http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9540000040584
แฉนโยบายประกันราคาข้าวสุดห่วย รัฐทำเจ๊งกว่าแสนล้าน - คุณภาพตกต่ำ
โรงสี-ผู้ส่งออกข้าวโวย นโยบายประกันราคาข้าว 2 ปี ทำรัฐเจ๊งกว่าแสนล้าน แถมฉุดราคาข้าวโลกร่วง และรัฐไทยยังเป็นผู้แบกรับค่าใช้จ่ายให้คนทั้งโลก ขณะที่คุณภาพข้าวตกต่ำ เพราะขายได้เท่าไรรัฐก็จ่ายชดเชย ด้านพ่อค้าส่งออกถือโอกาสกดราคาโรงสี สะท้อนภาพคนไม่ได้ปลูกข้าว กับพวกเจ้าของที่ดินรับเละ ส่วนชาวนาตัวจริง ถูกกดราคา ซ้ำไม่ได้เงินประกัน แนะตั้งราคาขั้นต่ำ -ยุ้งฉางให้กับชาวนาในพื้นที่ เพื่อให้เกษตรกรได้ราคาผลผลิตดีที่สุด
จากปริมาณการส่งออกข้าวตั้งแต่ต้นปีนี้จนถึงเดือน ก.พ.54 ไทยมียอดส่งออกข้าวคิดเป็นปริมาณเพิ่มขึ้น 25.6% แต่มูลค่าเพิ่มเพียง 9.4% ทั้งๆที่ตลาดโลกต้องการข้าวสูง คู่แข่งงดส่งออก โดยแหล่งข่าวผู้ส่งออกข้าวกล่าวว่า ขณะนี้ชาวนาที่ปลูกข้าวแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.ชาวนาที่ไม่ได้ปลูกข้าวแต่มีที่ดินขึ้นทะเบียนเพื่อขอชดเชยราคาข้าว แต่ใช้ที่ดินไปปลูกพืชชนิดอื่นที่ได้กำไรมากกว่าหรือให้เช่าที่นา 2.ชาวนาที่ปลูกข้าวไว้เพื่อกินเองโดยไม่ได้เน้นการขาย และ
3.ชาวนาที่ปลูกข้าวเพื่อขายอย่างแท้จริงแต่ส่วนใหญ่ต้องเช่าที่นา
ซึ่งใน 3 กลุ่มนี้ ชาวนาที่ปลูกข้าวเพื่อขายมีจำนวนมากที่สุดคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50-60% โดยชาวนากลุ่มนี้แทบจะไม่ได้ประโยชน์จากโครงการประกันราคาของรัฐบาล เพราะส่วนใหญ่ต้องเช่าที่นา ขณะที่เจ้าของที่ดินกลับไปขึ้นทะเบียนได้ส่วนต่างตรงนี้ไป และยังได้ค่าเช่าจากผู้ปลูกตัวจริงอีกทอด
ระบุชาวนาตัวจริงชวดเงินประกัน
ทั้งนี้ พวกที่ไม่ได้ปลูกข้าว แค่อยู่เฉยๆก็ได้เงินจากรัฐอย่างสบาย เช่น ถ้ามีที่ดิน 100 ไร่ แบ่งออกเป็นผู้ถือครองขึ้นทะเบียน 2 ชื่อ ก็ได้รับเงินชดเชยจากรัฐ 60 ตัน มีมูลค่ากว่า 1 แสนบาทต่อฤดูการเพาะปลูก ส่วนพวกที่ปลุกไว้กินมีที่ดินจำนวนน้อยประมาณ 10 ไร่ ก็จะได้เงินชดเชยกว่า 1 หมื่นบาท โดยกลุ่มที่ 3 น่าส่งสารที่สุดไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆเลย ซึ่งรัฐบาลคิดว่าการชดเชยแบบนี้เงินถึงมือเกษตรกรอย่างแท้จริง น่าจะได้คะแนนนิยมมาก แต่ในความเป็นจริงชาวนากลุ่มใหญ่กลับไม่ได้ประโยชน์อะไร โดยเฉพาะในภาคอีสาน ที่จะส่งผลต่อคะแนนเลือกตั้งในครั้งหน้าอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ราคาที่รัฐบาลชดเชยก็มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะถูกผู้ส่งออกกดราคามายังโรงสี และโรงสีก็กดราคารับซื้อจากเกษตรกรอีกทอด ส่วนชาวนาก็เต็มใจขายข้าวแม้ไม่ได้ราคาเพราะมั่นใจว่ารัฐบาลก็จะต้องชดเชยส่วนต่างให้ แต่ในความจริงแล้วชาวนาก็แทบจะไม่ได้กำไร เพราะขณะนี้ต้นทุนการทำนาประมาณ 6-7 พันบาท/ตัน แต่พ่อค้ารับซื้อในราคาเกือบเท่าทุนที่ 6-7 พันบาท/ตัน จากนั้นชาวนาก็ได้เงินชดเชยจากรัฐประมาณ 2 พันบาท รวมแล้วประมาณ 8-9 พันบาท/ตัน สรุปว่าชาวนาได้กำไร10% กว่าๆ เมื่อเทียบกับบางพื้นที่ทำนาได้เพียงปีละ 1 ครั้งส่วนต่างที่ได้จึงแทบจะไม่พอค่าใช้จ่ายทั้งปี
ลืมง่ายต้องฟื้น - แฉนโยบายประกันราคาข้าวสุดห่วย รัฐทำเจ๊งกว่าแสนล้าน - คุณภาพตกต่ำ
แฉนโยบายประกันราคาข้าวสุดห่วย รัฐทำเจ๊งกว่าแสนล้าน - คุณภาพตกต่ำ
โรงสี-ผู้ส่งออกข้าวโวย นโยบายประกันราคาข้าว 2 ปี ทำรัฐเจ๊งกว่าแสนล้าน แถมฉุดราคาข้าวโลกร่วง และรัฐไทยยังเป็นผู้แบกรับค่าใช้จ่ายให้คนทั้งโลก ขณะที่คุณภาพข้าวตกต่ำ เพราะขายได้เท่าไรรัฐก็จ่ายชดเชย ด้านพ่อค้าส่งออกถือโอกาสกดราคาโรงสี สะท้อนภาพคนไม่ได้ปลูกข้าว กับพวกเจ้าของที่ดินรับเละ ส่วนชาวนาตัวจริง ถูกกดราคา ซ้ำไม่ได้เงินประกัน แนะตั้งราคาขั้นต่ำ -ยุ้งฉางให้กับชาวนาในพื้นที่ เพื่อให้เกษตรกรได้ราคาผลผลิตดีที่สุด
จากปริมาณการส่งออกข้าวตั้งแต่ต้นปีนี้จนถึงเดือน ก.พ.54 ไทยมียอดส่งออกข้าวคิดเป็นปริมาณเพิ่มขึ้น 25.6% แต่มูลค่าเพิ่มเพียง 9.4% ทั้งๆที่ตลาดโลกต้องการข้าวสูง คู่แข่งงดส่งออก โดยแหล่งข่าวผู้ส่งออกข้าวกล่าวว่า ขณะนี้ชาวนาที่ปลูกข้าวแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.ชาวนาที่ไม่ได้ปลูกข้าวแต่มีที่ดินขึ้นทะเบียนเพื่อขอชดเชยราคาข้าว แต่ใช้ที่ดินไปปลูกพืชชนิดอื่นที่ได้กำไรมากกว่าหรือให้เช่าที่นา 2.ชาวนาที่ปลูกข้าวไว้เพื่อกินเองโดยไม่ได้เน้นการขาย และ
3.ชาวนาที่ปลูกข้าวเพื่อขายอย่างแท้จริงแต่ส่วนใหญ่ต้องเช่าที่นา
ซึ่งใน 3 กลุ่มนี้ ชาวนาที่ปลูกข้าวเพื่อขายมีจำนวนมากที่สุดคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50-60% โดยชาวนากลุ่มนี้แทบจะไม่ได้ประโยชน์จากโครงการประกันราคาของรัฐบาล เพราะส่วนใหญ่ต้องเช่าที่นา ขณะที่เจ้าของที่ดินกลับไปขึ้นทะเบียนได้ส่วนต่างตรงนี้ไป และยังได้ค่าเช่าจากผู้ปลูกตัวจริงอีกทอด
ระบุชาวนาตัวจริงชวดเงินประกัน
ทั้งนี้ พวกที่ไม่ได้ปลูกข้าว แค่อยู่เฉยๆก็ได้เงินจากรัฐอย่างสบาย เช่น ถ้ามีที่ดิน 100 ไร่ แบ่งออกเป็นผู้ถือครองขึ้นทะเบียน 2 ชื่อ ก็ได้รับเงินชดเชยจากรัฐ 60 ตัน มีมูลค่ากว่า 1 แสนบาทต่อฤดูการเพาะปลูก ส่วนพวกที่ปลุกไว้กินมีที่ดินจำนวนน้อยประมาณ 10 ไร่ ก็จะได้เงินชดเชยกว่า 1 หมื่นบาท โดยกลุ่มที่ 3 น่าส่งสารที่สุดไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆเลย ซึ่งรัฐบาลคิดว่าการชดเชยแบบนี้เงินถึงมือเกษตรกรอย่างแท้จริง น่าจะได้คะแนนนิยมมาก แต่ในความเป็นจริงชาวนากลุ่มใหญ่กลับไม่ได้ประโยชน์อะไร โดยเฉพาะในภาคอีสาน ที่จะส่งผลต่อคะแนนเลือกตั้งในครั้งหน้าอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ราคาที่รัฐบาลชดเชยก็มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะถูกผู้ส่งออกกดราคามายังโรงสี และโรงสีก็กดราคารับซื้อจากเกษตรกรอีกทอด ส่วนชาวนาก็เต็มใจขายข้าวแม้ไม่ได้ราคาเพราะมั่นใจว่ารัฐบาลก็จะต้องชดเชยส่วนต่างให้ แต่ในความจริงแล้วชาวนาก็แทบจะไม่ได้กำไร เพราะขณะนี้ต้นทุนการทำนาประมาณ 6-7 พันบาท/ตัน แต่พ่อค้ารับซื้อในราคาเกือบเท่าทุนที่ 6-7 พันบาท/ตัน จากนั้นชาวนาก็ได้เงินชดเชยจากรัฐประมาณ 2 พันบาท รวมแล้วประมาณ 8-9 พันบาท/ตัน สรุปว่าชาวนาได้กำไร10% กว่าๆ เมื่อเทียบกับบางพื้นที่ทำนาได้เพียงปีละ 1 ครั้งส่วนต่างที่ได้จึงแทบจะไม่พอค่าใช้จ่ายทั้งปี