ความปัญญาอ่อนของ นิทานแฟนตาซีเม็ดมะขาม

สืบเนื่องจาก กระทู้ จาก บันได(สวรรค์) ถึง แมลงวัน(นรก)  http://ppantip.com/topic/30672825



ถ้าไม่ให้เรียกว่า "ปัญญาอ่อน" ผมก็ไม่ทราบว่าจะเรียกขาน "เรื่องราว" ที่พวกเม็ดมะขามเหล่านี้ได้ "ผูก" เอาไว้ ว่าอย่างไรเหมือนกัน
ประเด็นของกระทู้ที่ผมตั้งขึ้น ก็คือ ถ้าหาก นายคันโตนาซี อ้างว่า นรกสวรรค์ ต้องหมายถึง ภพภูมิหลังการตาย(แล้วไปเกิด) เท่านั้น
ปัญหา ก็คือ แล้วบรรดา ฤษี โยคี ผู้ทรงอภิญญา รวมไปถึง อริยบุคคล และ โยคาวจรทั้งหลายในพระพุทธศาสนา
ที่ระบุว่า ได้เคยท่องเที่ยวไปใน เทวโลก พรหมโลก  ฯลฯ เขาก็ต้องตายไปแล้ว น่ะสิ !



แต่เท่าที่ปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฎก ก็ไม่ได้มีใครตาย ด้วยเหตุเพราะไปทัวร์นรกสวรรค์ เลยสักคนนี่ครับ
แล้วอย่างนี้ จะมาสรุปอย่างโง่ๆ ว่า นรกสวรรค์ ต้องหมายถึง ภพภูมิหลังความตาย(แล้วไปเกิด) ได้อย่างไรกัน
ดังกรณีของ ท่านพระนันทะ ย่อมชัดเจนเป็นอย่างยิ่งว่า ...........

(๑) ท่านมิได้เป็นผู้ทรงฌานอภิญญาใดๆ
(๒) ท่านได้ตามเสด็จไปดาวดึงส์ และก็มิได้ ตาย-แล้วไปเกิด ในเหตุการณ์ครั้งนี้

เมื่อปรากฏหลักฐานชัดเจนถึงเพียงนี้แล้ว จะสรุปว่า นรกสวรรค์ เป็นภพภูมิหลังความตาย(แล้วไปเกิด) ได้อย่างไร ?



หลังจากที่บรรดาเม็ดมะขามได้ทำการ "สุมหัว" ระดมข้อมูลกันอยู่สักพักหนึ่ง ก็ได้มีการออกมา "โต้แย้ง" อย่างโง่ๆ อีกตามเคย
ด้วยการแสดงหลักฐานที่ปราศจากการไตร่ตรอง "ข้อเท็จจริง" อย่างรอบคอบ และ "ลึกซึ้ง" ด้วยเรื่อง "อิทธวิธญาณ"
เพียงเพราะพวกมันเห็นคำว่า "ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้" เท่านั้นเอง !



พวกเม็ดมะขาม ดีใจมากไหมครับ ในตอนที่เห็นคำว่า "กาย" จากพระสูตรที่ยกขึ้นมาอ้าง
เพราะถ้าตอนนั้น พวกแกดีใจมาก        ตอนนี้ ก็เตรียมตัว เสียใจ มากๆ ได้แล้วนะครับ

ประเด็นที่ท่านทั้งหลายพึงทราบก็คือ คำว่า กาย ในที่นี้ มีความหมายว่าอย่างไร ?

อีกทั้ง กรณี "อิทธวิธญาณ" ที่พวกเม็ดมะขามยกขึ้นอ้างนี้ จะทำให้สามารถสรุปความได้ว่า
นรกสวรรค์ เป็นภพภูมิหลังตาย(แล้วไปเกิด) หรือ ควรหมายถึง ภพภูมิทางใจ กันแน่ !



เริ่มต้นด้วยการพิจารณา "อิทธวิธญาณ" กันก่อนนะครับ ที่จริงแล้ว เรื่องนี้ สามารถทำความเข้าใจได้ไม่ยาก
เพราะที่จริงแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้อธิบายว่า มันก็หมายถึง ฤทธิ์ ที่เกิดจากการอธิษฐานจิต นั่นเอง
ทั้งนี้ เมื่อเจาะลึกลงไปเฉพาะประเด็น "การใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลก"
ท่านพระสารีบุตร ได้อธิบายเอาไว้อย่างชัดเจน ดังนี้ว่า ..........



(๑) ท่านผู้มีฤทธิ์ผู้ถึงความชำนาญแห่งจิตนั้น ถ้าประสงค์จะไปยังพรหมโลก ก็ใช้การอธิษฐาน(หลังออกจากฌาน)
(๒) ท่านย่อมเห็นรูปพรหมนั้นได้ด้วยทิพจักษุ ย่อมฟังเสียงพรหมนั้นได้ด้วยทิพโสต ย่อมรู้จิตของพรหมนั้นได้ด้วยเจโตปริยญาณ  
ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ล้วนเป็นเรื่องของอำนาจทางจิตทั้งสิ้น !
(๓) หากประสงค์จะไปยังพรหมโลกด้วยกายที่ปรากฏ  ก็น้อมจิตอธิษฐานจิตด้วยสามารถแห่งกาย  แล้วก็ไปยังพรหมโลกได้ด้วยกายที่ปรากฏอยู่
(๔) คำว่า "กาย" ที่ไปปรากฏในพรหมโลกนั้น หมายถึง "กาย" ที่ท่านผู้มีฤทธิ์นิรมิตรูปอันสำเร็จด้วยใจ
มีอวัยวะครบทุกส่วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ไว้ข้างหน้าของพรหมนั้น

กล่าวโดยสรุป ก็คือ

คำว่า "กาย" ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลก" นั้นหมายถึง
รูป(เนรมิต)ที่สำเร็จได้ด้วย(อำนาจ)ใจ มิได้หมายถึง กายเนื้อ หรือ กายหยาบอะไรเลย



เมื่อ ข้อเท็จจริง ปรากฏอยู่อย่างนี้แล้ว ก็ต้องกลับไปที่ประเด็นปัญหา ที่ว่า แล้วกรณี ท่านพระนันทะ
ไปดาวดึงส์ ที่พวกเม็ดมะขามกล่าวว่า เป็นภพภูมิหลังความตาย(แล้วไปเกิด) ได้อย่างไร ?

ที่จริงแล้ว อรรถกถาจารย์ ก็ได้ให้คำอธิบายไว้เสียดิบดีทีเดียวว่า พระพุทธเจ้าทรงใช้ อิทธาภิสังขาร
เพื่อทำให้ท่านพระนันทะ สามารถเห็น หรือ(เสมือน)เข้าไปใน เทวโลกดาวดึงส์  ทั้งๆ ที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมนั่นแหละ



สิ่งที่พึงทราบเพิ่มเติม ก็คือ อิทธาภิสังขาร มีลักษณะอย่างไร ทั้งนี้ ขอยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น
กรณี อัมพัฏฐมานพ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงบรรดาลให้เห็น "ของลับ" ของพระองค์
ในกรณีเช่นนี้ คงไม่มีใครเข้าใจ(เลยเถิด)ไปว่า อัมพัฏฐมานพ ได้มุดเข้าไปในจีวรของพระพุทธเจ้า เพื่อดูของลับ ใช่หรือไม่ ?



ยังมีอีกกรณีหนึ่งที่น่าสนใจ และเกี่ยวข้องกับ กรณี "การใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลก" โดยตรง
คือ กรณีพกพรหม ภาพเหตุการณ์โดยสรุป ก็คือ พรหมไม่สามารถหายตัวไปจากพระพุทธเจ้าได้ตามที่ปรารถนา
แต่พระพุทธเจ้าได้ทรงบันดาล "อิทธาภิสังขาร" ให้หายตัวไปได้ พวกพรหมจึงได้ยินแต่เสียง(ทิพย์) แต่ไม่เห็นตัวของพระพุทธเจ้า

เมื่ออธิบายมาถึงตรงนี้แล้ว ชาวพุทธเถรวาท ย่อมต้องเข้าใจตามความเป็นจริงว่า "การใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลก"
นั้นเป็นส่วนหนึ่งของ การใช้อิทธาภิสังขาร คืออาศัยการอธิษฐานจิต โดยมีฌานอภิญญาเป็นบาทฐาน หมายความว่า
การที่โยคาวจรผู้ทรงฌานอภิญญาจะไปพรหมโลก(หรือเทวโลกฯลฯ) ได้นั้น ต้องมีการทำอภิญญาหลายอย่างประกอบกันเข้า
เช่น (๑) เห็นรูปพรหมนั้นได้ด้วยทิพจักษุ (๒) ได้ยินเสียงพรหมนั้นด้วยทิพโสตธาตุ (๓) ส่วนการที่จะสามารถปรากฏตัว
ให้เทวดาเหล่านั้นเห็น(หากต้องการ) ก็ต้องใช้การเนรมิตรูปขึ้นมาด้วยอำนาจทางใจ(มโนมยิทธิ) เป็นต้น



โดยทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะสามารถเกิดขึ้นได้ ก็ด้วยอำนาจแห่งการอธิษฐานทางจิตของผู้ทรงฌานอภิญญา เท่านั้น
ทั้งนี้ ขอกล่าวย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า คำว่า "กาย" ที่มีอวัยวะครบทุกส่วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่องนี้ หมายถึง
รูปเนรมิต อันสำเร็จได้ด้วยใจ(มโนมยิทธิ) ไม่มี เนื้อหนัง กายหยาบ อะไรเลยสักอย่างเดียว นะครับ  !

ทีนี้ ก็ต้องหวนกลับมาสู่ประเด็นปัญหาดั้งเดิม กล่าวคือ นรกสวรรค์ เทวโลก พรหมโลก ตามที่แสดงหลักฐานมานี้
ไม่มีความข้อใดเลยที่ระบุว่า ภพภูมิเหล่านั้น เป็นภพภูมิหลังความตาย(แล้วไปเกิด) สมดังที่พวกเม็ดมะขามเอ่ยอ้าง

ท่านพระนันทะ ตามเสด็จไปดาวดึงส์ ก็เป็นการใช้  อิทธาภิสังขาร คือ การอธิษฐานทางจิตของพระพุทธเจ้า
การอธิษฐานทางจิต นี้หมายถึง การอธิษฐานโดยมีฌานอภิญญา ซึ่งเป็นอำนาจทางจิต เป็นบาทฐาน
การไปสู่เทวโลกพรหมโลก นั้นหมายถึง (๑) การเห็นด้วยทิพยจักษุ (๒) การได้ยินด้วยทิพยโสต และหากแม้
ต้องการปรากฏกายในเทวโลกหรือพรหมโลก กายที่ปรากฏ ก็เป็น รูปเนรมิต ที่สำเร็จด้วย มโนมยิทธิ ซึ่งเป็นฤทธิ์ทางใจ อีกนั่นแหละ

กระบวนทั้งหมดที่กล่าวมานี้ มีอะไร ที่พ้นไปจาก "ใจ" บ้างหรือไม่ครับ ?



อีกประเด็นที่ควรทราบ และ "จดจำ" ใส่กะโหลกเอาไว้ให้แม่นยำ ก็คือ เทวโลกและพรหมโลก เป็นต้นนี้
ย่อมกล่าวว่าเป็น จตุโวการภพ หมายถึง ภพภูมิแห่งชีวิตสัตว์ที่ประกอบไปด้วยขันธ์ ๔ (เว้นธรรมฝ่ายรูป)
หรือกล่าวให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ มันเป็นภพภูมิที่มีแต่ นามธรรม คือ จิต&เจตสิก เท่านั้น

ซึ่งถ้าไม่ให้เรียกว่า "ภพภูมิทางใจ" แล้วมันจะให้เรียกว่า ภพภูมิชนิดไหน กันเล่าครับ ?



ช่างน่าสมเพช ที่อยู่ดีๆ ไอ้เม็ดมะขามพวกนี้ ก็คิดเองเออเองว่า พุทธพจน์จาก เจตนาสูตร
ต้องหมายถึง ภพภูมิทางใจ ที่เกิดขึ้นเฉพาะในขณะ(มนุษย์)มีชีวิตอยู่ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้า ก็มิได้ตรัสอย่างนั้น
และทั้งๆ ที่ก็เห็นหลักฐานทางพระคัมภีร์ ชัดเจนอยู่ว่า นรกสวรรค์ เป็นภพภูมิของสิ่งมีชีวิตที่ประกอบขึ้นด้วยใจ(เท่านั้น)
แต่พวกมันจะไม่ยอมให้เรียกภพภูมิเหล่านั้น ตามความเป็นจริงว่า ภพภูมิทางใจ ซะงั้น !

ตลกดี

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่