เรื่องสั้น
กำแพงแสงจันทร์
คืนนี้ฟ้าไม่สวยเลย...
แม้แสงดาวจะกลาดเกลื่อน...
แม้แสงเดือนจะทรงกลดงดงาม...
คืนนี้ฟ้าก็คงยังไม่สวยอยู่นั่นเอง
คืนนี้ที่นี่เงียบเกินไป...
แม้ผู้คนจะยังเดินไปมาเป็นคู่คู่...
แม้บางคนจะวิ่งหยอกหลอกล้อกันอย่างสนุกสนาน...
คืนนี้ ที่นี่ ก็ยังเงียบ... เงียบ... เหลือเกิน
ทุกวันเสียงเรียก... ‘พี่ครับ... พี่ครับ’
จะทำให้ฉันรีบหันกลับไปยิ้มทักทาย
หนุ่มน้อยของฉัน หอบหิ้วขนมนมเนย ที่มีในร้านของเขา ออกมาให้ฉันรับประทานเสมอ
บางครั้งเราก็นั่งกินด้วยกัน
บางคราวเขาก็จะขอตัวกลับไปนอน เสียก่อนจะได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราว ที่สรรหามาสร้างความพึงใจให้แก่กัน
‘...พี่ครับ... พี่ครับ...’
ที่ฉันได้ยินครั้งแรก มันฟังดูสดใสระคนเขินอาย
คงไม่ใช่เพราะเครื่องแต่งตัวของฉัน ที่ทำให้เขารู้สึกอย่างนั้น
คงไม่ใช่เพราะรูปร่างของฉัน ที่ทำให้เขาประหม่า
คงไม่ใช่เพราะกิริยาอาการของฉัน ที่ทำให้เขากล้าๆ กลัวๆ ที่จะเข้ามาทักทาย
"ผมขอนั่งด้วยคนนะครับ"
หนุ่มน้อยเพิ่งเอ่ยปากขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า ทั้งที่นั่งลงเคียงข้างฉันแล้ว
และฉันก็ไม่ได้ขยับให้พื้นที่เขาเพิ่มแต่อย่างไร...
ฉันยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
ที่ที่ฉันนั่งอยู่ทุกวันคืน...
ที่ที่ฉันนั่งชมแสงเดือนแสงดาวโดยลำพัง มานานนักหนา
ฉันหันไปสบตากับแววเขินอาย ยิ้มให้กับความกล้าหาญ
เธอไม่ใช่คนแรกหรอก ที่มานั่งเก้าอี้ตัวนี้ข้างๆ ฉัน
เธอไม่ใช่คนแรกหรอก ที่ฉันจะลุกหนีไปเสียให้ไกลแสนไกล
"โรงเรียนยังไม่เลิกไม่ใช่หรือคะ"
ฉันจะมอบประโยคนี้แก่เขาอย่างสม่ำเสมอ
เมื่อเจอกันตอนกลางวัน
เมื่อเจอกันตรงนี้
"ดึกขนาดนี้ยังไม่รีบนอนอีกหรือคะ
และคำถามนี้ในเวลากลางคืน
ฉันแน่ใจว่า ไม่เคยแอบซ่อน ส่งสื่อความหมายแยบกลอะไร ในไว้กับคำถามเหล่านั้น
ทุกครั้ง ฉันเพียงแต่แตะที่หลังมือเขาเบาๆ ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะพูดอะไรสักคำออกไป
ส่วนคำตอบกลับมานั้น มีสารพัด ตามประสาเด็กชายวัยคะนองทั่วไป
หลายครั้งที่เขาต้องรวบรวมความกล้ามากมายไว้ในคำพูดบางประโยค
ซึ่งทุกครั้งฉันก็ชื่นชมในมานะนั้น แล้วก็ปฏิเสธออกไปด้วยอาการเดิม
...ค่อยแตะที่หลังมือเบาๆ ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะพูดอะไรสักคำออกไป
"พี่พักอยู่ที่ไหน ทำไมผมเห็นพี่ทุกวัน ทุกครั้งที่มองมา"
หนุ่มน้อยเคยถามในครั้งแรกๆ ของการสนทนา
"น้องพักอยู่ที่ไหน ทำไมถึงเห็นพี่ทุกครั้งที่มองมา"
ฉันย้อนถามเรียบง่าย
พยายามไม่ทำให้เขารู้สึกว่า กำลังถูกหมิ่นแคลนในความเป็นชาย
"แม่เพิ่งมาเปิดร้านเบเกอรี่ที่ตรงหัวมุมถนนนั่น"
เขาชี้ให้มองไปที่ลิบตา
ห่างจากสวนสาธารณะนี่ ขนาดที่ตะโกนเรียกกันไม่ได้ยิน
"มีคนเขาว่า ร้านเปิดใหม่นั่น อร่อยนัก... ทั้งขนมและเครื่องดื่ม"
ฉันสานต่อไปตามที่ได้ยินมา
หลายคนเคยใช้เป็นของฝาก
บางคนแค่ให้ชม
บางคนเคยให้ชิม
บางคนให้ฉันเลือก ก่อนชิ้นที่เหลือจะกลับถึงบ้าน
ฉันไม่มีโอกาสปฏิเสธ ความปรารถนาดีของผู้คนเหล่านั้น
จึงต้องรับมันไว้ อย่างที่จะทำให้เขารู้สึกว่า เรามิได้คิดจะตัดไมตรี
ครั้งต่อๆ มา หากได้พบกันหลังจันทร์ฉาย เขาจะมีขนมเหล่านั้น ติดมือมาด้วยเสมอ
ไม่เคยคิดเลยว่า...
น้องชายจะนำขนมนมเนย มาล่อหลอกพี่สาวอย่างฉันได้อย่างไร
"พี่พักอยู่แถวนี้หรือครับ"
ฉันจับแววคาดคั้นนั้นได้...
ทั้งที่เพียรจะหันเหเรื่องราวไปสู่สิ่งนั้นสิ่งนี้... รอบกาย... ทั้งใกล้และไกลตัว
"พี่รู้จักทุกที่ในย่านนี้ดีกว่าเธอ"
ฉันยังคงไม่ตอบคำ เช่นเดียวกับเขา ที่ยังคงไม่ละความพยายาม
แต่คำหนึ่งซึ่งไม่อาจทำให้ฉันแสร้งเส เหหัวเรื่องไปสู่สิ่งอื่นก็เกิดขึ้น
เป็นคำหนึ่งซึ่งฉันไม่คิดว่า จะหลุดออกมาจากปากของเขา
...หากเขาเฝ้าดูฉันอยู่ทุกวัน ทั้งกลางวัน... กลางคืน…
"พี่ครับ...ผม...ผมรักพี่"
ฉันถึงกับสำลักกาแฟร้อนๆ ที่เขาบรรจงชงเองกับมือ
"พี่ครับ... ผมรักพี่จริงๆ นะครับ"
หนุ่มน้อยยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยอาจเกรงว่า เสียงตนเองจะสั่นเสียจน ฉันจับความได้ไม่ถนัด
คืนนั้นฉันยืนขึ้นอย่างเรียบเฉย ซับสีหน้าให้เป็นปกติ ด้วยผ้าเช็ดหน้าลายตารางของเขา
น้องชายได้แต่แหงนมองจากท่านั่งหลังพิงพนัก แววตาหวาดหวั่น น้ำตารื้นเอ่อคลอ แสดงความไม่มั่นใจด้วยการสั่นไหวไปทั้งร่าง
เป็นครั้งแรก ที่ฉันได้สัมผัสเขา มากกว่าครั้งไหน
เนื้อหนุ่มบริสุทธิ์ใส ไร้เดียงสา แข็งตึง และผ่าวร้อน
สองมือเขาค่อยยกขึ้นมากุมมือ ที่แตะนิ่งอยู่กับสองข้างแก้มของตนเอง
เรายิ้มให้แก่กัน แล้วฉันก็โน้มตัวลงไป ประทับรอยริมฝีปาก ที่หน้าผากเบาๆ
...เพียงแค่นั้น...
...เพียงแค่นั้นจริงๆ...
เขาถึงกับเกร็งไปทั้งเรือนกาย... สั่นกระตุกสามสี่ครั้ง... แล้วถอนหายใจโล่งยาว...
ครู่เดียว ที่เหมือนว่าเขาตั้งสติได้ ก็รีบปัดมือที่ยังคงแตะค้างอยู่กับสองแก้ม ผุดลุกแล้ววิ่งจากไปโดยไม่ล่ำลา
ฉันรู้ดี...
เหล่านั้นคือปฏิกิริยา
ฉันไม่ได้ปฏิเสธเขา... และ... เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธฉัน เขาเพียงแต่ล่วงหน้าไปก่อนฉัน ไกลเกินกว่าที่จะหักห้าม
ฉันนั่งลงตรงที่เดิม
รอให้คำถามเดิม เวียนกลับมาอีกครั้ง
"ขอนั่งด้วยคนนะครับ"
ด้วยคำถามนี้ จะจากใครก็ตาม
ฉันก็ยังคงนั่งนิ่ง ไม่ได้ขยับเขยื้อนหนีไปไหน
ทั้งยังยิ้มรับทักทาย แตะที่หลังมือเขาเหล่านั้นเบาๆ ก่อนที่จะสานการสนทนา บทต่อไป
เหล่านี้ทำให้บางคืนยาวนาน
บางคืนหดสั้น
บางวันอ่อนระโหย
บางวันสดชื่นชวนรื่นเริง
บางวันน้องชาย ยังคงมองมาจากที่ไกล
บางคืนน้องชาย ยังคงมองมาจากที่ไกล
วันคืนผ่านไปกับคำทักทายเดิมๆ หนุ่มน้อยยังมองฉันจากที่เดิม
ทุกครั้งที่ฉันมองไป ทำไมต้องเห็นเขามองมา
ที่ลิบตานั้น ฉันเห็นเขาเดินเข้าบ้านอย่างทรุดโทรม แล้วขึ้นไปเหม่อมองมาทางนี้ จากหน้าต่างชั้นบน
ทำไมเขาไม่เข้ามายิ้มแย้ม ทักทายเหมือนอย่างเดิม
ทำไม...
ทั้งที่ฉันก็ไม่ได้ปฏิเสธหัวใจตัวเอง หรือหัวใจเขา... ทำไม...
ทำไม...
บางวันมีเพื่อนกลุ่มใหญ่ กลับจากโรงเรียนมาพร้อมกัน
บางวันมีเพียงสาวน้อย อีกคนหนึ่ง
บางวันเธอคนนั้น ก็หายเข้าไปนานจนปิดร้าน
หายเข้าไปนาน จนน้องชายลืมมองมาทีฉัน
หายเข้าไปนาน จนหลายคนเข้ามาเอ่ยถามกับฉัน
"ขอนั่งด้วยคนนะครับ"
เป็นวัน...
เป็นสัปดาห์...
เป็นเดือน...
หลังจากคืนที่เขาวิ่งจากไป
หลังจากที่เขาเอ่ยคำรัก แล้วฉันตอบกลับ ด้วยรอยจุมพิตที่หน้าผาก
เขากลับมาอีกครั้ง พร้อมกับกาแฟร้อน และขนมหวาน
แม้น้ำเสียงจะรื่นเริง แต่ท่าทีอิดโรยอ่อนล้า ก็ทำให้ฉันต้องถามไถ่
โดยกล้ำกลืนการตัดพ้อ น้อยอกน้อยใจไว้ภายใน
"ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จแล้วครับ... วันนี้วิชาสุดท้าย"
ความมั่นอกมั่นใจ เพิ่มความใสกังวานในน้ำเสียง ให้ชวนฟังและพลอยปลื้ม
"ดีนะ... ได้เรียนสูงๆ มีการงานดีๆ ทำ จะได้ไม่ลำบากเหมือนพี่"
ฉันแน่ใจว่า สิ่งที่เอ่ยออกไป ไม่ได้เจือแววอาลัยอันใดเลย
"พี่ครับ... ผม... ผมรักพี่นะครับ... นะครับ... พี่พักอยู่แถวนี้ไม่ใช่หรือครับ"
ทำไมฉันจะจับความตั้งใจจริงนั้นไม่ได้ ในเมื่อเขาเฝ้าเวียนเพียรถามอยู่เช่นนั้น
ก่อนช่วงที่จะห่างกันไปพักนั้น...
ฉันยังคงไม่ตอบคำ ยังคงไม่แตะต้องสิ่งของอันใด
ไม่... แม้แต่จะแตะที่หลังมือเขาเบาๆ อย่างที่เคย
ไม่ยอม... แม้แต่จะรินน้ำตาให้เขาเห็น
"พี่คงจะอยู่คนเดียว... คงจะเหงา... ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนพี่อย่างนี้ ทุกคืนได้ไหมครับ"
เขาก้มหน้า พูดกับเงาของตนเอง
"ผมขอโทษ... ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นอย่างนี้... แต่ผม... ผมกลัวครับ"
ฉันได้แต่นิ่งฟังคำสารภาพ จากปากของน้องชาย
จากปากของหนุ่มน้อย
จากอัธยาศัยไมตรี ของผู้ที่ฉันพร้อมจะตอบรับคำรัก
"พี่ครับ... ผมขอโทษนะครับ..."
เขาคงจะใช้หลังมือนั้นป้ายปาดน้ำตา ที่ฉันทันได้เห็นหยาดหนึ่ง หยดลงบนพื้น
"เธอไม่ต้องขอโทษพี่... หนุ่มน้อย... ที่รักของพี่... พี่ก็รักเธอเหลือเกินเช่นกัน"
ฉันโอบปลอบเขาไว้ในอ้อมแขน
ในครั้งนี้
แม้เขาจะยังคงนิ่งเฉย อยู่ในความเปล่าเปลี่ยว
ฉันก็จะเป็นฝ่ายขยับให้ชิด แล้วใช้วงแขนและเรือนร่าง กอดกระชับเขาไว้อย่างนั้น
ทั้งยังจะกระซิบรำพันคำรัก จนกว่าน้ำตานั้น จะเหือดแห้ง
แต่มันยากเหลือเกิน...
เมื่อเขาถึงกับปล่อยโฮออกมาอย่างสุดจะกลั้น
ไม่สนใจ แม้ฉันจะพร่ำปลอบ
หากถึงกับตีอกชกหัวตัวเอง... หรือคิดสั้นไป... แล้วจะทำอย่างไร
เขาร่ำไห้อย่างนั้นอยู่จนรุ่งสาง
จนฉันต้องเป็นฝ่ายผละออกมาเอง
อารมณ์หนุ่มนั้นปรวนแปรถั่งโถม ดั่งพายุในฤดูมรสุม
มันจะทั้งชุ่มชื่น และเกรี้ยวกราดรุนแรง
วันคืนค่อยเคลื่อนผ่านไป
ทุกคืนฉันยังนั่งคอยหนุ่มน้อยของฉัน...
หากมีใครนั่งอยู่ก่อนในที่ของฉัน... เขาก็จะยืนรออยู่ไม่ห่าง...
แล้วค่อยลงนั่งเคียงกับฉัน เมื่อใครคู่นั้นผละไป
กาแฟร้อนๆ และขนมหวานอย่างที่ฉันชอบ ถูกนำมา พร้อมกับรอยยิ้ม และคราบน้ำตา
"จะร้องไห้ไปไยเล่าหนุ่มน้อย... ที่รักของพี่... พี่บอกแล้วอย่างไรเล่า... ว่าพี่ก็รักเธอเหลือเกิน"
บางคืนที่เขานั่งเหม่อซึม ฉันก็ค่อยเอนกาย หนุนนอนบนตักอุ่น
ส่งแผ่ความยินดี ที่ได้อยู่ร่วมกัน ผ่านทางกระแสความรู้สึก
พยายามลืมความท้อระทม ที่เพิ่งพ้นผ่านไปไม่นาน
บางคืนที่ฉันปลอดโปร่งใจถึงที่สุด
ฉันก็จะหยิบยกเรื่องในวันนั้น ขึ้นมายั่วเย้า
วันที่เขาจูงมือเด็กสาวออกมาจากร้าน... ขณะที่ใครคนหนึ่ง แอบยืนรอเขาอยู่ตรงมุมถนน
แล้วก็ทำท่าวิ่งข้ามถนนจากมา อย่างผู้พ่ายแพ้... พ่ายแพ้ด้วยประการทั้งปวง
ผู้หญิงคนนั้น คือพี่สาวของเธอคนนี้ ใช่หรือเปล่านะ
ผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม ที่ไปคอยดักมองเธอ ให้ใกล้กว่าจะเห็นได้ จากม้านั่งตัวนี้
ช่างน่าสงสารเหลือเกิน
ที่เธอไม่เร็วพอจะหลบพ้นรถคันนั้นไปได้
พี่สาวคนนี้ ยังเห็นเธอวิ่งเข้ามา ช่วยประคองร่างไร้วิญญาณ ร่ำไห้ อย่างโศกสลดหมดอาย
ทั้งที่ร่างนั้น คือโสเภณีชั้นต่ำ ที่ต้องหากินทั้งกลางวันกลางคืน ไม่เลือกพ่อเขาหรือลูกใคร
เหตุนี้เอง ฉันถึงกล้าพูดได้เต็มคำ
ว่า... พี่รักเธอเหลือเกิน...
รักเหมือนอย่างที่ผู้หญิงสักคน จะมอบให้ผู้ชายสักคน
ผู้ชายที่ผู้หญิงคนนั้นเลือกแล้วว่า จะสามารถแบ่งปันความรักอันชื่นบาน ให้แก่กันได้ อย่างไม่รู้จักหมดสิ้น
(มีต่อ)
เรื่องสั้น : กำแพงแสงจันทร์ (พ.ศ.2548)
กำแพงแสงจันทร์
คืนนี้ฟ้าไม่สวยเลย...
แม้แสงดาวจะกลาดเกลื่อน...
แม้แสงเดือนจะทรงกลดงดงาม...
คืนนี้ฟ้าก็คงยังไม่สวยอยู่นั่นเอง
คืนนี้ที่นี่เงียบเกินไป...
แม้ผู้คนจะยังเดินไปมาเป็นคู่คู่...
แม้บางคนจะวิ่งหยอกหลอกล้อกันอย่างสนุกสนาน...
คืนนี้ ที่นี่ ก็ยังเงียบ... เงียบ... เหลือเกิน
ทุกวันเสียงเรียก... ‘พี่ครับ... พี่ครับ’
จะทำให้ฉันรีบหันกลับไปยิ้มทักทาย
หนุ่มน้อยของฉัน หอบหิ้วขนมนมเนย ที่มีในร้านของเขา ออกมาให้ฉันรับประทานเสมอ
บางครั้งเราก็นั่งกินด้วยกัน
บางคราวเขาก็จะขอตัวกลับไปนอน เสียก่อนจะได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราว ที่สรรหามาสร้างความพึงใจให้แก่กัน
‘...พี่ครับ... พี่ครับ...’
ที่ฉันได้ยินครั้งแรก มันฟังดูสดใสระคนเขินอาย
คงไม่ใช่เพราะเครื่องแต่งตัวของฉัน ที่ทำให้เขารู้สึกอย่างนั้น
คงไม่ใช่เพราะรูปร่างของฉัน ที่ทำให้เขาประหม่า
คงไม่ใช่เพราะกิริยาอาการของฉัน ที่ทำให้เขากล้าๆ กลัวๆ ที่จะเข้ามาทักทาย
"ผมขอนั่งด้วยคนนะครับ"
หนุ่มน้อยเพิ่งเอ่ยปากขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า ทั้งที่นั่งลงเคียงข้างฉันแล้ว
และฉันก็ไม่ได้ขยับให้พื้นที่เขาเพิ่มแต่อย่างไร...
ฉันยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
ที่ที่ฉันนั่งอยู่ทุกวันคืน...
ที่ที่ฉันนั่งชมแสงเดือนแสงดาวโดยลำพัง มานานนักหนา
ฉันหันไปสบตากับแววเขินอาย ยิ้มให้กับความกล้าหาญ
เธอไม่ใช่คนแรกหรอก ที่มานั่งเก้าอี้ตัวนี้ข้างๆ ฉัน
เธอไม่ใช่คนแรกหรอก ที่ฉันจะลุกหนีไปเสียให้ไกลแสนไกล
"โรงเรียนยังไม่เลิกไม่ใช่หรือคะ"
ฉันจะมอบประโยคนี้แก่เขาอย่างสม่ำเสมอ
เมื่อเจอกันตอนกลางวัน
เมื่อเจอกันตรงนี้
"ดึกขนาดนี้ยังไม่รีบนอนอีกหรือคะ
และคำถามนี้ในเวลากลางคืน
ฉันแน่ใจว่า ไม่เคยแอบซ่อน ส่งสื่อความหมายแยบกลอะไร ในไว้กับคำถามเหล่านั้น
ทุกครั้ง ฉันเพียงแต่แตะที่หลังมือเขาเบาๆ ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะพูดอะไรสักคำออกไป
ส่วนคำตอบกลับมานั้น มีสารพัด ตามประสาเด็กชายวัยคะนองทั่วไป
หลายครั้งที่เขาต้องรวบรวมความกล้ามากมายไว้ในคำพูดบางประโยค
ซึ่งทุกครั้งฉันก็ชื่นชมในมานะนั้น แล้วก็ปฏิเสธออกไปด้วยอาการเดิม
...ค่อยแตะที่หลังมือเบาๆ ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะพูดอะไรสักคำออกไป
"พี่พักอยู่ที่ไหน ทำไมผมเห็นพี่ทุกวัน ทุกครั้งที่มองมา"
หนุ่มน้อยเคยถามในครั้งแรกๆ ของการสนทนา
"น้องพักอยู่ที่ไหน ทำไมถึงเห็นพี่ทุกครั้งที่มองมา"
ฉันย้อนถามเรียบง่าย
พยายามไม่ทำให้เขารู้สึกว่า กำลังถูกหมิ่นแคลนในความเป็นชาย
"แม่เพิ่งมาเปิดร้านเบเกอรี่ที่ตรงหัวมุมถนนนั่น"
เขาชี้ให้มองไปที่ลิบตา
ห่างจากสวนสาธารณะนี่ ขนาดที่ตะโกนเรียกกันไม่ได้ยิน
"มีคนเขาว่า ร้านเปิดใหม่นั่น อร่อยนัก... ทั้งขนมและเครื่องดื่ม"
ฉันสานต่อไปตามที่ได้ยินมา
หลายคนเคยใช้เป็นของฝาก
บางคนแค่ให้ชม
บางคนเคยให้ชิม
บางคนให้ฉันเลือก ก่อนชิ้นที่เหลือจะกลับถึงบ้าน
ฉันไม่มีโอกาสปฏิเสธ ความปรารถนาดีของผู้คนเหล่านั้น
จึงต้องรับมันไว้ อย่างที่จะทำให้เขารู้สึกว่า เรามิได้คิดจะตัดไมตรี
ครั้งต่อๆ มา หากได้พบกันหลังจันทร์ฉาย เขาจะมีขนมเหล่านั้น ติดมือมาด้วยเสมอ
ไม่เคยคิดเลยว่า...
น้องชายจะนำขนมนมเนย มาล่อหลอกพี่สาวอย่างฉันได้อย่างไร
"พี่พักอยู่แถวนี้หรือครับ"
ฉันจับแววคาดคั้นนั้นได้...
ทั้งที่เพียรจะหันเหเรื่องราวไปสู่สิ่งนั้นสิ่งนี้... รอบกาย... ทั้งใกล้และไกลตัว
"พี่รู้จักทุกที่ในย่านนี้ดีกว่าเธอ"
ฉันยังคงไม่ตอบคำ เช่นเดียวกับเขา ที่ยังคงไม่ละความพยายาม
แต่คำหนึ่งซึ่งไม่อาจทำให้ฉันแสร้งเส เหหัวเรื่องไปสู่สิ่งอื่นก็เกิดขึ้น
เป็นคำหนึ่งซึ่งฉันไม่คิดว่า จะหลุดออกมาจากปากของเขา
...หากเขาเฝ้าดูฉันอยู่ทุกวัน ทั้งกลางวัน... กลางคืน…
"พี่ครับ...ผม...ผมรักพี่"
ฉันถึงกับสำลักกาแฟร้อนๆ ที่เขาบรรจงชงเองกับมือ
"พี่ครับ... ผมรักพี่จริงๆ นะครับ"
หนุ่มน้อยยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยอาจเกรงว่า เสียงตนเองจะสั่นเสียจน ฉันจับความได้ไม่ถนัด
คืนนั้นฉันยืนขึ้นอย่างเรียบเฉย ซับสีหน้าให้เป็นปกติ ด้วยผ้าเช็ดหน้าลายตารางของเขา
น้องชายได้แต่แหงนมองจากท่านั่งหลังพิงพนัก แววตาหวาดหวั่น น้ำตารื้นเอ่อคลอ แสดงความไม่มั่นใจด้วยการสั่นไหวไปทั้งร่าง
เป็นครั้งแรก ที่ฉันได้สัมผัสเขา มากกว่าครั้งไหน
เนื้อหนุ่มบริสุทธิ์ใส ไร้เดียงสา แข็งตึง และผ่าวร้อน
สองมือเขาค่อยยกขึ้นมากุมมือ ที่แตะนิ่งอยู่กับสองข้างแก้มของตนเอง
เรายิ้มให้แก่กัน แล้วฉันก็โน้มตัวลงไป ประทับรอยริมฝีปาก ที่หน้าผากเบาๆ
...เพียงแค่นั้น...
...เพียงแค่นั้นจริงๆ...
เขาถึงกับเกร็งไปทั้งเรือนกาย... สั่นกระตุกสามสี่ครั้ง... แล้วถอนหายใจโล่งยาว...
ครู่เดียว ที่เหมือนว่าเขาตั้งสติได้ ก็รีบปัดมือที่ยังคงแตะค้างอยู่กับสองแก้ม ผุดลุกแล้ววิ่งจากไปโดยไม่ล่ำลา
ฉันรู้ดี...
เหล่านั้นคือปฏิกิริยา
ฉันไม่ได้ปฏิเสธเขา... และ... เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธฉัน เขาเพียงแต่ล่วงหน้าไปก่อนฉัน ไกลเกินกว่าที่จะหักห้าม
ฉันนั่งลงตรงที่เดิม
รอให้คำถามเดิม เวียนกลับมาอีกครั้ง
"ขอนั่งด้วยคนนะครับ"
ด้วยคำถามนี้ จะจากใครก็ตาม
ฉันก็ยังคงนั่งนิ่ง ไม่ได้ขยับเขยื้อนหนีไปไหน
ทั้งยังยิ้มรับทักทาย แตะที่หลังมือเขาเหล่านั้นเบาๆ ก่อนที่จะสานการสนทนา บทต่อไป
เหล่านี้ทำให้บางคืนยาวนาน
บางคืนหดสั้น
บางวันอ่อนระโหย
บางวันสดชื่นชวนรื่นเริง
บางวันน้องชาย ยังคงมองมาจากที่ไกล
บางคืนน้องชาย ยังคงมองมาจากที่ไกล
วันคืนผ่านไปกับคำทักทายเดิมๆ หนุ่มน้อยยังมองฉันจากที่เดิม
ทุกครั้งที่ฉันมองไป ทำไมต้องเห็นเขามองมา
ที่ลิบตานั้น ฉันเห็นเขาเดินเข้าบ้านอย่างทรุดโทรม แล้วขึ้นไปเหม่อมองมาทางนี้ จากหน้าต่างชั้นบน
ทำไมเขาไม่เข้ามายิ้มแย้ม ทักทายเหมือนอย่างเดิม
ทำไม...
ทั้งที่ฉันก็ไม่ได้ปฏิเสธหัวใจตัวเอง หรือหัวใจเขา... ทำไม...
ทำไม...
บางวันมีเพื่อนกลุ่มใหญ่ กลับจากโรงเรียนมาพร้อมกัน
บางวันมีเพียงสาวน้อย อีกคนหนึ่ง
บางวันเธอคนนั้น ก็หายเข้าไปนานจนปิดร้าน
หายเข้าไปนาน จนน้องชายลืมมองมาทีฉัน
หายเข้าไปนาน จนหลายคนเข้ามาเอ่ยถามกับฉัน
"ขอนั่งด้วยคนนะครับ"
เป็นวัน...
เป็นสัปดาห์...
เป็นเดือน...
หลังจากคืนที่เขาวิ่งจากไป
หลังจากที่เขาเอ่ยคำรัก แล้วฉันตอบกลับ ด้วยรอยจุมพิตที่หน้าผาก
เขากลับมาอีกครั้ง พร้อมกับกาแฟร้อน และขนมหวาน
แม้น้ำเสียงจะรื่นเริง แต่ท่าทีอิดโรยอ่อนล้า ก็ทำให้ฉันต้องถามไถ่
โดยกล้ำกลืนการตัดพ้อ น้อยอกน้อยใจไว้ภายใน
"ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จแล้วครับ... วันนี้วิชาสุดท้าย"
ความมั่นอกมั่นใจ เพิ่มความใสกังวานในน้ำเสียง ให้ชวนฟังและพลอยปลื้ม
"ดีนะ... ได้เรียนสูงๆ มีการงานดีๆ ทำ จะได้ไม่ลำบากเหมือนพี่"
ฉันแน่ใจว่า สิ่งที่เอ่ยออกไป ไม่ได้เจือแววอาลัยอันใดเลย
"พี่ครับ... ผม... ผมรักพี่นะครับ... นะครับ... พี่พักอยู่แถวนี้ไม่ใช่หรือครับ"
ทำไมฉันจะจับความตั้งใจจริงนั้นไม่ได้ ในเมื่อเขาเฝ้าเวียนเพียรถามอยู่เช่นนั้น
ก่อนช่วงที่จะห่างกันไปพักนั้น...
ฉันยังคงไม่ตอบคำ ยังคงไม่แตะต้องสิ่งของอันใด
ไม่... แม้แต่จะแตะที่หลังมือเขาเบาๆ อย่างที่เคย
ไม่ยอม... แม้แต่จะรินน้ำตาให้เขาเห็น
"พี่คงจะอยู่คนเดียว... คงจะเหงา... ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนพี่อย่างนี้ ทุกคืนได้ไหมครับ"
เขาก้มหน้า พูดกับเงาของตนเอง
"ผมขอโทษ... ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นอย่างนี้... แต่ผม... ผมกลัวครับ"
ฉันได้แต่นิ่งฟังคำสารภาพ จากปากของน้องชาย
จากปากของหนุ่มน้อย
จากอัธยาศัยไมตรี ของผู้ที่ฉันพร้อมจะตอบรับคำรัก
"พี่ครับ... ผมขอโทษนะครับ..."
เขาคงจะใช้หลังมือนั้นป้ายปาดน้ำตา ที่ฉันทันได้เห็นหยาดหนึ่ง หยดลงบนพื้น
"เธอไม่ต้องขอโทษพี่... หนุ่มน้อย... ที่รักของพี่... พี่ก็รักเธอเหลือเกินเช่นกัน"
ฉันโอบปลอบเขาไว้ในอ้อมแขน
ในครั้งนี้
แม้เขาจะยังคงนิ่งเฉย อยู่ในความเปล่าเปลี่ยว
ฉันก็จะเป็นฝ่ายขยับให้ชิด แล้วใช้วงแขนและเรือนร่าง กอดกระชับเขาไว้อย่างนั้น
ทั้งยังจะกระซิบรำพันคำรัก จนกว่าน้ำตานั้น จะเหือดแห้ง
แต่มันยากเหลือเกิน...
เมื่อเขาถึงกับปล่อยโฮออกมาอย่างสุดจะกลั้น
ไม่สนใจ แม้ฉันจะพร่ำปลอบ
หากถึงกับตีอกชกหัวตัวเอง... หรือคิดสั้นไป... แล้วจะทำอย่างไร
เขาร่ำไห้อย่างนั้นอยู่จนรุ่งสาง
จนฉันต้องเป็นฝ่ายผละออกมาเอง
อารมณ์หนุ่มนั้นปรวนแปรถั่งโถม ดั่งพายุในฤดูมรสุม
มันจะทั้งชุ่มชื่น และเกรี้ยวกราดรุนแรง
วันคืนค่อยเคลื่อนผ่านไป
ทุกคืนฉันยังนั่งคอยหนุ่มน้อยของฉัน...
หากมีใครนั่งอยู่ก่อนในที่ของฉัน... เขาก็จะยืนรออยู่ไม่ห่าง...
แล้วค่อยลงนั่งเคียงกับฉัน เมื่อใครคู่นั้นผละไป
กาแฟร้อนๆ และขนมหวานอย่างที่ฉันชอบ ถูกนำมา พร้อมกับรอยยิ้ม และคราบน้ำตา
"จะร้องไห้ไปไยเล่าหนุ่มน้อย... ที่รักของพี่... พี่บอกแล้วอย่างไรเล่า... ว่าพี่ก็รักเธอเหลือเกิน"
บางคืนที่เขานั่งเหม่อซึม ฉันก็ค่อยเอนกาย หนุนนอนบนตักอุ่น
ส่งแผ่ความยินดี ที่ได้อยู่ร่วมกัน ผ่านทางกระแสความรู้สึก
พยายามลืมความท้อระทม ที่เพิ่งพ้นผ่านไปไม่นาน
บางคืนที่ฉันปลอดโปร่งใจถึงที่สุด
ฉันก็จะหยิบยกเรื่องในวันนั้น ขึ้นมายั่วเย้า
วันที่เขาจูงมือเด็กสาวออกมาจากร้าน... ขณะที่ใครคนหนึ่ง แอบยืนรอเขาอยู่ตรงมุมถนน
แล้วก็ทำท่าวิ่งข้ามถนนจากมา อย่างผู้พ่ายแพ้... พ่ายแพ้ด้วยประการทั้งปวง
ผู้หญิงคนนั้น คือพี่สาวของเธอคนนี้ ใช่หรือเปล่านะ
ผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม ที่ไปคอยดักมองเธอ ให้ใกล้กว่าจะเห็นได้ จากม้านั่งตัวนี้
ช่างน่าสงสารเหลือเกิน
ที่เธอไม่เร็วพอจะหลบพ้นรถคันนั้นไปได้
พี่สาวคนนี้ ยังเห็นเธอวิ่งเข้ามา ช่วยประคองร่างไร้วิญญาณ ร่ำไห้ อย่างโศกสลดหมดอาย
ทั้งที่ร่างนั้น คือโสเภณีชั้นต่ำ ที่ต้องหากินทั้งกลางวันกลางคืน ไม่เลือกพ่อเขาหรือลูกใคร
เหตุนี้เอง ฉันถึงกล้าพูดได้เต็มคำ
ว่า... พี่รักเธอเหลือเกิน...
รักเหมือนอย่างที่ผู้หญิงสักคน จะมอบให้ผู้ชายสักคน
ผู้ชายที่ผู้หญิงคนนั้นเลือกแล้วว่า จะสามารถแบ่งปันความรักอันชื่นบาน ให้แก่กันได้ อย่างไม่รู้จักหมดสิ้น