***ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์เสีย.****

กระทู้สนทนา
ผมอ่านข่าวนี้

รายงานข่าวแจ้งว่า จากกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตส.ว.สรรหา ได้ยื่นหนังสือถึงกกต.ขอให้ตรวจสอบกรณีพรรคประชาธิปัตย์อาจกระทำการฝ่าฝืนกฏหมาย พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 จากสามกรณีคือ 1.รับบริจาคเงินจาก บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) จำนวน 1,000,000 บาท  2.รับบริจาคถุงยังชีพจากส่วนราชการ(กระทรวงพลังงาน) และ 3.รับบริจาคน้ำดื่ม จากบริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) และขอรับการสนับสนุนรถยนต์จากส่วนราชการทหาร

ล่าสุด  ได้มีหนังสือหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ ลต (ทบพ.) 0401/8929 ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2556 แถลงมติที่ประชุมกกต. ลงนามโดย นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกรรมการการเลือกตั้งนายทะเบียนพรรคการเมือง ยืนยันมติที่ประชุมคือ

1) นายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2555 ให้ยุติเรื่อง กรณี ปชป.รับบริจาคเงินจาก บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) จำนวน 1,000,000 บาท

2) นายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2556 ให้ยุติเรื่อง  กรณีพรรคประชาธิปัตย์ได้รับบริจาคถุงยังชีพจากส่วนราชการ(กระทรวงพลังงาน)

3) นายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2556 ให้ยุติเรื่อง กรณีพรรคประชาธิปัตย์รับบริจาคน้ำดื่ม จากบริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) และขอรับการสนับสนุนรถยนต์จากส่วนราชการทหาร

ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง ให้เหตุผลจากการพิจารณาว่า กรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นางอัญชลี เทพบุตร และนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ เปิดบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย  เพื่อรับเงินบริจาค กรณียังถือไม่ได้ว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นางอัญชลี เทพบุตร และนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ มีความผิดฐานเป็นผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมือง รับบริจาค ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้จากกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่  จึงไม่ดำเนินคดีอาญาแก่บุคคลทั้งสาม

รวมถึงกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นางอัญชลี เทพบุตร และนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ เปิดบัญชีเงินฝาก เพื่อรับบริจาคเงิน ตามข้อ (1) พรรคประชาธิปัตย์อยู่ภายใต้บังคับมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 หรือไม่ ที่ประชุมมีมติให้ยุติเรื่องด้วยเช่นกัน

โดยล่าสุด นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ได้ทำหนังสือถึงประธานกรรมการการเลือกตั้ง อีกครั้ง โดยยืนยันหลักการในกฏหมายตามความในมาตรา 42 ประกอบมาตรา 82  แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 อธิบายยืนยันในข้อมูลว่า

"..พรรคประชาธิปัตย์ รับบริจาคเงินจำนวน 1,000,000 บาท และรับบริจาคน้ำดื่มจำนวน 850 โหล มูลค่าสองหมื่นกว่าบาท จาก บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) ดังกล่าวข้างต้น เป็นการรับบริจาคที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2553 ที่ต้องจัดให้มีการทำบัญชีตามมาตรา 45 ให้ถูกต้องตามความเป็นจริงด้วย แต่กลับไม่ปรากฏการรายงานเรื่องพรรคประชาธิปัตย์ รับบริจาคเงินจำนวน 1,000,000 บาท และรับบริจาคน้ำดื่มจำนวน 850 โหล มูลค่าสองหมื่นกว่าบาท จาก บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) ไว้แต่อย่างใด ทั้งนี้เห็นได้จากจำนวนเงินบริจาคในหัวข้อ เงินบริจาคทั่วไป-ทรัพย์สิน ที่พรรคประชาธิปัตย์รายงานว่ามีเพียง 1,000 บาท.."

"..พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้บันทึกบัญชีเงินบริจาคที่เป็นเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ ที่รับบริจาคเงินจำนวน 1,000,000 บาท และน้ำดื่มมูลค่าสองหมื่นกว่าบาท มาจากบริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) ดังนั้น เงินจำนวน 1,000,000 บาท ซึ่งรับบริจาครวมมากับยอดที่ผู้อื่นบริจาคในช่วงเดียวกันอีก 191 ราย รวมเป็นเงินประมาณ 36,454,909 บาท กรณีการรับบริจาคในปี 2553 จึงมีการบันทึกบัญชีรายรับจากการบริจาคขาดไป 36,454,909 บาท ซึ่งมีนัยสำคัญมากเมื่อเทียบกับเงินบริจาคทั้งหมดที่รายงานในหมายเหตุเพียง 22,119,851.33 บาท ทำให้ยอดรายรับบริจาคในสมุดบัญชีของพรรคประชาธิปัตย์มียอดไม่ตรงกับสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย เลขที่ 068-0-09656-6 สาขาย่อยกระทรวงการคลัง และไม่มีการบันทึกบัญชีรายรับจากการบริจาคน้ำดื่มมูลค่าสองหมื่นกว่าบาทไว้ด้วย ทั้งนี้เห็นได้จากเงินบริจาคทั่วไป-ทรัพย์สิน ที่ระบุไว้เพียง 1,000 บาท.."

"..ดังนั้น เมื่องบการเงินไม่ถูกต้อง การรายงานการดำเนินกิจการของพรรคประชาธิปัตย์ ปี 2553 ตามแบบ ท.พ. 8 ในข้อ 5 สถานะทางการเงินของพรรคในรอบปีที่รายงาน จึงไม่ถูกต้องตามไปด้วย.."

กรณีจึงเป็นการที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา 42 วรรคสอง หรือมาตรา 82 นายทะเบียนพรรคการเมืองจึงต้องดำเนินการต่อไปตามความในมาตรา 93 โดยยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุบพรรคการเมืองนั้น

นายเรืองไกรให้ความเห็นว่า  นายทะเบียนพรรคการเมืองจึงต้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในมาตรา 42 และดำเนินการเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคประชาธิปัตย์ต่อไปโดยเร็วและอย่าให้เกินกำหนดเวลา ทั้งนี้ตามความในมาตรา 93 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 โดยมิอาจจะมีความเห็นให้ยุติเรื่องอีก หาได้ไม่
--------------------------------------------------

ประเด็นที่ผมอยากจะเสริมก็คือ

พรรคประชาธิปัตย์ รอดจากคดียุบพรรค มาแล้วหลายวาระ ด้วยกัน

1.  คดียื่นขอนายกพระราชทาน มาตรา 7

2. คดีการทุจริต บริษัทแมสไซอะ   โดยนายทะเบียนคือ กกต. ได้ดองเรื่องไว้จนคดีความหมดอายุ

3. การใส่ร้ายพรรคอื่นว่าจ้างซื้อเสียง กรณีประจวบ สังข์ขาว และนางธิติมา ฯลฯ

กกต.ชุดนี้กำลังจะหมดวาระลง...

และได้ "โชว์ความเป็นกลาง" ด้วยการควักใบแดงให้ ไพร พัฒโน ผู้สมัคร นายก ฯ สงขลา

กรณีข่าวของคุณเรืองไกร ผมทำขีดเส้นใต้ไว้ข้อความสำคัญ สำหรับคนที่ขี้เกียจอ่านทั้งหมด

ผมจะรอดูอีกคดีหนึ่ง ที่ การบริจาคเงินเข้าพรรค ฯ  ที่ สภานิติบัญญัติยุค คมช. เขียนกฎหมายเพื่อกันพรรคอื่น แต่ลืมเขียนบทเฉพาะกาลว่า ให้ยกเว้นกับพรรคประชาธิปัตย์พรรคเดียว

ขอแก้คำผิดเล็กน้อย และเพิ่มเติมด้วย

เพื่อเตือนความจำบรรดาสมาชิกราชดำเนินทั้งหลายและคอการเมืองที่สนใจเหตุการณ์ประวัติศาสตร์  ผมขอย้อนไปตอนที่ทักษิณยุบสภา ฯ แล้วให้มีเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 2 เมษายน 2549 นั้น

พรรคประชาธิปัตย์ ตอนแรกบอกว่า จะส่งคนลงเลือกตั้ง แต่สุดท้าย ไปจับมือกับพรรคมหาชน ที่มี พล.ต.สนั่น เป็นเลขา ฯ และพรรคชาติไทยของคุณบรรหาร ไม่ยอมลงเลือกตั้ง

พรรคประชาธิปัตย์แก้เกมด้วยการ ...ตอนที่มีผู้สมัครจากพรรคการเมืองอื่นไปยื่นใบสมัคร  ในเขตภาคใต้  คนกลุ่มหนึ่งไปขวางว่าที่ผู้สมัคร ฯ ไม่ให้เข้าไปยื่นใบสมัคร  บางที่ ถึงกับลงทุนกราบเท้า  (คนราชดำเนินสมัยก่อนคงจะจำเหตุการณ์ได้) ไม่ให้ลงสมัครเลือกตั้ง

ผลสุดท้ายก็มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น  พรรค ไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง  

ประชาธิปัตย์  โดยถาวร เสนเนียม เลยแก้เกมด้วยการยื่นฟ้องให้เป็นโมฆะ  กับศาลปกครอง ของ อัคราธร จุฬารัตน์   ซึ่งศาล ฯ ก็ตัดสินให้เป็นโมฆะ เพราะว่า การลงคะแนนไม่เป็นความลับ  (มันจะเป็นความลับได้อย่างไร เพราะกล้องทีวีซูมเข้าไปตอนคนกาเบอร์ผู้สมัคร)

สุดท้ายเมื่อการเลือกตั้งเป็นโมฆะ  พันธมิตรก็ไปล้อมตึก กกต. ค้นรถที่เข้าออกสำนักงาน ฯ ทุกคัน ให้เปิดดูในรถ   เปิดกระโปรงหลัง เพื่อดูว่า วาสนา เพิ่มลาภ กับ ปริญญา ฯ และ วีระชัย จะแอบซ่อนตัวหรือเปล่า

ประชาธิปัตย์ก็ยื่นฟ้องละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ฯ แก่ กกต.ทั้งสามคน  จน คุณวาสนาต้องออกมาบอกว่า ไว้จะเขียนเล่าให้ฟังตอนหนังสืองานศพตัวเอง  เหมือน ๆ กับ พล.อ.สนธิ พูดว่า ให้ตายก็พูดไม่ได้ นั่นแหละ

กกต.3 คน ถูกจำคุก โดยไม่รอลงอาญา ทั้ง ๆ ที่ทั้ง วาสนา เป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่มาก่อน, คุณปริญญา เป็นอดีตอธิบดี ฯ  คุณวีระชัย อดีตผู้ว่า ฯ  เคยทำความดีมาก่อนทั้งนั้น แต่พอ คดี ปรส. ศาลให้รอลงอาญากับ อมเรศ ศิลาอ่อน

ทั้งสามท่านต่อสู้คดีมาหลายปี...จน ในที่สุดศาลฎีกายกฟ้อง โดยให้เหตุผลว่า ผู้ร้อง คือ ถาวร เสนเนียม จากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง

ก็มันจะโดยตรงได้ยังไงล่ะ ...เพราะ มันเป็น นักการเมือง แทนที่จะลงเลือกตั้ง มันกลับมาตีรวน ตั้งเวทีด่าทักษิณ  เริ่มที่เชียงใหม่ จนเกิดกรณีขว้างไข่ใส่หัวนายชวน หลีกภัย

ผมเห็นล่าสุด ประชาธิปัตย์ จะจัดทอล์คโชว์ อีกแล้ว บัตรใบละ 2,000 บาท ลงทุนโฆษณาในรถไฟฟ้าบีทีเอส   โชว์ภาพเก่าที่อภิสิทธิ์กับชวน ขึ้นไปพูดบนเวที เหมือนเดี่ยวไมโครโฟน

แสดงให้เห็นว่า พรรคนี้ "ดีแต่พูด" จริง ๆ เว้ย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่