เรื่องสั้น : อย่างไร ก็ไม่หยุดรักเธอ

เรื่องสั้น : อย่างไร ก็ไม่หยุดรักเธอ



1.
            ไม่ใช่เรื่องแปลกหากหลายคนจะรู้สึกชอบทะเล แม้จะเป็นฤดูฝน  และในวันแดดแรงดังเช่นวันนี้ แค่ได้นึกถึงท้องฟ้าตัดตัดกับทะเลสีคราม ก็ทำให้รู้สึกคลายร้อนได้บ้าง ทั้งกายและใจ

            แม้ข้างนอกแดดจะแผดเผาเพียงใด แต่ภายในรถเช่าที่ชีวากำลังขับอยู่นั้นกลับเย็นเฉียบด้วยลมจากเครื่องปรับอากาศ เขามองร่างที่เบาะข้างๆ เขาคงกำลังหลับอย่างเป็นสุข น้ำตาก็รื่นขึ้นมา ความเงียบในรถวันนี้ช่างต่างกับ

เหตุการณ์ในบ้านเมื่อวานอย่างสิ้นเชิง

            “ไหนคุณบอกจะรีบกลับมา”  ภรรยาเขาเอ่ยขึ้นขณะนั่งถักผ้าพันคออยู่ที่โต๊ะรับแขก ทันทีที่เขาเปิดประตูเข้าไปในบ้าน เค้กก้อนเล็กๆ ที่มีเทียนปักอยู่ แต่เทียนนั้นคงจะถูกจุดไว้นานแล้วจึงดูสั้นกุดจนเกือบติดหน้าเค้ก

            ชีวามองไปยังนาฬิกาแขวนเหนือชั้นวางที่มีภาพของทั้งสองกับลูกแขวนอยู่ข้างกัน ก็พบว่าขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนครึ่งแล้ว

            “ผมขอโทษนะ ผมพยายามแล้วแต่ปลีกตัวออกมาไม่ได้จริงๆ...” เขาพยายามทำน้ำเสียงให้ไม่ฟังดูเป็นการแก้ตัวขณะเดินผ่านภรรยาเข้าไปยังครัว

            “ผมบอกคุณแล้วว่าช่วงนี้เรากำลังจะปิดโปรเจ็ค” ชีวาต่อให้จบ แล้วเปิดตู้เย็นเพื่อหาน้ำดื่ม

            “แต่คุณสัญญาไว้แล้ว” ภรรยาของเขาตะโกนตามหลังมา

            “ผมรู้  แต่งานผมเยอะ แล้วจะให้ทำยังไง” เขาถามกลับไป อย่างไม่ค่อยพอใจกับน้ำเสียงของเธอ

            “คุณไม่ต้องเอางานมาอ้าง ทุกครั้งคุณก็แก้ตัวแบบนี้” ภรรยาของเขาเอ่ยคำที่เขาไม่อยากได้ยินที่สุดออกมา

            คำว่าแก้ตัว คำนี้เหมือนตั้งใจจะโยนความผิดมายังเขา

            “ผมก็แค่ลูกจ้าคนหนึ่ง งานผมมันไม่ได้สบายเหมือนคุณนี่ ที่นึกอยากกลับบ้านเมื่อไหร่ก็ได้”

            “คุณอย่ามาพูดแบบนี้นะ ฉันก็ทำงานเหนื่อยพอๆ กับคุณนั่นแหละ ฉันก็มีวันกลับดึกเหมือนคุณ แต่ไม่ใช่วันที่สัญญากันไว้แบบนี้”
            ชีวารู้ดีว่าหากเริ่มทะเลาะย่อมหาทางจบไม่ได้ง่ายๆ เขาเหนื่อย แต่ก็ไม่อยากยอมรับว่าตัวเองผิด เพราะหากเขายอมก็คงเหมือนทุกครั้ง เขากลับดึกเขาโดนว่า เธอกลับดึกเป็นเพราะงาน ฟังดูไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

            “วันกลับดึกของคุณ มันจะมีอะไรมากไปกว่าการออกไปทานข้าวกับคนอื่น” ชีวาเริ่มขึ้นเสียงบ้าง

            “คนอื่นงั้นเหรอ เขาเป็นลูกค้านะคะ คุณแยกแยะบ้างซี”

            “อ้อเดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่คนอื่นแล้วซินะ ถึงว่าออกไปกันแทบทุกอาทิตย์ ถามหน่อยเถอะว่าทานข้าวเสร็จแล้วไปต่อไหนกันบ้าง” เขาพยามยามเน้นเสียงที่บอกว่าเหลือทนกับเรื่องนี้เหลือเกิน
ภรรยาของเขาผุดลุกขึ้น

            “คุณจะเอาเรื่องนี้มาพูดทำไม” เธอเอ่ยถามเสียงสั่น

            ...เขาโกรธ
            นี่คือคำตอบในใจของชีวา เพียงแต่เมื่อวานเขาไม่ได้พูดออกไป  ขณะที่เขาเลี้ยวเข้าไปยังร้านขายของชำเขาก็คิดว่า สิ่งที่เขากำลังจะทำในวันนี้คงทำให้เธอหายโกรธได้
บางครั้งเขาก็แปลกใจเหมือนกัน  ทั้งที่ตัวเขาเองเป็นคนเงียบๆ แม้ในเวลางานก็ไม่ค่อยพูดจานัก แต่ทำไมกันเวลาที่เขามีเรื่องที่ไม่เข้าใจกับภรรยา เขาจึงรู้สึกอยากจะขุดเรื่องต่างๆ เพื่อหาทางทะเลาะกับเธอทุกครั้ง

            “สวัสดีค่ะ รับอะไรดีคะ”  เด็กสาวหลังโต๊ะแคชเชียร์เอ่ยทักทันทีที่ชีวาผลักประตูเข้าไปในร้าน เขายิ้มให้ ก่อนตรงไปยังตู้แช่ หยิบนมกล่อง น้ำผลไม้ และเครื่องดื่มชูกำลัง แล้วเดินไปชำระเงิน

            “วันนี้แดดดีนะครับ” เขาเอ่ยทัก

            “เที่ยวทะเลเหรอคะ” เด็กสาวถาม ซึ่งชีวารู้สึกว่าไม่เห็นว่าจะต้องถามเลย ในเมื่อเขาใส่ชุดสบายๆ แถมยังเช่ารถออกมา และร้านนี้ก็เป็นร้านเดียวก่อนถึงหาด ก็คงไม่มีเหตุผลอื่น

            “คนเยอะหรือเปล่าครับวันนี้” เขาถามเธอขณะที่เธอง่วนกับการคิดเงิน

            “ช่วงนี้หน้าฝนนะคะ  วันหยุดเสาร์ อาทิตย์คนยังแทบจะไม่มี  วันนี้วันพฤหัสที่นี่คงเงียบเหมือนหาดส่วนตัวนั่นแหละค่ะ” เด็กสาวเอ่ยออกมา ก่อนจะจบบทสนทนา

            “หกสิบบาทค่ะ”

            “ขอถุงใส่ขยะด้วยนะครับ” ชีวาบอกกับเธอขณะจ่ายด้วยธนบัตรใบละหนึ่งร้อย

            แล้วเธอก็ยื่นให้เขาพร้อมเงินทอน
            ที่ๆ เขากำลังจะไปเป็นชายทะเลที่มีหาดเล็กๆ อันเงียบสงบ เป็นที่ๆ เขาพาภรรยามาฉลองวันครบรอบแต่งานเมื่อหน้าร้อนปีที่แล้ว และทั้งสองตกลงกันว่าจะกลับมาฉลองที่นี่ทุกๆ ปี
            เขาขับรถเลี้ยวเข้าไปยังแยกเล็กๆ ซึ่งเป็นทางลงหาด และมองตรงไปยังที่นั่น ที่ยังสวยงามไม่เคยเปลี่ยน จะแตกต่างอยู่บ้างก็ตรงที่หญ้าขึ้นรกกว่าเดิม แต่ความทรงจำของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง เหมือนพึ่งจากไปเมื่อวาน
            เขาถอยรถเข้าจอด ดับเครื่องยนต์ ก่อนออกจากรถเขาเอนตัวไปยังเบาะข้างๆ แล้วกระซิบเบาๆ

            “พ่อ... ขอโทษนะ”

            คำนี้ เป็นเขาใช้เอ่ยกับภรรยาเมื่อยามที่ทั้งคู่อารมณ์ดี

            “เราน่าจะเรียกกันแบบนี้นะคะ” ภรรยาบอกกับเขาเมื่อสมัยที่ยังไม่มีลูก ขณะที่ทั้งสองนั่งทานข้าวเย็นด้วยกัน

            “แบบไหนเหรอ” ชีวาถามออกไป

            “ฉันจะเรียกคุณว่าพ่อ  คุณก็เรียกฉันว่าแม่...” เธอยิ้มขณะตักกับข้าวที่ทั้งสองช่วยกันทำแล้ววางลงในจานของผู้เป็นสามี

            “เวลาที่เรามีลูก เขาก็จะได้เรียกเราแบบที่เราสองคนเรียกกันไง” เธอให้เหตุผล

            “ครับคุณแม่” ชีวาเอ่ยขึ้น แล้วทั้งสองก็หัวเราะไปด้วยกัน

            แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่นานมาแล้ว เมื่อทั้งคู่มีลูก ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ค่าเล่าเรียน ค่าบ้าน ค่ารถ ทุกอย่างเหมือนเกิดขึ้นเร็วมาก ทำให้ทั้งคู่แทบจะไม่มีเวลาได้คุยกันแบบสนุกสนานเหมือนเมื่อก่อน และเมื่อคุยกันก็มักจะหนีไม่พ้น

เหตุการณ์ดังเช่นเมื่อคืน โชคดีที่ที่ลูกชายของทั้งสองคงหลับอยู่

            ชีวาไม่อาจลืมเหตุการณ์เมื่อคืนไปได้...

            “คุณจะเอาเรื่องนี้มาพูดทำไม” ภรรยาของเขาเอ่ยถามอย่างน้อยใจ ทำไมเขาถึงชอบนำเรื่องที่เธอต้องไปพบลูกค้ามาเป็นชนวนทะเลาะกันอยู่เรื่อย เหมือนกับเขากำลังดูถูกเธอ และมองเธอไม่มีค่า

            “คุณมันเห็นแก่ตัว” เธอบอกออกไปทั้งน้ำตา ก่อนจะหันหลังให้เขา

            “หยุดเดี๋ยวนี้นะ คุณจะไปไหน” ชีวาเริ่มไม่พอใจ  ทุกครั้งซินะที่ทะเลาะ  เธอก็หนีอย่างนี้ทุกครั้ง  ใครกันแน่ที่มีความผิด ใครกันแน่ที่ไม่จริงใจ หลายครั้งหลายคราที่เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในบ้าน หลายครั้งที่เขาอยากให้เรื่องนี้จะยุติ

ลงเสียที

            “ไปไหนมันก็เรื่องของฉัน” และก็คำนี้อีกแล้วที่เธอใช้ทิ้งท้าย ก่อนที่จะทิ้งเขาไว้บ้านตามลำพังอย่างเดียวดายจนเช้า ชีวารู้สึกเหมือนถูกตบหน้าด้วยมือข้างเดิมๆ เขาควรจะชินชากับการเดินจากไปของภรรยา และปล่อยให้ทุกอย่างเย็น

ลงด้วยตัวของมันเอง อย่างนั้นหรือ
            แต่ไม่ใช่วันนี้แน่ วันนี้ทุกอย่างควรจะเปลี่ยน

            จากในครัวเขาเดินไปหยิบมีด น้ำหนักและความคมของมันคงเฉือนได้ทุกอย่าง  เขารีบตรงไปยังภรรยา

            “ผมไม่ให้คุณไปไหนทั้งนั้น”

            เขาเงื้อมือขึ้น มีดเล่มนั้นสะท้อนแสงไฟดูแวววาวน่ากลัว

            ฉับ!
            เขาปักพลั่วลงไปบนพื้นทราย น้ำตาไหลอาบแก้ม ขณะที่มองกลับไปยังรถเช่าที่จอดอยู่  ร่างนั่นไม่ขยับเขยื้อนตั้งแต่ที่เขาพาออกมาจากบ้านในตอนเช้า จริงๆ คงต้องบอกว่าร่างนั้นแน่นิ่งมาตั้งแต่เมื่อวาน เขาหวังว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นี้คง

แทนคำขอโทษได้  เขาเจ็บปวดทุกครั้งที่ตักทรายขึ้นมา เจ็บปวดทุกครั้งเห็นหลุมนั้นกว้างขึ้นเรื่อยๆ

            ผ่านไปนานเท่าใดไม่รู้ และเขาเช็ดน้ำตาไปจนนับครั้งไม่ถ้วนแต่มันก็ยังคงไม่หยุดไหล หลุมนี้คงเป็นที่พักพิงที่สุดท้าย และคงเป็นที่ๆ เขามาเยี่ยมได้เสมอ ที่ๆ เขาและภรรยารักและหวงแหน จากนั้นเขาเดินตรงไปยังรถ พลางเหลียว

มองไปรอบบริเวณ ที่นี่ยังเงียบเช่นเดิม

            ชีวาอุ้มร่างอันบอบบางไว้ในอ้อมแขน แล้วนำไปวางลงในหลุมอย่างแผ่วเบา  เขาหยิบรูปภาพที่เขาและภรรยาถ่ายคู่กันตรงหน้าบ้านแล้ววางลงไป  เขาเสียใจและทำใจได้ยากเหลือเกิน  มือของเขาสั่นเทาขณะที่ตักทรายเทกลับลงไป

ในหลุมเพื่อกลบร่างนั้นไว้

            ฟ้าร้องครืนมาแต่ไกล เขาจึงต้องเร่งมือ  จนทุกอย่างเรียบร้อยในเวลาไม่นาน  เขามองดูผลงานและยิ้มทั้งน้ำตา

            พ่อขอโทษนะ...

            พ่อขอโทษ...

            เขาพึมพำอย่างนั้นเหมือนคนบ้า ขณะเดินกลับไปยังรถ เขาไม่หันหลังไปมองหาดนั้นอีกเลย เขาเศร้าใจกับสิ่งที่ลงไป แต่เขาจะทำอย่างไรได้นอกจากกระดกเหล้าที่เตรียมมาเพื่อให้ลืมเรื่องดังกล่าว

            ความรู้สึกสูญเสียนั้นทำให้เขาลำบากใจขณะที่ขับรถกลับมาบ้าน เขารู้สึกคิดถึงภรรยาผู้เป็นที่รัก  จนเหมือนบางครั้งเขาเห็นภาพภรรยาขับรถสวนทางเขาไป น้ำตาที่เอ่อล้น และแทบจะไม่หยุดไหลทำให้การรับรู้ของเขาบิดเบี้ยว
ภาพแห่งความทุกข์ทรมานวิ่งผ่านเขาไปอย่างเชื่องช้า อาจเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอร์ฮอล เขาอยากจะลืมเหตุการณ์เมื่อคืนแต่มันช่างทำใจได้ยากนัก จนกระทั่งเขามาถึงบ้านภาพเหล่านั้นจึงได้หยุดลง แต่เขากลับเผชิญความจริงที่ว่า เขา

ต้องอย่างเดียวดายในคืนนี้  แม้ขณะที่เขาเปิดประตูเข้าบ้าน ทำไมความเงียบจึงต่างจากเมื่อวานนัก  แล้วเขาควรจะรู้สึกอย่างไร

            ความอ่อนล้า ความเสียใจ และฤทธิ์เหล้าทำให้เขาหลับไปในที่สุดท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำลงมา...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่