ไม่มีสิ่งมีชีวิต สรรพสำเนียงที่ควรมี
ไม่มีรถแม้แต่คันเดียววิ่งตามมา หรือสวนทางพวกผมเลย
ตั้งแต่ผมขึ้นเขามาจนกระทั่งลงจากเขา
ทุกอย่างที่ผมเล่ามันได้เกิดขึ้นเร็วมากจนตั้งตัวไม่ทัน
และไม่เคยคิดว่าในชีวิตนี้ ผมยืนยันว่านี่คือเรื่องจริง
ที่ผมจะได้พบเจอเหตุการณ์ประหลาดแบบนี้
ท่ามกลางป่าสนยืนต้นสูง ท่ามกลางไอร้อนตอนฝนตกที่พวยพุ่งตามถนนลาดยางมะตอย จนดูเหมือนว่ามีควันไฟกำลังพุ่งขึ้นจากพื้นดิน
เราดีใจมาก ที่มองเห็นศาลาหลังนี้ตั้งอยู่ จึงตัดสินใจขี่รถไปจอดบนลาน
ข้างๆศาลา แล้วรีบวิ่งเข้าไปด้านในตัวศาลาเพื่อหลบฝนได้ทัน
18:23 น. เป็นเวลาที่เราเดินทางมาถึงจุดนี้ ในระหว่างหลบฝน
ก็มีการพูดคุยกันถึงเรื่องทั่วไป สายตามองไปฝั่งตรงข้ามที่มีเพียงแค่ถนนสองเลนส์กั้นกลาง เห็นแสงไฟนีออนสาดส่อง มันคือป้อมหรือจุดตรวจ
ทางเข้าอุทยาน ซึ่งตั้งตะหง่านอย่างเงียบเหงาไร้ซึ่งเจ้าหน้าที่
"จะมีคนมาหลบฝนกับเรามั้ยนะ" นี่คือบทสนทนาที่ดังขึ้นในศาลาหลังนี้
เรายืนขึ้นมองเข้าไปด้านหลังศาลา ซึ่งเป็นป่า ในเวลานั้นมองเห็นแค่ว่ามันคือป่า ซ้ายขวา คือป่าหมดเลย
ใช่ครับ ผมกำลังอยู่กลางอุทยานแห่งชาติที่เพชรบูรณ์ เส้นทางที่ขึ้นชื่อว่า "ไม่จำเป็นตอนกลางคืนอย่าได้ผ่าน หรือถ้าจำเป็นต้องผ่าน อย่าจอดรถ" แต่นั่นมันเป็นสิ่งที่ผมได้รับคำเตือน หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น
อันตรายที่มากมายและอาจจะเกิดบริเวณถนนสายนี้
-สัตว์ป่า โดยเฉพาะช้าง
-โจร
เราไม่คิดถึงสองอย่างนี้เลย เพราะมันคือครั้งแรกที่ขี่รถผ่านป่าที่ดิบทึบขนาดนี้บวกกับ กำลังตื่นเต้นในสถานที่แปลกใหม่ที่เคยพบเห็น
อีกคนหนึ่งกำลังมีความสุขกับการถ่ายรูป
ส่วนผม กำลังนึกไปถึงความอุดมสมบูรณ์
ในขณะนั้น มีแสงไฟหน้ารถมอเตอร์ไซค์ขนาดเล็กสาดเข้ามาในศาลาหลังนี้ ทำให้รู้ว่าเจ้าของรถเป็นวัยรุ่นชายสองคนคงจะมาหลบฝนเช่นกัน วัยรุ่นชายสองคนนี้จอดรถแล้วรีบวิ่งเข้ามาในศาลาด้วยเนื้อตัวเปียกปอนพร้อมกระเป๋าสะพายแบบนักท่องเที่ยว จากการพูดคุย
ทำให้ทราบว่าพวกเขามาจากภูกระดึง แต่ยังไม่ครบตามกำหนดแผน
มีเหตุให้ต้องเดินทางกลับพิจิตร ซึ่งเป็นที่ ที่เขาอยู่อาศัย แต่แค่มาเที่ยวแถวนี้ นั่นก็คือช้างป่าออกอาละวาดนักท่องเที่ยวจนมีผู้เสียชีวิต
เจ้าหน้าที่ต้องให้นักท่องเที่ยวออกจากภูกระดึง
เราพูดคุยกันค่อนข้างเยอะ เนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับการขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวตามประสาคอเดียวกันในขณะนั้น......
บทสนทนาหนึ่งที่ผมจำได้แม่นเลยก็คือ
- ขี่รถมอเตอร์ไซค์เที่ยวแบบนี้กลัวอะไรบ้างมั้ย
น้องๆตอบว่า
-กลัวคนครับพี่
ผมตอบกลับน้องว่า
-คนพี่ไม่กลัวนะถ้ามันอยากได้อะไรก็เอาไปเพราะคุยรู้เรื่อง แต่พี่กลัวผี
(ซึ่งมานึกในภายหลัง ผมช่างเข้าใจผิดมหันต์ คนมันน่ากลัวกว่าผีมาก)
เรา4คน พูดคุยอะไรกันอีกค่อนข้างเยอะ
จนกระทั่ง....ฝนซา น้องสองคนขอตัวแยกออกจากเราเพื่อจะมุ่งหน้าสู่พิจิตร โดยขี่รถออกไปทางหล่มสัก/สะพานห้วยตอง
ส่วนผมสองคน ต้องลงไปทางน้ำหนาว ทางชัยภูมิ
มองเห็นไฟท้ายรถของน้องๆ แดงแว้บๆ ตรงทางโค้งเล็กๆ
พวกเราแยกจากกันช่วงเวลาประมาณ 19:30 น.
ในตอนนั้นผมกับเพื่อนอีกคนเดินมาที่จอดมอเตอร์ไซค์เพื่อจะเก็บของ
และกำลังแพคกระเป๋าติดข้างมอเตอร์ไซค์
ต้องบอกว่ารถสมัยใหม่นี้แค่บิดกุญแจ ไฟหน้ารถก็ส่องสว่าง
โดยที่ไม่ต้องสตาร์ทเครื่อง ไฟหน้ารถทำความสว่างเป็นลักษณะเกือบครึ่งวงกลม โดยหันหน้าเข้าไปในป่าข้างศาลา และมองเห็นด้านในศาลาด้วย
กำลังแพคของเพื่อเดินทางกลับ จู่ๆ.......มีเสียงตัง เเกร๊ก!!! เป็นเสียงของกิ่งไม้ คิดว่าน่าจะใหญ่พอสมควรหักลงมา แล้วฟาดกับหลังคาศาลาเสียงดังราวฟ้าผ่าจุดนั้น แค่เวลาไม่ถึงสองวินาที ต่อเนื่องกันจากเสียงนั้น
มีเสียงเหมือนคนวิ่งออกมาจากป่า บริเวณที่แสงไฟสาดส่องเข้าไป
แล้วเสียงคำรามก็ดังขึ้นที่ใต้ต้นไม้ที่มีเสียงหักลงมา
ลักษณะเสียงคำรามเหมือนสุนัขที่กำลังขู่เรา แต่....ให้คุณ คูณความดังเข้าไปอีก หลายเท่ามากกก
พวกผมมองหน้ากันด้วยความตกใจ เหมือนต้องการถามกันและกันว่า
เกิดอะไรขึ้นวะ?
ความสังสัยยังไม่หายไป เพื่อนผมก็พูดแทรกขึ้นมาว่า
-ฟ้าร้อง ไม่มีอะไรหรอก ไปกันเถอะ
แม้จะพูดแบบนี้ แต่คุณครับ ความสงสัยก็ไม่ได้หายไปไหน
ผมตัดสินใจรีบเก็บของจนเสร็จแล้วขี่รถออกมาจากจุดนั้น
โดยไม่รอฟังคำตอบหรือหาคำตอบอะไรทั้งสิ้น
ระหว่างทางที่ผมขี่รถเพื่อจะลงจากภูเขานี้ ฝนได้ตกลงมาอีกห่าใหญ่
หนักชนิดที่ว่า ถ้าไม่เปิดกระจกหมวกกันน๊อค ผมไม่สามารถมองเห็นเส้นทางหรือถนนได้เลย
ในความคิดตอนขี่รถลงมา ผมยังคิอเสมอว่า เมื่อสักครู่นี้มันคืออะไร
สัตว์ป่าใช่มั้ย? เพราะตลอดเส้นทาง ผมมองเห็นป้ายเตือนระวังสัตว์ป่าตลอด สองข้างทางเป็นป่าสน ป่ารกทึบ เส้นทางขึ้นๆลงๆ โค้งหักศอกเยอะแยะ เราขี่กันมาด้วยความเร็วไม่มากนัก จนกระทั่งผ่านภูเขานี้มา
ฝนไม่มี ถนนแห้ง พระจันทร์เต็มดวง ...นั่นแสดงว่าพวกผมได้เผชิญหน้ากับ "ฝนภูเขา" ซึ่ง เป็นฝนที่เกิดจากมวลอากาศชื้นไหลมาปะทะภูเขาที่ขวางกั้นทิศทางลมมวลอากาศจะถูกยกตัวให้สูงขึ้นและเย็นลง ไอน้ำจึงกลั่นตัวกลายเป็นเมฆหนาทึบและตกลงมาเป็นฝน โดยฝนจะตกหนักทางด้านต้นลมแต่ทางด้านปลายลมฝนจะตกน้อยลง เรียกว่า เงาฝน นั่นเอง
พอขี่รถมาถึงทางเข้า อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ความสงสัย อยากรู้คำตอบ
มันทำให้ผมต้องหยุดรถหาที่พูดคุยกับเพื่อน ที่เพิ่งประสบเหตุมาด้วยกัน
เราสองคนคุยกันจนกระทั่งตกผลึกเหตุการณ์ได้ดังนี้
-เสียงกิ่งไม้หักลงมาแล้วฟาดเข้ากับหลังคาศาลา
มันคงปกติครับ เพราะฝนตก ต้นไม้เยอะ อาจจะผุพังตามเวลา
แต่ ผิดปกติตรงที่ ตามธรรมดาถ้ากิ่งไม้หัก สิ่งที่เราจะเห็นเมื่อมันระลงมามันต้องฟาดเข้ากับใบไม้อื่นๆ แล้วฟาดเข้ากับหลังคาศาลา
แรงสั่นสะเทือน+ความแรง สิ่งที่เราจะมองเห็นคือ การพังพินาศของใบไม้ที่ถูกฟาดระลงมาหรือหลังคาศาลาต้องบุบ ยุบ แต่พวกผมไม่เห็นอะไรครับ
-เสียงวิ่งแหวกป่ามาทางด้านหลังศาลาจุดที่ไฟรถส่องสว่างเข้าไป
ตามปกติเราวิ่งฝ่าป่า เราต้องเหยียบต้องผลักต้นไม้ ต้องมีการสั่นไหว
มีการขยับ ล้มระเนระนาดจากการวิ่งฝ่าออกมา แต่ นิ่งครับ ไม่มีอะไรขยับ
-เสียงคำรามที่ดังขึ้นหลังเสียงต่างๆ
เป็นเสียงที่ดังมาก ดังชนิดขนหัวตั้งถ้าเราได้ยิน คิดว่าสัตว์ป่าเหรอ
วิสัยของสัตซมักจะกลัวคน มักจะไม่โผล่ออกมานอกจากจะบังเอิญเจอกัน
หรือคนรุกรานสัตว์เท่านั้น แล้วสัตว์จะต้องออกมาไล่มาสู้ ไล่ทำร้าย
แต่เสียงคำรามดังขึ้นไกล้ผม ในระยะประมาณ ไม่เกิน 5 เมตร แล้วเงียบลง คำราม3ครั้ง แล้วเงียบ
จากการคิดการวิเคราะห์ สองคนผมกับเพื่อนเลยคิดว่าน่าจะเจอดีเข้าให้
ถ้าถามถึงความรู้สึก ผมบอกได้แค่ว่าตกใจครับ ยังไม่ถึงกับกลัว
เพราะมันเกิดขึ้นอย่างที่บอกว่า ไวมาก ไวซะ จนไม่มีเวลากลัว
ผมเก็บคำถามเหล่านี้ไว้นาน3ปี ว่าสิ่งที่เจอคืออะไร
ผมเอาไปเล่าในเดอะช๊อค เล่าในพระเจอผี คนฟังก็ลงความเห็นไปในทางเดียวกันว่ามันคือผี หรือเล่าให้พ่อฟัง พ่อก็บอกว่า คืออสุรกาย
แต่ถึงแม้ว่าผมเองก็ จะมีความเห็นแบบนั้น แต่อีกใจผมก็ยังสงสัย
ว่ามันคือสัตว์ป่ามั้ย นั่นละครับ เหตุผลที่เราตกผลึกกันว่าไม่มีอะไรเคลื่อนไหว นอกจากเสียง มันก็ทำให้คิดว่าผี/วิญญาณ/อสุรกาย
เพราะถ้าเป็นสิ่งมีชีวิต มันต้องมีการขยับ มีการเคลื่อนไหวของเเรงต้านเเรงเสียดทาน การสัมผัส แต่ทุกอย่างมันนิ่ง พวกผมมองเห็นชัดเจนจากไฟหน้ารถ LED สีขาว..... คำตอบที่พิสูจน์ได้100% ไม่มี ความสัยก็ถูกเก็บเรื่อยมา จนในปี 2565 มีโอกาสได้ผ่านเส้นทางนี้อีกครั้ง
แต่เป็นการเดินทางโดยรถยนต์ ไปกันหลายคน และพวกเราตกลงกันว่าจะไม่ทักท้วง จะไม่พูดถึงผี ถึงสัตว์ป่า เพราะทุกคนได้รับฟังเรื่ิองนี้จากผมหมดแล้ว
ผมไปเจอด่านตวรจของ จนท.ป่าไม้ ที่นั่นมีห้องน้ำ มีกาแฟ ก็จอดรถพัก
แล้วด้วยความที่สงสัย เลยเล่าเรื่องนี้ให้พี่ๆลุงๆ จนท.ฟัง
เขาฟังด้วยรอยยิ้มปกติ เหมือนเรื่องมันไม่น่ากลัว หรือพี่ๆเขาชินก็ไม่รู้
เมื่อฟังจบ พี่แกบอกว่า
-น้องง...ไม่ใช่น้องคนเดียวนะที่เจอที่นั่น ที่น้องสงสัยว่าสัตว์หรือผี
พี่บอกเลยที่นั่นของจริง ผีแน่นอน นั่นไงคนนั้นเป็นคนไปเจอศพมา
แล้วพี่ออีกคนแกหัวเราะขึ้นแล้วเดินมาเล่าให้ฟังว่าแกคือคนตรวจลาดตระเวน แล้วไปเจอศพหญิงคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าที่หลังศาลานี้
เลยแจ่งตำรวจให้ขึ้นมาตรวจ ระหว่างยกศพนั้น แรากฏว่าหัวศพหลุดจากตัว
อีกรายหนึ่งเป็นผู้หญิงเหมือนกันแต่ถูกยิง ลักษณะเอามือบังหน้าผากไว้ มีรูตรงมือและหน้าผาก
สัณนิษฐานว่าน่าจะโดนฆ่าตัดตอนในยุคปราบยาเสพติด
แกยังเล่าอีกว่า พ่อค้าแม่ค้าเร่ตามตลาดนัดมาจอดรถพักนอนที่ศาลานี้กระเจอกระเจิงกันมาแล้ว คืออยู่ดีดีแหงนหน้าขึ้นไปเพราะต้องหาที่กางมุ้ง เห็นผ๔้หญิงเปลิยกายนั่งบนขื่อศาลา บวมอึ้ดทึ้ด กระโดดลงมาที่พื้นดังตึ้บ...แล้ววิ่งเข้าป่าไป ใครจะอยู่ละ
หรือจะเป็นรถคอกขนผัก ขับมาดีดี มีผู้หญิงวิ่งออกมาจากศาลาวิ่งนำหน้ารถ ไม่ใส่เสื้อผ้า แล้วส่ายตูดล้อเลียน คนขับรถขับมาด้วยความเร็ว60-70 คนบ้าที่ไหนจะวิ่งทัน แต่ ผํ้หญิงคนนี้วิ่งนำหน้ารถ แล้วกระโดดหายเข้าป่าไปเลย....เจอผีแล้วน้องเอ้ย

แต่เจอเบากว่าคนอื่นเลยนะ
นี่คือคำบอกเล่าจากเจ้าหน้าที่ด่านตรวจ
พี่ครับจะหนักหรือเบาผมก็ไม่ได้อยากเจอนะครับ
ขึ้นชื่อว่าผี ไผ๋มันสิบ่ย่าน
ศาลาข้างทางบนถนนเส้นน้ำหนาว
เรื่องนี้ถูกเล่าในช่องพระเจอผี และ เดอะช๊อคแล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เหตุการณ์มันเกิดขึ้นกลางฤดูฝน ในปี 2562
ในเวลาโพล้เพ้
ณ ถนนสายหนึ่งกลางอุทยานแห่งชาติ
ระหว่างกลับจากเขาค้อจะขี่รถไปขอนแก่น
ตอนนั้นฝนตกหนักมากจนการมองเห็นย่ำแย่
เราสองคนจึงพยายามมองหาที่หลบฝน
จนกระทั่ง....เจอเข้ากับศาลาหลังหนึ่งตั้งอยู่ริมทาง
และเหตุการณ์ชวนขวัญผวา มันกำลังจะเริ่มต้นขึ้นที่นี่!!!!
ทุกอย่างไร้การเคลื่อนไหว ไม่มีสิ่งมีชีวิต สรรพสำเนียงที่ควรมี
ไม่มีรถแม้แต่คันเดียววิ่งตามมา หรือสวนทางพวกผมเลย
ตั้งแต่ผมขึ้นเขามาจนกระทั่งลงจากเขา
ทุกอย่างที่ผมเล่ามันได้เกิดขึ้นเร็วมากจนตั้งตัวไม่ทัน
และไม่เคยคิดว่าในชีวิตนี้ ผมยืนยันว่านี่คือเรื่องจริง
ที่ผมจะได้พบเจอเหตุการณ์ประหลาดแบบนี้
ท่ามกลางป่าสนยืนต้นสูง ท่ามกลางไอร้อนตอนฝนตกที่พวยพุ่งตามถนนลาดยางมะตอย จนดูเหมือนว่ามีควันไฟกำลังพุ่งขึ้นจากพื้นดิน
เราดีใจมาก ที่มองเห็นศาลาหลังนี้ตั้งอยู่ จึงตัดสินใจขี่รถไปจอดบนลาน
ข้างๆศาลา แล้วรีบวิ่งเข้าไปด้านในตัวศาลาเพื่อหลบฝนได้ทัน
18:23 น. เป็นเวลาที่เราเดินทางมาถึงจุดนี้ ในระหว่างหลบฝน
ก็มีการพูดคุยกันถึงเรื่องทั่วไป สายตามองไปฝั่งตรงข้ามที่มีเพียงแค่ถนนสองเลนส์กั้นกลาง เห็นแสงไฟนีออนสาดส่อง มันคือป้อมหรือจุดตรวจ
ทางเข้าอุทยาน ซึ่งตั้งตะหง่านอย่างเงียบเหงาไร้ซึ่งเจ้าหน้าที่
"จะมีคนมาหลบฝนกับเรามั้ยนะ" นี่คือบทสนทนาที่ดังขึ้นในศาลาหลังนี้
เรายืนขึ้นมองเข้าไปด้านหลังศาลา ซึ่งเป็นป่า ในเวลานั้นมองเห็นแค่ว่ามันคือป่า ซ้ายขวา คือป่าหมดเลย
ใช่ครับ ผมกำลังอยู่กลางอุทยานแห่งชาติที่เพชรบูรณ์ เส้นทางที่ขึ้นชื่อว่า "ไม่จำเป็นตอนกลางคืนอย่าได้ผ่าน หรือถ้าจำเป็นต้องผ่าน อย่าจอดรถ" แต่นั่นมันเป็นสิ่งที่ผมได้รับคำเตือน หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น
อันตรายที่มากมายและอาจจะเกิดบริเวณถนนสายนี้
-สัตว์ป่า โดยเฉพาะช้าง
-โจร
เราไม่คิดถึงสองอย่างนี้เลย เพราะมันคือครั้งแรกที่ขี่รถผ่านป่าที่ดิบทึบขนาดนี้บวกกับ กำลังตื่นเต้นในสถานที่แปลกใหม่ที่เคยพบเห็น
อีกคนหนึ่งกำลังมีความสุขกับการถ่ายรูป
ส่วนผม กำลังนึกไปถึงความอุดมสมบูรณ์
ในขณะนั้น มีแสงไฟหน้ารถมอเตอร์ไซค์ขนาดเล็กสาดเข้ามาในศาลาหลังนี้ ทำให้รู้ว่าเจ้าของรถเป็นวัยรุ่นชายสองคนคงจะมาหลบฝนเช่นกัน วัยรุ่นชายสองคนนี้จอดรถแล้วรีบวิ่งเข้ามาในศาลาด้วยเนื้อตัวเปียกปอนพร้อมกระเป๋าสะพายแบบนักท่องเที่ยว จากการพูดคุย
ทำให้ทราบว่าพวกเขามาจากภูกระดึง แต่ยังไม่ครบตามกำหนดแผน
มีเหตุให้ต้องเดินทางกลับพิจิตร ซึ่งเป็นที่ ที่เขาอยู่อาศัย แต่แค่มาเที่ยวแถวนี้ นั่นก็คือช้างป่าออกอาละวาดนักท่องเที่ยวจนมีผู้เสียชีวิต
เจ้าหน้าที่ต้องให้นักท่องเที่ยวออกจากภูกระดึง
เราพูดคุยกันค่อนข้างเยอะ เนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับการขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวตามประสาคอเดียวกันในขณะนั้น......
บทสนทนาหนึ่งที่ผมจำได้แม่นเลยก็คือ
- ขี่รถมอเตอร์ไซค์เที่ยวแบบนี้กลัวอะไรบ้างมั้ย
น้องๆตอบว่า
-กลัวคนครับพี่
ผมตอบกลับน้องว่า
-คนพี่ไม่กลัวนะถ้ามันอยากได้อะไรก็เอาไปเพราะคุยรู้เรื่อง แต่พี่กลัวผี
(ซึ่งมานึกในภายหลัง ผมช่างเข้าใจผิดมหันต์ คนมันน่ากลัวกว่าผีมาก)
เรา4คน พูดคุยอะไรกันอีกค่อนข้างเยอะ
จนกระทั่ง....ฝนซา น้องสองคนขอตัวแยกออกจากเราเพื่อจะมุ่งหน้าสู่พิจิตร โดยขี่รถออกไปทางหล่มสัก/สะพานห้วยตอง
ส่วนผมสองคน ต้องลงไปทางน้ำหนาว ทางชัยภูมิ
มองเห็นไฟท้ายรถของน้องๆ แดงแว้บๆ ตรงทางโค้งเล็กๆ
พวกเราแยกจากกันช่วงเวลาประมาณ 19:30 น.
ในตอนนั้นผมกับเพื่อนอีกคนเดินมาที่จอดมอเตอร์ไซค์เพื่อจะเก็บของ
และกำลังแพคกระเป๋าติดข้างมอเตอร์ไซค์
ต้องบอกว่ารถสมัยใหม่นี้แค่บิดกุญแจ ไฟหน้ารถก็ส่องสว่าง
โดยที่ไม่ต้องสตาร์ทเครื่อง ไฟหน้ารถทำความสว่างเป็นลักษณะเกือบครึ่งวงกลม โดยหันหน้าเข้าไปในป่าข้างศาลา และมองเห็นด้านในศาลาด้วย
กำลังแพคของเพื่อเดินทางกลับ จู่ๆ.......มีเสียงตัง เเกร๊ก!!! เป็นเสียงของกิ่งไม้ คิดว่าน่าจะใหญ่พอสมควรหักลงมา แล้วฟาดกับหลังคาศาลาเสียงดังราวฟ้าผ่าจุดนั้น แค่เวลาไม่ถึงสองวินาที ต่อเนื่องกันจากเสียงนั้น
มีเสียงเหมือนคนวิ่งออกมาจากป่า บริเวณที่แสงไฟสาดส่องเข้าไป
แล้วเสียงคำรามก็ดังขึ้นที่ใต้ต้นไม้ที่มีเสียงหักลงมา
ลักษณะเสียงคำรามเหมือนสุนัขที่กำลังขู่เรา แต่....ให้คุณ คูณความดังเข้าไปอีก หลายเท่ามากกก
พวกผมมองหน้ากันด้วยความตกใจ เหมือนต้องการถามกันและกันว่า
เกิดอะไรขึ้นวะ?
ความสังสัยยังไม่หายไป เพื่อนผมก็พูดแทรกขึ้นมาว่า
-ฟ้าร้อง ไม่มีอะไรหรอก ไปกันเถอะ
แม้จะพูดแบบนี้ แต่คุณครับ ความสงสัยก็ไม่ได้หายไปไหน
ผมตัดสินใจรีบเก็บของจนเสร็จแล้วขี่รถออกมาจากจุดนั้น
โดยไม่รอฟังคำตอบหรือหาคำตอบอะไรทั้งสิ้น
ระหว่างทางที่ผมขี่รถเพื่อจะลงจากภูเขานี้ ฝนได้ตกลงมาอีกห่าใหญ่
หนักชนิดที่ว่า ถ้าไม่เปิดกระจกหมวกกันน๊อค ผมไม่สามารถมองเห็นเส้นทางหรือถนนได้เลย
ในความคิดตอนขี่รถลงมา ผมยังคิอเสมอว่า เมื่อสักครู่นี้มันคืออะไร
สัตว์ป่าใช่มั้ย? เพราะตลอดเส้นทาง ผมมองเห็นป้ายเตือนระวังสัตว์ป่าตลอด สองข้างทางเป็นป่าสน ป่ารกทึบ เส้นทางขึ้นๆลงๆ โค้งหักศอกเยอะแยะ เราขี่กันมาด้วยความเร็วไม่มากนัก จนกระทั่งผ่านภูเขานี้มา
ฝนไม่มี ถนนแห้ง พระจันทร์เต็มดวง ...นั่นแสดงว่าพวกผมได้เผชิญหน้ากับ "ฝนภูเขา" ซึ่ง เป็นฝนที่เกิดจากมวลอากาศชื้นไหลมาปะทะภูเขาที่ขวางกั้นทิศทางลมมวลอากาศจะถูกยกตัวให้สูงขึ้นและเย็นลง ไอน้ำจึงกลั่นตัวกลายเป็นเมฆหนาทึบและตกลงมาเป็นฝน โดยฝนจะตกหนักทางด้านต้นลมแต่ทางด้านปลายลมฝนจะตกน้อยลง เรียกว่า เงาฝน นั่นเอง
พอขี่รถมาถึงทางเข้า อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ความสงสัย อยากรู้คำตอบ
มันทำให้ผมต้องหยุดรถหาที่พูดคุยกับเพื่อน ที่เพิ่งประสบเหตุมาด้วยกัน
เราสองคนคุยกันจนกระทั่งตกผลึกเหตุการณ์ได้ดังนี้
-เสียงกิ่งไม้หักลงมาแล้วฟาดเข้ากับหลังคาศาลา
มันคงปกติครับ เพราะฝนตก ต้นไม้เยอะ อาจจะผุพังตามเวลา
แต่ ผิดปกติตรงที่ ตามธรรมดาถ้ากิ่งไม้หัก สิ่งที่เราจะเห็นเมื่อมันระลงมามันต้องฟาดเข้ากับใบไม้อื่นๆ แล้วฟาดเข้ากับหลังคาศาลา
แรงสั่นสะเทือน+ความแรง สิ่งที่เราจะมองเห็นคือ การพังพินาศของใบไม้ที่ถูกฟาดระลงมาหรือหลังคาศาลาต้องบุบ ยุบ แต่พวกผมไม่เห็นอะไรครับ
-เสียงวิ่งแหวกป่ามาทางด้านหลังศาลาจุดที่ไฟรถส่องสว่างเข้าไป
ตามปกติเราวิ่งฝ่าป่า เราต้องเหยียบต้องผลักต้นไม้ ต้องมีการสั่นไหว
มีการขยับ ล้มระเนระนาดจากการวิ่งฝ่าออกมา แต่ นิ่งครับ ไม่มีอะไรขยับ
-เสียงคำรามที่ดังขึ้นหลังเสียงต่างๆ
เป็นเสียงที่ดังมาก ดังชนิดขนหัวตั้งถ้าเราได้ยิน คิดว่าสัตว์ป่าเหรอ
วิสัยของสัตซมักจะกลัวคน มักจะไม่โผล่ออกมานอกจากจะบังเอิญเจอกัน
หรือคนรุกรานสัตว์เท่านั้น แล้วสัตว์จะต้องออกมาไล่มาสู้ ไล่ทำร้าย
แต่เสียงคำรามดังขึ้นไกล้ผม ในระยะประมาณ ไม่เกิน 5 เมตร แล้วเงียบลง คำราม3ครั้ง แล้วเงียบ
จากการคิดการวิเคราะห์ สองคนผมกับเพื่อนเลยคิดว่าน่าจะเจอดีเข้าให้
ถ้าถามถึงความรู้สึก ผมบอกได้แค่ว่าตกใจครับ ยังไม่ถึงกับกลัว
เพราะมันเกิดขึ้นอย่างที่บอกว่า ไวมาก ไวซะ จนไม่มีเวลากลัว
ผมเก็บคำถามเหล่านี้ไว้นาน3ปี ว่าสิ่งที่เจอคืออะไร
ผมเอาไปเล่าในเดอะช๊อค เล่าในพระเจอผี คนฟังก็ลงความเห็นไปในทางเดียวกันว่ามันคือผี หรือเล่าให้พ่อฟัง พ่อก็บอกว่า คืออสุรกาย
แต่ถึงแม้ว่าผมเองก็ จะมีความเห็นแบบนั้น แต่อีกใจผมก็ยังสงสัย
ว่ามันคือสัตว์ป่ามั้ย นั่นละครับ เหตุผลที่เราตกผลึกกันว่าไม่มีอะไรเคลื่อนไหว นอกจากเสียง มันก็ทำให้คิดว่าผี/วิญญาณ/อสุรกาย
เพราะถ้าเป็นสิ่งมีชีวิต มันต้องมีการขยับ มีการเคลื่อนไหวของเเรงต้านเเรงเสียดทาน การสัมผัส แต่ทุกอย่างมันนิ่ง พวกผมมองเห็นชัดเจนจากไฟหน้ารถ LED สีขาว..... คำตอบที่พิสูจน์ได้100% ไม่มี ความสัยก็ถูกเก็บเรื่อยมา จนในปี 2565 มีโอกาสได้ผ่านเส้นทางนี้อีกครั้ง
แต่เป็นการเดินทางโดยรถยนต์ ไปกันหลายคน และพวกเราตกลงกันว่าจะไม่ทักท้วง จะไม่พูดถึงผี ถึงสัตว์ป่า เพราะทุกคนได้รับฟังเรื่ิองนี้จากผมหมดแล้ว
ผมไปเจอด่านตวรจของ จนท.ป่าไม้ ที่นั่นมีห้องน้ำ มีกาแฟ ก็จอดรถพัก
แล้วด้วยความที่สงสัย เลยเล่าเรื่องนี้ให้พี่ๆลุงๆ จนท.ฟัง
เขาฟังด้วยรอยยิ้มปกติ เหมือนเรื่องมันไม่น่ากลัว หรือพี่ๆเขาชินก็ไม่รู้
เมื่อฟังจบ พี่แกบอกว่า
-น้องง...ไม่ใช่น้องคนเดียวนะที่เจอที่นั่น ที่น้องสงสัยว่าสัตว์หรือผี
พี่บอกเลยที่นั่นของจริง ผีแน่นอน นั่นไงคนนั้นเป็นคนไปเจอศพมา
แล้วพี่ออีกคนแกหัวเราะขึ้นแล้วเดินมาเล่าให้ฟังว่าแกคือคนตรวจลาดตระเวน แล้วไปเจอศพหญิงคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าที่หลังศาลานี้
เลยแจ่งตำรวจให้ขึ้นมาตรวจ ระหว่างยกศพนั้น แรากฏว่าหัวศพหลุดจากตัว
อีกรายหนึ่งเป็นผู้หญิงเหมือนกันแต่ถูกยิง ลักษณะเอามือบังหน้าผากไว้ มีรูตรงมือและหน้าผาก
สัณนิษฐานว่าน่าจะโดนฆ่าตัดตอนในยุคปราบยาเสพติด
แกยังเล่าอีกว่า พ่อค้าแม่ค้าเร่ตามตลาดนัดมาจอดรถพักนอนที่ศาลานี้กระเจอกระเจิงกันมาแล้ว คืออยู่ดีดีแหงนหน้าขึ้นไปเพราะต้องหาที่กางมุ้ง เห็นผ๔้หญิงเปลิยกายนั่งบนขื่อศาลา บวมอึ้ดทึ้ด กระโดดลงมาที่พื้นดังตึ้บ...แล้ววิ่งเข้าป่าไป ใครจะอยู่ละ
หรือจะเป็นรถคอกขนผัก ขับมาดีดี มีผู้หญิงวิ่งออกมาจากศาลาวิ่งนำหน้ารถ ไม่ใส่เสื้อผ้า แล้วส่ายตูดล้อเลียน คนขับรถขับมาด้วยความเร็ว60-70 คนบ้าที่ไหนจะวิ่งทัน แต่ ผํ้หญิงคนนี้วิ่งนำหน้ารถ แล้วกระโดดหายเข้าป่าไปเลย....เจอผีแล้วน้องเอ้ย
นี่คือคำบอกเล่าจากเจ้าหน้าที่ด่านตรวจ
พี่ครับจะหนักหรือเบาผมก็ไม่ได้อยากเจอนะครับ
ขึ้นชื่อว่าผี ไผ๋มันสิบ่ย่าน