ตอนก่อนหน้า :
บทที่ 1 วิหคสวรรค์ :
http://ppantip.com/topic/30360119
บทที่ 2 เจริญวัย :
http://ppantip.com/topic/30383464
บทที่ 3 สองเงา :
http://ppantip.com/topic/30416774
บทที่ 4 ก่อนการสัประยุทธ์ :
http://ppantip.com/topic/30529869
บทที่ 5 ไม่อาจพบพาน :
http://ppantip.com/topic/30586505
แผนผังตัวละคร
...
...
...
496 ปี ก่อนคริสตศักราช
เมื่อใบไม้ใบสุดท้ายปลิดปลิวลงจากต้น นั่นคือสัญญาณของสายลมลี่ชิวที่พัดผ่านเข้ามาตามฤดูกาลโดยไม่อาจบิดพลิ้ว อู๋อ๋องเหอหลีประทับบนรถทรงม้าในฐานะแม่ทัพของกองกำลังทหารสามหมื่นนาย แต่ขุนพลผู้นำหน้ากองทัพกลับประกอบไปด้วยป๋อผี่ หวางซุนสง และจวนอี้ ส่วนอู๋จื่อซีเพียงมาถวายความเคารพและยืนส่งที่หน้าประตูพิชิตฉู่
“จากนี้อำนาจการตัดสินใจใด ๆ ภายในเมืองนี้ ข้าขอมอบให้เจ้า อู๋จื่อซี”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ ต้าอ๋อง”
คำสั่งใด ๆ ของอู๋อ๋องเหอหลี อู๋จื่อซีไม่บังอาจคัดค้านด้วยความเป็นข้าที่จงรัก แม้ตนจะเป็นผู้ฝึกและจัดเตรียมทหารแทนซุนวู แต่เมื่อถึงเวลาออกรบ อู๋อ๋องเหอหลีกลับบัญชาให้เสนาบดีคู่ใจรั้งเมืองไว้ในฐานะผู้แทนพระองค์
“ดูแลเมืองของข้าให้ดี ๆ มีอะไรที่ไม่เข้าที่เข้าทาง เจ้าก็จัดการได้เลย ไม่ต้องมัวรอขออนุญาตจากข้า”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ต้าอ๋องทรงบริหารบ้านเมืองอย่างเข้มงวดรัดกุมมาตลอด แทบไม่มีสิ่งใดต้องแก้ไขปรับปรุงเลย อ้อ หากจะมีก็เพียงแต่ เมล็ดข้าวที่ประชาชนเก็บเกี่ยวหว่านไถมาจากไร่นาเพื่อเป็นเสบียงของกองทัพ ข้าพระองค์คิดคำนวณออกดูแล้ว เราเก็บเกี่ยวเมล็ดเข้าวออกมาจนล้นเหลือ แม้แจกจ่ายไปทั้งกองทัพและครอบครัวของเหล่าทหารแล้ว ในยุ้งฉางของราษฎรและคลังหลวงก็ต่างล้นออกมา ข้าพระองค์เกรงว่า หากเก็บไว้ก็จะเน่าเสียไปเปล่า ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ แล้วเจ้าคิดจะทำประการใด”
“ข้าพระองค์ได้ทดลองนำเมล็ดข้าว ไปใส่ไว้ในน้ำแล้วนึ่งจนสุก จากนั้น นำมาโม่จนเหนียว จากนั้นปั้นแล้วตากทิ้งไว้จนกลายเป็นก้อนสี่เหลี่ยมเหมือนก้อนหิน สามารถนำไปซ่อมแซมกำแพงเมืองที่สึกหรอได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ฮ่า ๆ เจ้านี่ ช่างสรรหาอะไรมาทำเสียจริง ๆ”
“ต้าอ๋อง โปรดประทานพระราชานุญาตให้ข้าพระองค์ดำเนินการต่อในเมล็ดข้าวส่วนที่เหลือเก็บด้วยพ่ะย่ะค่ะ* ”
“ฮ่า ๆ ๆ ได้ซี ข้าอนุญาต ไปเถอะ กลับไปเฝ้าเมืองให้ข้า”
“ขอบพระทัยต้าอ๋อง”
ขณะที่อู๋จื่อซีถวายความเคารพแล้วลาไป อู๋อ๋องเหอหลีทอดพระเนตรไปยังฟูชา ที่ประทับยืนตัวตรงอยู่ในลำดับต่อมา ขณะนั้นฟูชากำลังจ้องมองกองทัพนับหมื่นด้วยประกายที่ลุกโชนด้วยไฟแห่งความกระหายสงคราม อู๋อ๋องเหอหลีจึงทอดตามองบุตรชายด้วยสายพระเนตรที่เปี่ยมด้วยพลังอำนาจมากกว่า ฟูชาค่อยหลบสายตาและก้มหน้าสะกดอารมณ์คุกรุ่นภายในลงไปในที่สุด
“พ่อรู้ ว่าเจ้าอยากออกไปทำสงคราม แต่มันยังไม่ถึงเวลาของเจ้า”
“แต่หม่อมฉันอยากไปช่วยเสด็จพ่อนี่พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ากำลังจะบอกว่า พ่อเจ้าไร้ความสามารถแล้วอย่างนั้นหรือ”
“มิใช่เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็ร่ำเรียนพิชัยสงครามจากราชครูของเจ้าให้ดี จำคำของพ่อไว้ ตราบใดที่แคว้นทั้งหลายยังมีการแบ่งกั้นพรมแดน สงครามย่อมไม่มีวันสิ้นสุด หากเจ้ากระหายสงคราม สงครามจะกลืนกินเจ้า จงระวังให้ดี”
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ”
ฟูชารับคำแล้วก้าวถอยออกไป อู๋อ๋องเหอหลียกหัตถ์ข้างขวาขึ้นฟ้า พลันนั้นธงใหญ่ประจำแคว้นอู๋พลันโบกสะบัด เสียงย่ำกลองหนังวัวดังขึ้นเป็นสัญญาณเคลื่อนทัพ พลทหารสามหมื่นนายขานรับเป็นคำว่า “สู้!” และเคลื่อนพลโดยพร้อมเพรียงกัน
ที่คล้อยหลังไปนั้นคือจอมทัพผู้เกรียงไกร ฟูชาทอดตามองตามพระบิดาจนเกือบลับสายตา ในหูยังก้องคำสอนที่ว่า
‘หากเจ้ากระหายสงคราม สงครามจะกลืนกินเจ้า’ พลันนั้นสายตากลับพร่ามัว ร่างของพระบิดามีหมอกควันดำปกคลุมอยู่โดยรอบ ฟูชาเพ่งมองแล้วใจหายวาบ ร่างของอู๋อ๋องเหอหลีที่กำลังบ่ายหน้าไปแคว้นเยว่
ถูกหมอกสีดำปกคลุมจนไร้ซึ่งเงาหัว!
* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• *
(
หมายเหตุผู้เขียน บทนี้แทรกด้วยตำนานขนมเข่ง ซึ่งจะปรากฏอีกครั้งในตอนท้าย แต่ป้องกันผู้อ่านงง ขออนุญาตอธิบายไว้ก่อนนะคะ)
ก้อนหินจากเมล็ดข้าวด้วยวิธีการของอู๋จื่อซี เป็นที่มาของ “ขนมเข่ง” หรือขนม “เหนียนเกา” ตามภาษาจีนกลาง เล่ากันว่า อู๋จื่อซีให้ทำไว้ในขณะที่บ้านเมืองยังมีผลผลิตทางการเกษตรสมบูรณ์ ต่อเมื่อบั้นปลาย อู๋จื่อซีถูกประหารชีวิตและแคว้นอู๋ถูกรุกราน ประชาชนอดอยาก ก็ได้พากันไปตัดก้อนหินจากกำแพงเมืองมากินเป็นอาหาร พบว่ากินได้และทำให้ประชาชนรอดตายในภาวะพ่ายสงคราม ต่อมาเพื่อรำลึกถึงอู๋จื่อซี ประชาชนจึงพากันทำขนมเข่งแจกกันกินทำวันตรุษหรือวันปีใหม่จีนสืบเนื่องกันมา.
[นิยายจีน] ตำนานไซซี บทที่ 6 : บุรุษผู้ถูกสงครามกลืนกิน
บทที่ 1 วิหคสวรรค์ : http://ppantip.com/topic/30360119
บทที่ 2 เจริญวัย : http://ppantip.com/topic/30383464
บทที่ 3 สองเงา : http://ppantip.com/topic/30416774
บทที่ 4 ก่อนการสัประยุทธ์ : http://ppantip.com/topic/30529869
บทที่ 5 ไม่อาจพบพาน : http://ppantip.com/topic/30586505
แผนผังตัวละคร
...
...
...
496 ปี ก่อนคริสตศักราช
เมื่อใบไม้ใบสุดท้ายปลิดปลิวลงจากต้น นั่นคือสัญญาณของสายลมลี่ชิวที่พัดผ่านเข้ามาตามฤดูกาลโดยไม่อาจบิดพลิ้ว อู๋อ๋องเหอหลีประทับบนรถทรงม้าในฐานะแม่ทัพของกองกำลังทหารสามหมื่นนาย แต่ขุนพลผู้นำหน้ากองทัพกลับประกอบไปด้วยป๋อผี่ หวางซุนสง และจวนอี้ ส่วนอู๋จื่อซีเพียงมาถวายความเคารพและยืนส่งที่หน้าประตูพิชิตฉู่
“จากนี้อำนาจการตัดสินใจใด ๆ ภายในเมืองนี้ ข้าขอมอบให้เจ้า อู๋จื่อซี”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ ต้าอ๋อง”
คำสั่งใด ๆ ของอู๋อ๋องเหอหลี อู๋จื่อซีไม่บังอาจคัดค้านด้วยความเป็นข้าที่จงรัก แม้ตนจะเป็นผู้ฝึกและจัดเตรียมทหารแทนซุนวู แต่เมื่อถึงเวลาออกรบ อู๋อ๋องเหอหลีกลับบัญชาให้เสนาบดีคู่ใจรั้งเมืองไว้ในฐานะผู้แทนพระองค์
“ดูแลเมืองของข้าให้ดี ๆ มีอะไรที่ไม่เข้าที่เข้าทาง เจ้าก็จัดการได้เลย ไม่ต้องมัวรอขออนุญาตจากข้า”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ต้าอ๋องทรงบริหารบ้านเมืองอย่างเข้มงวดรัดกุมมาตลอด แทบไม่มีสิ่งใดต้องแก้ไขปรับปรุงเลย อ้อ หากจะมีก็เพียงแต่ เมล็ดข้าวที่ประชาชนเก็บเกี่ยวหว่านไถมาจากไร่นาเพื่อเป็นเสบียงของกองทัพ ข้าพระองค์คิดคำนวณออกดูแล้ว เราเก็บเกี่ยวเมล็ดเข้าวออกมาจนล้นเหลือ แม้แจกจ่ายไปทั้งกองทัพและครอบครัวของเหล่าทหารแล้ว ในยุ้งฉางของราษฎรและคลังหลวงก็ต่างล้นออกมา ข้าพระองค์เกรงว่า หากเก็บไว้ก็จะเน่าเสียไปเปล่า ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ แล้วเจ้าคิดจะทำประการใด”
“ข้าพระองค์ได้ทดลองนำเมล็ดข้าว ไปใส่ไว้ในน้ำแล้วนึ่งจนสุก จากนั้น นำมาโม่จนเหนียว จากนั้นปั้นแล้วตากทิ้งไว้จนกลายเป็นก้อนสี่เหลี่ยมเหมือนก้อนหิน สามารถนำไปซ่อมแซมกำแพงเมืองที่สึกหรอได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ฮ่า ๆ เจ้านี่ ช่างสรรหาอะไรมาทำเสียจริง ๆ”
“ต้าอ๋อง โปรดประทานพระราชานุญาตให้ข้าพระองค์ดำเนินการต่อในเมล็ดข้าวส่วนที่เหลือเก็บด้วยพ่ะย่ะค่ะ* ”
“ฮ่า ๆ ๆ ได้ซี ข้าอนุญาต ไปเถอะ กลับไปเฝ้าเมืองให้ข้า”
“ขอบพระทัยต้าอ๋อง”
ขณะที่อู๋จื่อซีถวายความเคารพแล้วลาไป อู๋อ๋องเหอหลีทอดพระเนตรไปยังฟูชา ที่ประทับยืนตัวตรงอยู่ในลำดับต่อมา ขณะนั้นฟูชากำลังจ้องมองกองทัพนับหมื่นด้วยประกายที่ลุกโชนด้วยไฟแห่งความกระหายสงคราม อู๋อ๋องเหอหลีจึงทอดตามองบุตรชายด้วยสายพระเนตรที่เปี่ยมด้วยพลังอำนาจมากกว่า ฟูชาค่อยหลบสายตาและก้มหน้าสะกดอารมณ์คุกรุ่นภายในลงไปในที่สุด
“พ่อรู้ ว่าเจ้าอยากออกไปทำสงคราม แต่มันยังไม่ถึงเวลาของเจ้า”
“แต่หม่อมฉันอยากไปช่วยเสด็จพ่อนี่พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ากำลังจะบอกว่า พ่อเจ้าไร้ความสามารถแล้วอย่างนั้นหรือ”
“มิใช่เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็ร่ำเรียนพิชัยสงครามจากราชครูของเจ้าให้ดี จำคำของพ่อไว้ ตราบใดที่แคว้นทั้งหลายยังมีการแบ่งกั้นพรมแดน สงครามย่อมไม่มีวันสิ้นสุด หากเจ้ากระหายสงคราม สงครามจะกลืนกินเจ้า จงระวังให้ดี”
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ”
ฟูชารับคำแล้วก้าวถอยออกไป อู๋อ๋องเหอหลียกหัตถ์ข้างขวาขึ้นฟ้า พลันนั้นธงใหญ่ประจำแคว้นอู๋พลันโบกสะบัด เสียงย่ำกลองหนังวัวดังขึ้นเป็นสัญญาณเคลื่อนทัพ พลทหารสามหมื่นนายขานรับเป็นคำว่า “สู้!” และเคลื่อนพลโดยพร้อมเพรียงกัน
ที่คล้อยหลังไปนั้นคือจอมทัพผู้เกรียงไกร ฟูชาทอดตามองตามพระบิดาจนเกือบลับสายตา ในหูยังก้องคำสอนที่ว่า ‘หากเจ้ากระหายสงคราม สงครามจะกลืนกินเจ้า’ พลันนั้นสายตากลับพร่ามัว ร่างของพระบิดามีหมอกควันดำปกคลุมอยู่โดยรอบ ฟูชาเพ่งมองแล้วใจหายวาบ ร่างของอู๋อ๋องเหอหลีที่กำลังบ่ายหน้าไปแคว้นเยว่ ถูกหมอกสีดำปกคลุมจนไร้ซึ่งเงาหัว!
* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• *
(หมายเหตุผู้เขียน บทนี้แทรกด้วยตำนานขนมเข่ง ซึ่งจะปรากฏอีกครั้งในตอนท้าย แต่ป้องกันผู้อ่านงง ขออนุญาตอธิบายไว้ก่อนนะคะ)
ก้อนหินจากเมล็ดข้าวด้วยวิธีการของอู๋จื่อซี เป็นที่มาของ “ขนมเข่ง” หรือขนม “เหนียนเกา” ตามภาษาจีนกลาง เล่ากันว่า อู๋จื่อซีให้ทำไว้ในขณะที่บ้านเมืองยังมีผลผลิตทางการเกษตรสมบูรณ์ ต่อเมื่อบั้นปลาย อู๋จื่อซีถูกประหารชีวิตและแคว้นอู๋ถูกรุกราน ประชาชนอดอยาก ก็ได้พากันไปตัดก้อนหินจากกำแพงเมืองมากินเป็นอาหาร พบว่ากินได้และทำให้ประชาชนรอดตายในภาวะพ่ายสงคราม ต่อมาเพื่อรำลึกถึงอู๋จื่อซี ประชาชนจึงพากันทำขนมเข่งแจกกันกินทำวันตรุษหรือวันปีใหม่จีนสืบเนื่องกันมา.