5
“นี่คือแต่งแบบสำรวมแล้วหรือเจ้าคะ” พิมพ์มาดาก้มหน้ามองดูผ้าแถบสีเหลืองจำปาที่พันรอบอกจนแน่น
“ห่มแบบนี้ดีแล้ว ใครๆเขาก็ห่มแนบเนื้อกัน ดูเองสิว่างามไหม” แม่หญิงนิ่มบอกอย่างเอ็นดูแล้วส่งคันฉ่องให้
เงาสะท้อนของหญิงสาวใส่ผ้าแถบสีจำปา นุ่งผ้านุ้งแบบโบราณมีจีบตรงด้านหน้า ผมเกล้ามวยต่ำเอียงไปด้านซ้ายมีปิ่นเงินเล็กๆเสียบอยู่ ดูอ่อน
ช้อยงดงามราวนางในวรรณคดี
“สวยก็สวยอยู่หรอกเจ้าค่ะ แต่มันไม่โป๊ไปหน่อยหรือเจ้าคะ”เจ้าของร่างงามนั้นส่งเสียงอิดออด ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เธอก็ใส่แต่เสื้อกระบอกแขนยาว
ปิดคอแล้วใส่ผ้าแถบเกาะอกไว้ข้างในแทนเสื้อชั้นใน แต่พอมาใส่เกาะอกแบบนี้ตัวเดียวจึงรู้สึกหวิวๆ
“เข้าวังทั้งที ต้องแต่งตัวให้งาม อีกทั้งกิริยาจักต้องสำรวม จักเดินส่ายไปส่ายมามิได้นะแม่พิม มาข้าจะพรมน้ำอบให้ทั่วตัวเจ้า จักได้หอม
ฟุ้ง”พิมพ์มาดานั่งนิ่งให้แม่หญิงนิ่มจับแต่งตัวเหมือนตุ๊กตา หลังจากประพรมน้ำหอมทั่วหลังและแขนแล้วแม่หญิงนิ่มก็เอาแป้งร่ำสีนวลเนื้อเนียน
ละเอียดมีกลิ่นหอมอ่อนๆมาผัดหน้าของหญิงสาวตรงหน้าอย่างเบามือ ส่วนคิ้วก็บรรจงวาดโค้งเป็นจันทร์เสี้ยวด้วยแท่งถ่านที่ทำมาจากเนื้อ
มะพร้าวแก่ที่เผาไฟจนดำ
“งามเสียแบบนี้ ชายใดได้เห็นเจ้า คงต้องเหลียวหลังกันจนคอหักเป็นแน่แท้” แม่หญิงนิ่มกล่าวเป็นคำสุดท้าย
คำพูดนี้ไม่ได้กล่าวเกินจริงนัก แค่ทันทีที่ก้าวลงบันไดพวกบ่าวไพร่ก็มองกันจนคอแทบเคล็ด แม้กระทั่งพระยาเทพวิจิตรที่นั่งแกะสลักไม้อยู่
กลางศาลาริมน้ำยังถึงกับเอ่ยปากชม
“นางฟ้านางสวรรค์จรลีมาถึงนี่เลยฤา”
ส่วนขุนรามเดชะที่นั่งข้างๆพ่อก็ถึงกับตะลึงในความงามของสตรีนางนั้น แต่ยังเก็บอาการไว้ได้อย่างเป็นปกติ สายตาคมมองพิศไปที่เรือนร่าง
และผิวพรรณของนางผู้นี้ซึ่งผุดผ่องอมชมพูราวกลีบดอกบัวหลวง แม้สายตาจะเคยผ่านหญิงงามมามากแต่ผิวพรรณส่วนใหญ่ก็เป็นขาวเหลือง
แบบลูกจันทน์ ส่วนดวงตาของนางนั้นแม้จะไม่ได้กลมโตหวานซึ้งแต่ก็เปล่งประกายแวววาวฉายความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา จมูกโด่งงามปลายมน
เป็นหยดน้ำดูจิ้มลิ้มรับกับริมฝีปากสีแดงบางเชิดเป็นจีบได้รูป นางผู้นี้มาจากที่ใดกันนะ
“อ้าว ท่านเจ้าคุณมิเข้าไปบูรณะวัดสลักหรือเจ้าคะ พ่อรามด้วย วันนี้มิต้องเข้ากรมฤาหากไปจักได้ไปด้วยกัน”คุณหญิงนวลที่เดินตามหลังส่ง
เสียงถามคู่พ่อลูกซึ่งตอนนี้นั่งนิ่งเหมือนต้องมนต์
“ค่อยไปวันพรุ่ง ส่วนพ่อราม เห็นว่าพระยาท่านไปนอกราชการวันนี้จึงมิต้องเข้ากรมทหาร คุณหญิงล่ะ จักไปวังหน้าฤา แต่งตัวงามมิแพ้กัน
เชียว” พระยาเทพวิจิตรผู้เป็นสามีหยอกกลับ
คุณหญิงนวลยิ้มจนแก้มปริเมื่อสามีชม วันนี้เธอใส่เสื้อแขนกระบอกสามส่วนเนื้อผ้าเป็นผ้าไหมมันวาวสีฟ้าอ่อนและห่มสไบเฉียงเป็นผ้ากรอง
ทองทับเสื้ออีกที ส่วนผมเธอก็เกล้ามวยสูงประดับด้วยดอกไม้ จัดว่าสวยไม่สร่างทีเดียวสำหรับผู้หญิงที่มีลูกโตขนาดนี้
“เจ้าค่ะ ข้าจักนำน้ำอบไปถวายเจ้าครอกฟ้าศรีอโนชา ไปกันเถิดแม่พิมเดี๋ยวจักสาย” ประโยคหลังคุณหญิงนวลหันมาพูดกับพิมพ์มาดาที่ยืนเชิด
อย่างมั่นใจ เธอเห็นสายตาที่มองมาแวบหนึ่งของขุนรามเดชะก็รู้ทันทีว่าเขาก็คงจะตะลึงในความงามของเธออยู่เหมือนกัน แต่ความมั่นใจจน
ลืมตัวก็ทำให้เธอไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มมุมปากของคุณหญิงนวลที่ดูมีความหมายซ่อนอยู่
กรุงเทพนิรมิตร ตอนที่ 5
“นี่คือแต่งแบบสำรวมแล้วหรือเจ้าคะ” พิมพ์มาดาก้มหน้ามองดูผ้าแถบสีเหลืองจำปาที่พันรอบอกจนแน่น
“ห่มแบบนี้ดีแล้ว ใครๆเขาก็ห่มแนบเนื้อกัน ดูเองสิว่างามไหม” แม่หญิงนิ่มบอกอย่างเอ็นดูแล้วส่งคันฉ่องให้
เงาสะท้อนของหญิงสาวใส่ผ้าแถบสีจำปา นุ่งผ้านุ้งแบบโบราณมีจีบตรงด้านหน้า ผมเกล้ามวยต่ำเอียงไปด้านซ้ายมีปิ่นเงินเล็กๆเสียบอยู่ ดูอ่อน
ช้อยงดงามราวนางในวรรณคดี
“สวยก็สวยอยู่หรอกเจ้าค่ะ แต่มันไม่โป๊ไปหน่อยหรือเจ้าคะ”เจ้าของร่างงามนั้นส่งเสียงอิดออด ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เธอก็ใส่แต่เสื้อกระบอกแขนยาว
ปิดคอแล้วใส่ผ้าแถบเกาะอกไว้ข้างในแทนเสื้อชั้นใน แต่พอมาใส่เกาะอกแบบนี้ตัวเดียวจึงรู้สึกหวิวๆ
“เข้าวังทั้งที ต้องแต่งตัวให้งาม อีกทั้งกิริยาจักต้องสำรวม จักเดินส่ายไปส่ายมามิได้นะแม่พิม มาข้าจะพรมน้ำอบให้ทั่วตัวเจ้า จักได้หอม
ฟุ้ง”พิมพ์มาดานั่งนิ่งให้แม่หญิงนิ่มจับแต่งตัวเหมือนตุ๊กตา หลังจากประพรมน้ำหอมทั่วหลังและแขนแล้วแม่หญิงนิ่มก็เอาแป้งร่ำสีนวลเนื้อเนียน
ละเอียดมีกลิ่นหอมอ่อนๆมาผัดหน้าของหญิงสาวตรงหน้าอย่างเบามือ ส่วนคิ้วก็บรรจงวาดโค้งเป็นจันทร์เสี้ยวด้วยแท่งถ่านที่ทำมาจากเนื้อ
มะพร้าวแก่ที่เผาไฟจนดำ
“งามเสียแบบนี้ ชายใดได้เห็นเจ้า คงต้องเหลียวหลังกันจนคอหักเป็นแน่แท้” แม่หญิงนิ่มกล่าวเป็นคำสุดท้าย
คำพูดนี้ไม่ได้กล่าวเกินจริงนัก แค่ทันทีที่ก้าวลงบันไดพวกบ่าวไพร่ก็มองกันจนคอแทบเคล็ด แม้กระทั่งพระยาเทพวิจิตรที่นั่งแกะสลักไม้อยู่
กลางศาลาริมน้ำยังถึงกับเอ่ยปากชม
“นางฟ้านางสวรรค์จรลีมาถึงนี่เลยฤา”
ส่วนขุนรามเดชะที่นั่งข้างๆพ่อก็ถึงกับตะลึงในความงามของสตรีนางนั้น แต่ยังเก็บอาการไว้ได้อย่างเป็นปกติ สายตาคมมองพิศไปที่เรือนร่าง
และผิวพรรณของนางผู้นี้ซึ่งผุดผ่องอมชมพูราวกลีบดอกบัวหลวง แม้สายตาจะเคยผ่านหญิงงามมามากแต่ผิวพรรณส่วนใหญ่ก็เป็นขาวเหลือง
แบบลูกจันทน์ ส่วนดวงตาของนางนั้นแม้จะไม่ได้กลมโตหวานซึ้งแต่ก็เปล่งประกายแวววาวฉายความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา จมูกโด่งงามปลายมน
เป็นหยดน้ำดูจิ้มลิ้มรับกับริมฝีปากสีแดงบางเชิดเป็นจีบได้รูป นางผู้นี้มาจากที่ใดกันนะ
“อ้าว ท่านเจ้าคุณมิเข้าไปบูรณะวัดสลักหรือเจ้าคะ พ่อรามด้วย วันนี้มิต้องเข้ากรมฤาหากไปจักได้ไปด้วยกัน”คุณหญิงนวลที่เดินตามหลังส่ง
เสียงถามคู่พ่อลูกซึ่งตอนนี้นั่งนิ่งเหมือนต้องมนต์
“ค่อยไปวันพรุ่ง ส่วนพ่อราม เห็นว่าพระยาท่านไปนอกราชการวันนี้จึงมิต้องเข้ากรมทหาร คุณหญิงล่ะ จักไปวังหน้าฤา แต่งตัวงามมิแพ้กัน
เชียว” พระยาเทพวิจิตรผู้เป็นสามีหยอกกลับ
คุณหญิงนวลยิ้มจนแก้มปริเมื่อสามีชม วันนี้เธอใส่เสื้อแขนกระบอกสามส่วนเนื้อผ้าเป็นผ้าไหมมันวาวสีฟ้าอ่อนและห่มสไบเฉียงเป็นผ้ากรอง
ทองทับเสื้ออีกที ส่วนผมเธอก็เกล้ามวยสูงประดับด้วยดอกไม้ จัดว่าสวยไม่สร่างทีเดียวสำหรับผู้หญิงที่มีลูกโตขนาดนี้
“เจ้าค่ะ ข้าจักนำน้ำอบไปถวายเจ้าครอกฟ้าศรีอโนชา ไปกันเถิดแม่พิมเดี๋ยวจักสาย” ประโยคหลังคุณหญิงนวลหันมาพูดกับพิมพ์มาดาที่ยืนเชิด
อย่างมั่นใจ เธอเห็นสายตาที่มองมาแวบหนึ่งของขุนรามเดชะก็รู้ทันทีว่าเขาก็คงจะตะลึงในความงามของเธออยู่เหมือนกัน แต่ความมั่นใจจน
ลืมตัวก็ทำให้เธอไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มมุมปากของคุณหญิงนวลที่ดูมีความหมายซ่อนอยู่