สงกรานต์ วูบ! แห่ยกเลิกจอง เม.ย. 80% ฟื้นอีกทีปลายปี เอกชน จี้ รบ.ออกมาตรการช่วย
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_6964643
สงกรานต์ วูบ! แห่ยกเลิกจอง เม.ย. 80% ฟื้นอีกทีปลายปี เอกชน จี้ รบ.ออกมาตรการช่วย แนะทำเหมือนโครงการทัวร์เที่ยวไทย แต่ลดเงื่อนไขลง
เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2565 นาย
ภูริวัจน์ ลิ้มถาวรรัตน์ ผู้ช่วยประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เปิดเผยว่า ภาพรวมการท่องเที่ยวในประเทศ ขณะนี้ต้องยอมรับว่า ภาพไม่ได้ปรับตัวดีขึ้นเหมือนอย่างที่คาดหวังไว้ เนื่องจากการระบาดโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนยังคงอยู่ รวมถึงเห็นจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันรวมการตรวจเอทีเคแล้ว อยู่ประมาณ 4 หมื่นคนต่อวัน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูง และสร้างความกังวลใจมาก
ทำให้แนวโน้มช่วงเทศกาลสงกรานต์ ในเดือน เม.ย. 2565 ไม่ได้ดีเหมือนที่คาดไว้ โดยภาพในปีนี้ จะเป็นเหมือนปี 2564 อีกครั้ง เนื่องจากขณะนี้เราเห็นการยกเลิกการจองล่วงหน้าแล้วกว่า 80% และเป็นการยกเลิกทั้งเดือน เม.ย. เพราะไม่มั่นใจการระบาดโควิด-19 และอยากขอรอดูความชัดเจนของเงื่อนไขต่างๆ ก่อน
“ตอนนี้สงกรานต์ไม่ต้องพูดถึงแล้ว รู้ชะตากรรมแล้วว่าคงไม่ได้คึกคักมากเท่าใดนัก เพราะยังมีโอมิครอนอยู่ รวมถึงภาวะเศรษฐกิจไม่ดี น้ำมันแพง ค่าครองชีพสูง จึงมีการตัดค่าใช้จ่ายไม่จำเป็นออก ทำให้การเดินทางน้อยลงมาก คนส่วนใหญ่ระมัดระวังตัว เพราะพูดจริงๆ โควิด-19 คนยังกลัวน้อยกว่าปัญหาเศรษฐกิจ ที่หากคนไม่มีเงินก็ไปเที่ยวไม่ได้”
นายภูริวัจน์ กล่าวต่อว่า เมื่อพ้นเดือน เม.ย.นี้ จะเป็นหน้าฝน ซึ่งปกติถือเป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว (โลว์ซีซั่น) ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวน้อยอยู่แล้ว การท่องเที่ยวในประเทศก็จะหายไปอีกอย่างน้อย 1 ไตรมาส หรือ 3 เดือน ที่การเดินทางทรงตัวต่ำๆ แบบนี้
“ที่ผ่านมาเดิมเราเห็นในช่วงเดือน มี.ค. เริ่มมีการจองเดินทางท่องเที่ยวในช่วงปลายเดือน มี.ค.นี้ แต่เมื่อยอดติดเชื้อพุ่งขึ้นเรื่อยๆ ก็เห็นการยกเลิกการจองจนหมด ลากยาวไปถึงเดือน เม.ย. ทั้งเดือนด้วย คาดหวังว่าจะเห็นความคึกคักการท่องเที่ยวในประเทศได้อีกครั้งในช่วงปลายปี 2565 รอบปลายฝนต้นหนาว หรือไตรมาสสุดท้ายของปีเลย”
นาย
ภูริวัจน์ กล่าวอีกว่า สำหรับตลาดต่างประเทศยังไม่ได้คิดไว้เลยว่าจะกลับมาดีขึ้น และคาดหวังได้มากน้อยเท่าใด เพราะคนไทยก็ยังกลัวอยู่ รวมถึงหลายประเทศก็เปิดประเทศท่องเที่ยวมากขึ้น มีตัวเลือกสูง รวมถึงเงื่อนไขการเข้าประเทศก็น้อย แม้มีความต้องการมาเที่ยวไทย แต่หากเงื่อนไขยังไม่เอื้ออำนวยมากนัก ประเมินว่าตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาจต้องรอฟื้นตัวอีกทีในปี 2566 ทีเดียว
นาย
ภูริวัจน์ กล่าวต่อว่า ตอนนี้อยากให้รัฐบาลเตรียมมาตรการส่งเสริมและกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก ทำอย่างต่อเนื่อง และทำมากที่สุด เพราะการคาดหวังนักท่องเที่ยวต่างชาติยังทำได้ค่อนข้างน้อย
“สำหรับรูปแบบมาตรการหรือโครงการกระตุ้น อยากให้ออกมาในรูปแบบการส่งเสริมเที่ยวผ่านบริษัทนำเที่ยวเหมือนโครงการทัวร์เที่ยวไทย แต่อยากให้เงื่อนไขต่างๆ ในการใช้บริการทั้งส่วนของประชาชนและผู้ประกอบการเอื้ออำนวยมากกว่านี้ เพราะทัวร์เที่ยวไทยถือว่าช่วยต่อลมหายใจผู้ประกอบการได้ แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เนื่องจากขั้นตอนและเงื่อนไขค่อนข้างยุ่งยากเกินไป” นาย
ภูริวัจน์ กล่าว
ต้นทุนสินค้าเกษตรพุ่งทะลุ 100% ชงรัฐบาลเพิ่มวงเงินประกันรายได้
https://www.prachachat.net/economy/news-895788
สงครามรัสเซีย-ยูเครนสะเทือนต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตรรอบใหม่ ราคา “ปุ๋ย-น้ำมัน-ค่าแรง” เพิ่มขึ้นกว่า 100% ฉุดรายได้เกษตรกรเดือดร้อน ข้าว-มัน-ปาล์ม-ยาง อ่วม ชงข้อมูลใหม่ให้รัฐปรับฐานราคาประกันรายได้ที่ใช้มาแล้ว 3 ปี พร้อมเจรจาร่วมทุนผลิตปุ๋ยจีน-ใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ในประเทศ
ภาคเกษตรกรไทยกำลังเผชิญความท้าทายอย่างหนัก หลังวิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครนร่วม 1 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลต่อต้นทุนพลังงานปรับสูงขึ้นกระทบราคาน้ำมันในประเทศ-ราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าจนต้องปรับขึ้นค่าเอฟที งวดที่ 2 อีกระลอก
ขณะที่ต้นทุนการเพาะปลูก-ปศุสัตว์ต่างก็ได้รับแรงกดดันจากราคาธัญพืช-แม่ปุ๋ยที่ผลิตจากแหล่งรัสเซีย-ยูเครนปรับสูงขึ้น รวมถึงมาตรการแซงก์ชั่นรัสเซียทำให้หลายประเทศต้องแย่งชิงซื้อจากแหล่งอื่นทดแทน
ปัญหาระดับโลกลามมาสู่ปัญหาเศรษฐกิจรากหญ้าจากต้นทุนการเกษตรสูงขึ้น แต่ระดับรายได้ลดลง ซึ่งภาครัฐยังคงใช้มาตรการประกันรายได้ราคาเดิม 3 ปีแล้ว
นาย
ประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ”ว่า ขณะนี้ต้นทุนเกษตรกรโดยรวมปรับสูงขึ้น ทั้งจากต้นทุนปุ๋ย ค่าน้ำมัน และค่าแรงงาน ซึ่งหากแยกเฉพาะด้านพบว่า ต้นทุนปุ๋ยและเคมีเกษตรปรับสูงขึ้นไปเกินกว่า 100% จากปีก่อน
ส่งผลกระทบต่อรายได้เกษตรกร ซึ่งในบางสินค้ากระทบรุนแรง เพราะราคาขายในตลาดไม่ได้สูงขึ้น เช่น ข้าว ทำให้ขณะนี้มีสมาชิกร้องเรียนเข้ามาขอให้เสนอภาครัฐพิจารณาขยับฐานราคาในโครงการประกันรายได้ที่ใช้ระดับเดิมมาเป็นเวลา 3 ปีแล้ว เพื่อให้เกษตรกรได้มีรายได้เพียงพอกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น จากนี้จะรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เพื่อหารือกับรัฐต่อไป
“ผลกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น หากแยกเป็นรายชนิด สินค้าพืชไร่จะกระทบมากกว่าสินค้าพืชสวน เช่น ข้าว ข้าวโพด จะกระทบมากกว่าปาล์ม ยางพารา เพราะต้นทุนขึ้น แต่ราคาตลาดก็ขยับขึ้น ส่วนสินค้าปศุสัตว์จะมีกลุ่มสุกรที่กระทบมากที่สุดจากต้นทุนอาหารสัตว์และโรค ตามด้วย ไก่เนื้อ ไก่ไข่”
ขอเสนอให้รัฐพิจารณาผลิตปุ๋ยเอง ลดการนำเข้า เพราะปัจจุบันไทยมีแหล่งแร่ที่ใช้เป็นแม่ปุ๋ย 2 ชนิด คือ โพแทสเซียม ในแหล่งที่ จ.ชัยภูมิ และไนโตรเจน ซึ่งได้จากบายโปรดักต์ของการกลั่นน้ำมัน ซึ่งเรามีโรงกลั่น 4-5 โรง สามารถใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ยแอมโมเนีย
นอกจากนี้ ไทยควรพิจารณาเจรจาความร่วมมือกับจีนที่เป็นแหล่งผลิตฟอสเฟตที่สำคัญ ร่วมกันลงทุนเป็นบริษัทร่วมทุนผลิตปุ๋ยสำหรับ 2 ประเทศ
ส่วนปัญหาต้นทุนค่าน้ำมัน อยากให้พิจารณามาตรการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มโดยใช้คูปองน้ำมันมาช่วย ส่วนการลดต้นทุนอาหารสัตว์ ขอให้รัฐหันมาส่งเสริมการใช้วัตถุดิบในประเทศทดแทนการนำเข้า เช่น ข้าวเปลือก หรือข้าวสารเก่าในสต๊อกรัฐบาล
อีกด้านหนึ่งเกษตรกรต้องปรับแผนลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เช่น การปรับจากการใช้ปุ๋ยเคมีไปเป็นอินทรีย์ ซึ่งทำให้ต้นทุนต่อไร่ลดลงจาก 4,000-5,000 บาท เหลือ 3,000 บาทต่อไร่
ขยับประกันรายได้ข้าว-มัน-ปาล์ม
ด้าน นาย
ปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย เปิดเผยว่า สมาคมขอให้รัฐพิจารณาทบทวนราคาประกันรายได้ข้าว ซึ่งเป็นระดับที่ใช้มาต่อเนื่อง 3 ปีแล้ว
ขณะที่ปัจจุบันต้นทุนการเพาะปลูกข้าวปรับขึ้นไปทั้งหมด โดยเฉพาะค่าปุ๋ยยูเรีย และปุ๋ยสูตรอื่นที่ใช้ในนาข้าว เช่น 16-8-8 ปรับจากกระสอบละ 800-900 เป็น 1,100-1,200 บาท ซึ่งมีผลให้ต้นทุนการเพาะปลูกของชาวนาเฉลี่ยต่อไร่ 4,500-5000 บาท (โดยปกติต้องปลูกประมาณ 1.5 ไร่ จะได้ข้าวเปลือก 1 ตัน)
โดยคาดว่าผลผลิตปีนี้จะมีปริมาณ 28 ล้านตัน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเก็บเกี่ยวผลิตข้าวนาปรัง คาดว่าปลายเดือนมีนาคมนี้ก็น่าจะออกสู่ตลาดหมด ส่วนราคาตลาดขณะนี้ ข้าวขาว ตันละ 8,000 บาท ต่ำกว่าราคาประกันที่ตันละ 10,000 บาท ส่วนข้าวหอมปทุม ตันละ 9,000 บาท จากราคาประกันตันละ 11,000 บาท และข้าวหอมมะลิ ตันละ 12,000-13,000 บาท จากราคาประกันตันละ 15,000 บาท
ปุ๋ยมันสำปะหลังทะลุ 200%
นาย
รังษี ไผ่สอาด นายกสมาคมชาวไร่มันสำปะหลังแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สมาคมอยากขอให้รัฐบาลพิจารณาปรับราคาประกันรายได้มันสำปะหลังเพิ่มขึ้น จาก กก.ละ 2.50 บาท เป็น 2.70 บาท เพราะสถานการณ์ต้นทุนการเพาะปลูกของเกษตรกรสูงขึ้น จากเดิม กก.ละ 2.20-2.30 บาท เป็น 2.50 บาท
เป็นผลจากราคาปุ๋ยที่ปรับขึ้นมากว่า 150-200% จากเดิมปุ๋ยยูเรียขายกระสอบละ 500 บาท เป็น 1,100 บาท ปุ๋ยชนิดอื่น ๆ ก็ปรับเพิ่มขึ้นจากกระสอบละ 700 บาท เป็น 1,100 บาทต่อกระสอบ ยังไม่รวมค่าน้ำมัน ค่าขนส่ง ค่าแรง ที่เป็นต้นทุนของเกษตรกร
ส่วนราคารับซื้อหัวมันสด กก.ละ 2.60 บาท กำไร 10 สตางค์ถือว่าน้อย ซึ่งแม้ว่าภาครัฐจะเข้ามาช่วยเหลือจัดหาปุ๋ยราคาถูก แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ และมองว่าแนวโน้มราคาปุ๋ยจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
“ตอนนี้ประกันรายได้มาช่วยประมาณ 15% ของผลผลิตเท่านั้น ผลผลิตจะออกช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม เป็นช่วงที่ผลผลิตออกเยอะ คาดการณ์ว่าผลผลิตปีนี้ 34 ล้านตัน ความต้องการใช้ในประเทศ 24 ล้านตัน และส่งออก 10 ล้านตัน
ราคายังพอมีกำไรจากต้นทุน กก.ละ 10 สตางค์ แต่จีนก็มีการปลูกข้าวโพดมากขึ้นมาใช้ทดแทน ก็ต้องดูว่าจะกระทบราคามันหรือไม่ และอนาคตเกษตรกรไทยต้องพัฒนาเพิ่มผลผลิตต่อไร่ เป้าหมาย 4 ตันต่อไร่ แต่ปัจจุบันยังได้ 3.2-3.3 ตันต่อไร่”
นาย
มนัส พุทธรัตน์ ประธานสมาพันธ์ชาวสวนปาล์มแห่งประเทศไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แม้ว่าราคาตลาดปาล์มน้ำมันจะขยับสูงสุดในรอบ 9 ปี ไปถึง กก.ละ 13 บาท แต่ต้นทุนชาวสวนปาล์มก็ปรับขึ้นสูงสุดในรอบ 9 ปีเช่นกัน จากเดิมที่ต้นทุนการผลิตผลปาล์มเฉลี่ย กก.ละ 3.18-3.78 บาท เพิ่มเป็น กก.ละ 5-6 บาท
โดยเฉพาะปุ๋ยปรับเกิน 100% เช่น โพแทสเซียม 0-0-60 ปรับจากตันละ 12,000-14,000 บาท ไปแตะระดับ 30,000 บาทแล้ว หรือยูเรียจากที่ตันละ 4,500-5,000 บาท ปรับเป็น 20,000 บาท ซึ่งจะใช้ปุ๋ยเฉลี่ย 8-12 กก.ต่อต้นต่อปี ต้นทุนรวมอื่น ๆ เช่น ค่าแรงงาน ค่าขนส่ง รวม 80-90%
ขณะที่ราคาประกันรายได้เกษตรกรยังคงเดิมอยู่ที่ กก.ละ 4 บาท มา 3 ปีแล้ว เป็นไปได้หรือไม่หากรัฐจะพิจารณาทบทวนระดับราคาประกันรายได้ เป็น กก.ละ 4.50 บาท จะช่วยให้เกษตรกรมีความมั่นใจในการประกอบอาชีพเพราะรัฐประกันรายได้ให้เกษตรกร
สำหรับผลผลิตปาล์มขณะนี้ทยอยออกไปถึงเดือนสิงหาคม คาดว่าจะมีผลปาล์มทะลายเฉลี่ยเดือนละ 1.0-1.5 ล้านตัน คิดเป็นเปอร์เซ็นต์น้ำมัน 18% จะได้น้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ที่ 2.5-2.6 แสนตัน
หักการใช้เพื่อการบริโภคในประเทศ และการใช้เพื่อผลิตไบโอดีเซลก็จะเหลือเดือนละ 6-7 หมื่นตัน ซึ่งล่าสุดสต๊อกน้ำมัน CPO เดือนมีนาคมมี 1.7 แสนตัน เพิ่มขึ้นจากเดือน ก.พ.ที่มี 1.3 แสนตัน อยู่ในมือเอกชนทั้งโรงสกัด โรงกลั่นและโรงงานไบโอดีเซล
สวนยางแบกรับ 3 ต้นทุน
นาย
อุทัย สอนหลักทรัพย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากเหตุรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลกระทบต้นทุนการผลิตสวนยางเพิ่มขึ้นทุกทาง โดยต้นทุนส่วนใหญ่คือ ราคาปุ๋ย แรงงาน ราคาน้ำมัน ซึ่งทั้ง 3 อย่างเป็นปัจจัยหลักของชาวสวน
“ถ้าสงครามยูเครนยืดเยื้อส่งผลกระทบต่อเกษตรกรไทยอย่างแน่นอน ชาวสวนยางเดือดร้อนแน่นอน เพราะต้นทุนการผลิตสูงขึ้นต่อเนื่อง ที่ผ่านมาการประกันรายได้ยางพารา รัฐบาลกำหนด กก.ละ 60 บาท/กก. ทั้งที่ราคาต้นทุนการผลิตที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ระบุไว้ อยู่ที่ 63.65 บาท/กก. เมื่อ 7-8 ปีมาแล้ว ตอนนี้เกษตรกรชาวสวนยางเดือดร้อนแน่นอน”
JJNY : สงกรานต์วูบ!แห่ยกเลิกจองเม.ย.80%│ต้นทุนสินค้าเกษตรทะลุ100%│"ศิริกัญญา"จี้จริงใจแก้ที่ดินทำกิน│รัสเซียยั่วญี่ปุ่น!
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_6964643
สงกรานต์ วูบ! แห่ยกเลิกจอง เม.ย. 80% ฟื้นอีกทีปลายปี เอกชน จี้ รบ.ออกมาตรการช่วย แนะทำเหมือนโครงการทัวร์เที่ยวไทย แต่ลดเงื่อนไขลง
เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2565 นายภูริวัจน์ ลิ้มถาวรรัตน์ ผู้ช่วยประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เปิดเผยว่า ภาพรวมการท่องเที่ยวในประเทศ ขณะนี้ต้องยอมรับว่า ภาพไม่ได้ปรับตัวดีขึ้นเหมือนอย่างที่คาดหวังไว้ เนื่องจากการระบาดโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนยังคงอยู่ รวมถึงเห็นจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันรวมการตรวจเอทีเคแล้ว อยู่ประมาณ 4 หมื่นคนต่อวัน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูง และสร้างความกังวลใจมาก
ทำให้แนวโน้มช่วงเทศกาลสงกรานต์ ในเดือน เม.ย. 2565 ไม่ได้ดีเหมือนที่คาดไว้ โดยภาพในปีนี้ จะเป็นเหมือนปี 2564 อีกครั้ง เนื่องจากขณะนี้เราเห็นการยกเลิกการจองล่วงหน้าแล้วกว่า 80% และเป็นการยกเลิกทั้งเดือน เม.ย. เพราะไม่มั่นใจการระบาดโควิด-19 และอยากขอรอดูความชัดเจนของเงื่อนไขต่างๆ ก่อน
“ตอนนี้สงกรานต์ไม่ต้องพูดถึงแล้ว รู้ชะตากรรมแล้วว่าคงไม่ได้คึกคักมากเท่าใดนัก เพราะยังมีโอมิครอนอยู่ รวมถึงภาวะเศรษฐกิจไม่ดี น้ำมันแพง ค่าครองชีพสูง จึงมีการตัดค่าใช้จ่ายไม่จำเป็นออก ทำให้การเดินทางน้อยลงมาก คนส่วนใหญ่ระมัดระวังตัว เพราะพูดจริงๆ โควิด-19 คนยังกลัวน้อยกว่าปัญหาเศรษฐกิจ ที่หากคนไม่มีเงินก็ไปเที่ยวไม่ได้”
นายภูริวัจน์ กล่าวต่อว่า เมื่อพ้นเดือน เม.ย.นี้ จะเป็นหน้าฝน ซึ่งปกติถือเป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว (โลว์ซีซั่น) ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวน้อยอยู่แล้ว การท่องเที่ยวในประเทศก็จะหายไปอีกอย่างน้อย 1 ไตรมาส หรือ 3 เดือน ที่การเดินทางทรงตัวต่ำๆ แบบนี้
“ที่ผ่านมาเดิมเราเห็นในช่วงเดือน มี.ค. เริ่มมีการจองเดินทางท่องเที่ยวในช่วงปลายเดือน มี.ค.นี้ แต่เมื่อยอดติดเชื้อพุ่งขึ้นเรื่อยๆ ก็เห็นการยกเลิกการจองจนหมด ลากยาวไปถึงเดือน เม.ย. ทั้งเดือนด้วย คาดหวังว่าจะเห็นความคึกคักการท่องเที่ยวในประเทศได้อีกครั้งในช่วงปลายปี 2565 รอบปลายฝนต้นหนาว หรือไตรมาสสุดท้ายของปีเลย”
นายภูริวัจน์ กล่าวอีกว่า สำหรับตลาดต่างประเทศยังไม่ได้คิดไว้เลยว่าจะกลับมาดีขึ้น และคาดหวังได้มากน้อยเท่าใด เพราะคนไทยก็ยังกลัวอยู่ รวมถึงหลายประเทศก็เปิดประเทศท่องเที่ยวมากขึ้น มีตัวเลือกสูง รวมถึงเงื่อนไขการเข้าประเทศก็น้อย แม้มีความต้องการมาเที่ยวไทย แต่หากเงื่อนไขยังไม่เอื้ออำนวยมากนัก ประเมินว่าตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาจต้องรอฟื้นตัวอีกทีในปี 2566 ทีเดียว
นายภูริวัจน์ กล่าวต่อว่า ตอนนี้อยากให้รัฐบาลเตรียมมาตรการส่งเสริมและกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก ทำอย่างต่อเนื่อง และทำมากที่สุด เพราะการคาดหวังนักท่องเที่ยวต่างชาติยังทำได้ค่อนข้างน้อย
“สำหรับรูปแบบมาตรการหรือโครงการกระตุ้น อยากให้ออกมาในรูปแบบการส่งเสริมเที่ยวผ่านบริษัทนำเที่ยวเหมือนโครงการทัวร์เที่ยวไทย แต่อยากให้เงื่อนไขต่างๆ ในการใช้บริการทั้งส่วนของประชาชนและผู้ประกอบการเอื้ออำนวยมากกว่านี้ เพราะทัวร์เที่ยวไทยถือว่าช่วยต่อลมหายใจผู้ประกอบการได้ แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เนื่องจากขั้นตอนและเงื่อนไขค่อนข้างยุ่งยากเกินไป” นายภูริวัจน์ กล่าว
ต้นทุนสินค้าเกษตรพุ่งทะลุ 100% ชงรัฐบาลเพิ่มวงเงินประกันรายได้
https://www.prachachat.net/economy/news-895788
สงครามรัสเซีย-ยูเครนสะเทือนต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตรรอบใหม่ ราคา “ปุ๋ย-น้ำมัน-ค่าแรง” เพิ่มขึ้นกว่า 100% ฉุดรายได้เกษตรกรเดือดร้อน ข้าว-มัน-ปาล์ม-ยาง อ่วม ชงข้อมูลใหม่ให้รัฐปรับฐานราคาประกันรายได้ที่ใช้มาแล้ว 3 ปี พร้อมเจรจาร่วมทุนผลิตปุ๋ยจีน-ใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ในประเทศ
ภาคเกษตรกรไทยกำลังเผชิญความท้าทายอย่างหนัก หลังวิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครนร่วม 1 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลต่อต้นทุนพลังงานปรับสูงขึ้นกระทบราคาน้ำมันในประเทศ-ราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าจนต้องปรับขึ้นค่าเอฟที งวดที่ 2 อีกระลอก
ขณะที่ต้นทุนการเพาะปลูก-ปศุสัตว์ต่างก็ได้รับแรงกดดันจากราคาธัญพืช-แม่ปุ๋ยที่ผลิตจากแหล่งรัสเซีย-ยูเครนปรับสูงขึ้น รวมถึงมาตรการแซงก์ชั่นรัสเซียทำให้หลายประเทศต้องแย่งชิงซื้อจากแหล่งอื่นทดแทน
ปัญหาระดับโลกลามมาสู่ปัญหาเศรษฐกิจรากหญ้าจากต้นทุนการเกษตรสูงขึ้น แต่ระดับรายได้ลดลง ซึ่งภาครัฐยังคงใช้มาตรการประกันรายได้ราคาเดิม 3 ปีแล้ว
นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ”ว่า ขณะนี้ต้นทุนเกษตรกรโดยรวมปรับสูงขึ้น ทั้งจากต้นทุนปุ๋ย ค่าน้ำมัน และค่าแรงงาน ซึ่งหากแยกเฉพาะด้านพบว่า ต้นทุนปุ๋ยและเคมีเกษตรปรับสูงขึ้นไปเกินกว่า 100% จากปีก่อน
ส่งผลกระทบต่อรายได้เกษตรกร ซึ่งในบางสินค้ากระทบรุนแรง เพราะราคาขายในตลาดไม่ได้สูงขึ้น เช่น ข้าว ทำให้ขณะนี้มีสมาชิกร้องเรียนเข้ามาขอให้เสนอภาครัฐพิจารณาขยับฐานราคาในโครงการประกันรายได้ที่ใช้ระดับเดิมมาเป็นเวลา 3 ปีแล้ว เพื่อให้เกษตรกรได้มีรายได้เพียงพอกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น จากนี้จะรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เพื่อหารือกับรัฐต่อไป
“ผลกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น หากแยกเป็นรายชนิด สินค้าพืชไร่จะกระทบมากกว่าสินค้าพืชสวน เช่น ข้าว ข้าวโพด จะกระทบมากกว่าปาล์ม ยางพารา เพราะต้นทุนขึ้น แต่ราคาตลาดก็ขยับขึ้น ส่วนสินค้าปศุสัตว์จะมีกลุ่มสุกรที่กระทบมากที่สุดจากต้นทุนอาหารสัตว์และโรค ตามด้วย ไก่เนื้อ ไก่ไข่”
ขอเสนอให้รัฐพิจารณาผลิตปุ๋ยเอง ลดการนำเข้า เพราะปัจจุบันไทยมีแหล่งแร่ที่ใช้เป็นแม่ปุ๋ย 2 ชนิด คือ โพแทสเซียม ในแหล่งที่ จ.ชัยภูมิ และไนโตรเจน ซึ่งได้จากบายโปรดักต์ของการกลั่นน้ำมัน ซึ่งเรามีโรงกลั่น 4-5 โรง สามารถใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ยแอมโมเนีย
นอกจากนี้ ไทยควรพิจารณาเจรจาความร่วมมือกับจีนที่เป็นแหล่งผลิตฟอสเฟตที่สำคัญ ร่วมกันลงทุนเป็นบริษัทร่วมทุนผลิตปุ๋ยสำหรับ 2 ประเทศ
ส่วนปัญหาต้นทุนค่าน้ำมัน อยากให้พิจารณามาตรการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มโดยใช้คูปองน้ำมันมาช่วย ส่วนการลดต้นทุนอาหารสัตว์ ขอให้รัฐหันมาส่งเสริมการใช้วัตถุดิบในประเทศทดแทนการนำเข้า เช่น ข้าวเปลือก หรือข้าวสารเก่าในสต๊อกรัฐบาล
อีกด้านหนึ่งเกษตรกรต้องปรับแผนลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เช่น การปรับจากการใช้ปุ๋ยเคมีไปเป็นอินทรีย์ ซึ่งทำให้ต้นทุนต่อไร่ลดลงจาก 4,000-5,000 บาท เหลือ 3,000 บาทต่อไร่
ขยับประกันรายได้ข้าว-มัน-ปาล์ม
ด้าน นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย เปิดเผยว่า สมาคมขอให้รัฐพิจารณาทบทวนราคาประกันรายได้ข้าว ซึ่งเป็นระดับที่ใช้มาต่อเนื่อง 3 ปีแล้ว
ขณะที่ปัจจุบันต้นทุนการเพาะปลูกข้าวปรับขึ้นไปทั้งหมด โดยเฉพาะค่าปุ๋ยยูเรีย และปุ๋ยสูตรอื่นที่ใช้ในนาข้าว เช่น 16-8-8 ปรับจากกระสอบละ 800-900 เป็น 1,100-1,200 บาท ซึ่งมีผลให้ต้นทุนการเพาะปลูกของชาวนาเฉลี่ยต่อไร่ 4,500-5000 บาท (โดยปกติต้องปลูกประมาณ 1.5 ไร่ จะได้ข้าวเปลือก 1 ตัน)
โดยคาดว่าผลผลิตปีนี้จะมีปริมาณ 28 ล้านตัน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเก็บเกี่ยวผลิตข้าวนาปรัง คาดว่าปลายเดือนมีนาคมนี้ก็น่าจะออกสู่ตลาดหมด ส่วนราคาตลาดขณะนี้ ข้าวขาว ตันละ 8,000 บาท ต่ำกว่าราคาประกันที่ตันละ 10,000 บาท ส่วนข้าวหอมปทุม ตันละ 9,000 บาท จากราคาประกันตันละ 11,000 บาท และข้าวหอมมะลิ ตันละ 12,000-13,000 บาท จากราคาประกันตันละ 15,000 บาท
ปุ๋ยมันสำปะหลังทะลุ 200%
นายรังษี ไผ่สอาด นายกสมาคมชาวไร่มันสำปะหลังแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สมาคมอยากขอให้รัฐบาลพิจารณาปรับราคาประกันรายได้มันสำปะหลังเพิ่มขึ้น จาก กก.ละ 2.50 บาท เป็น 2.70 บาท เพราะสถานการณ์ต้นทุนการเพาะปลูกของเกษตรกรสูงขึ้น จากเดิม กก.ละ 2.20-2.30 บาท เป็น 2.50 บาท
เป็นผลจากราคาปุ๋ยที่ปรับขึ้นมากว่า 150-200% จากเดิมปุ๋ยยูเรียขายกระสอบละ 500 บาท เป็น 1,100 บาท ปุ๋ยชนิดอื่น ๆ ก็ปรับเพิ่มขึ้นจากกระสอบละ 700 บาท เป็น 1,100 บาทต่อกระสอบ ยังไม่รวมค่าน้ำมัน ค่าขนส่ง ค่าแรง ที่เป็นต้นทุนของเกษตรกร
ส่วนราคารับซื้อหัวมันสด กก.ละ 2.60 บาท กำไร 10 สตางค์ถือว่าน้อย ซึ่งแม้ว่าภาครัฐจะเข้ามาช่วยเหลือจัดหาปุ๋ยราคาถูก แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ และมองว่าแนวโน้มราคาปุ๋ยจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
“ตอนนี้ประกันรายได้มาช่วยประมาณ 15% ของผลผลิตเท่านั้น ผลผลิตจะออกช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม เป็นช่วงที่ผลผลิตออกเยอะ คาดการณ์ว่าผลผลิตปีนี้ 34 ล้านตัน ความต้องการใช้ในประเทศ 24 ล้านตัน และส่งออก 10 ล้านตัน
ราคายังพอมีกำไรจากต้นทุน กก.ละ 10 สตางค์ แต่จีนก็มีการปลูกข้าวโพดมากขึ้นมาใช้ทดแทน ก็ต้องดูว่าจะกระทบราคามันหรือไม่ และอนาคตเกษตรกรไทยต้องพัฒนาเพิ่มผลผลิตต่อไร่ เป้าหมาย 4 ตันต่อไร่ แต่ปัจจุบันยังได้ 3.2-3.3 ตันต่อไร่”
นายมนัส พุทธรัตน์ ประธานสมาพันธ์ชาวสวนปาล์มแห่งประเทศไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แม้ว่าราคาตลาดปาล์มน้ำมันจะขยับสูงสุดในรอบ 9 ปี ไปถึง กก.ละ 13 บาท แต่ต้นทุนชาวสวนปาล์มก็ปรับขึ้นสูงสุดในรอบ 9 ปีเช่นกัน จากเดิมที่ต้นทุนการผลิตผลปาล์มเฉลี่ย กก.ละ 3.18-3.78 บาท เพิ่มเป็น กก.ละ 5-6 บาท
โดยเฉพาะปุ๋ยปรับเกิน 100% เช่น โพแทสเซียม 0-0-60 ปรับจากตันละ 12,000-14,000 บาท ไปแตะระดับ 30,000 บาทแล้ว หรือยูเรียจากที่ตันละ 4,500-5,000 บาท ปรับเป็น 20,000 บาท ซึ่งจะใช้ปุ๋ยเฉลี่ย 8-12 กก.ต่อต้นต่อปี ต้นทุนรวมอื่น ๆ เช่น ค่าแรงงาน ค่าขนส่ง รวม 80-90%
ขณะที่ราคาประกันรายได้เกษตรกรยังคงเดิมอยู่ที่ กก.ละ 4 บาท มา 3 ปีแล้ว เป็นไปได้หรือไม่หากรัฐจะพิจารณาทบทวนระดับราคาประกันรายได้ เป็น กก.ละ 4.50 บาท จะช่วยให้เกษตรกรมีความมั่นใจในการประกอบอาชีพเพราะรัฐประกันรายได้ให้เกษตรกร
สำหรับผลผลิตปาล์มขณะนี้ทยอยออกไปถึงเดือนสิงหาคม คาดว่าจะมีผลปาล์มทะลายเฉลี่ยเดือนละ 1.0-1.5 ล้านตัน คิดเป็นเปอร์เซ็นต์น้ำมัน 18% จะได้น้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ที่ 2.5-2.6 แสนตัน
หักการใช้เพื่อการบริโภคในประเทศ และการใช้เพื่อผลิตไบโอดีเซลก็จะเหลือเดือนละ 6-7 หมื่นตัน ซึ่งล่าสุดสต๊อกน้ำมัน CPO เดือนมีนาคมมี 1.7 แสนตัน เพิ่มขึ้นจากเดือน ก.พ.ที่มี 1.3 แสนตัน อยู่ในมือเอกชนทั้งโรงสกัด โรงกลั่นและโรงงานไบโอดีเซล
สวนยางแบกรับ 3 ต้นทุน
นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากเหตุรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลกระทบต้นทุนการผลิตสวนยางเพิ่มขึ้นทุกทาง โดยต้นทุนส่วนใหญ่คือ ราคาปุ๋ย แรงงาน ราคาน้ำมัน ซึ่งทั้ง 3 อย่างเป็นปัจจัยหลักของชาวสวน
“ถ้าสงครามยูเครนยืดเยื้อส่งผลกระทบต่อเกษตรกรไทยอย่างแน่นอน ชาวสวนยางเดือดร้อนแน่นอน เพราะต้นทุนการผลิตสูงขึ้นต่อเนื่อง ที่ผ่านมาการประกันรายได้ยางพารา รัฐบาลกำหนด กก.ละ 60 บาท/กก. ทั้งที่ราคาต้นทุนการผลิตที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ระบุไว้ อยู่ที่ 63.65 บาท/กก. เมื่อ 7-8 ปีมาแล้ว ตอนนี้เกษตรกรชาวสวนยางเดือดร้อนแน่นอน”