วิกาลคล้อยดึกมากแล้ว หากโชคดี คงมีห้องพักให้ผู้มาเยือนสักห้อง หาไม่แล้วคงได้อาศัยคอกม้าเป็นที่พักผ่อนข้ามคืน เสียงนกกลางคืนร้องเสียงเยือกเย็นได้ยินไปไกล ดึกป่านนี้ ยังมีเสียงฝีเท้าหนักแน่น ฟังดูไม่เร่งร้อนหากแต่ไม่เอื่อยเฉื่อยจนเกินไป เพิ่งโผล่พ้นทางด่าน ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ ไหล่บ่ากว้าง มองเห็นที่กลางลำธารยืนไว้ด้วยคนกลุ่มหนึ่งเป็นลักษณะสามเส้า
“ต้องสงสัยอันใด ในเมื่อไม่มีหลักฐาน ไม่อาจปรักปรำผู้คน” เสียงเจื้อยแจ้วกังวาลทำลายความเงียบขึ้นก่อน ผู้เดินทางแม้เห็นเหตุการณ์แต่ไม่ทราบความเป็นมา จึงมิอาจยื่นมือโดยพลการ คืนนี้เดือนหงายแสงสีเงินเยียบเย็นสาดปกคลุมทั่วทั้งป่า ให้ความรู้สึกลี้ลับ ผู้ที่โดนล้อมเป็นหญิงสาวในชุดคลุมบางเบา แม้เห็นไม่ถนัดตาแต่สัมผัสได้ถึงเค้าโครงความงามอันอ่อนช้อย ผิวกายของนางผุดผ่องราวจะเย้ยแข่งจันทรา
ผู้ผ่านมาพอจะเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ คิดแล้วก็กระชับดาบหน้าใหญ่ในมือ หากจำเป็นก็ควรผดุงคุณธรรม “ระยะนี้เกิดคดีประหลาดติดต่อกัน ขอแม่นางโปรดให้อภัย พวกเราจำเป็นต้องตรวจค้น” บุรุษที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้ากลุ่มประกาศเจตนา “หากท่านมีเจตนาดี ไฉนไม่รอให้เราชำระร่างกายให้เรียบร้อยเสียก่อน” ไหล่สะท้านขึ้นคราหนึ่งเหมือนเด็กถูกเขาจับได้ หัวหน้ากลุ่มแหงนหน้าหัวร่อ ฟังดูหยาบช้าอกุศลผิดจากคำประกาศ “เกรงว่า แม้ท่านจะผิดหรือถูก ก็มิอาจกลับไปบอกกล่าวกับผู้ใดได้” วงล้อมค่อยๆ หดแคบลงทุกขณะ
“พวกท่านเคยได้ยินคนกล่าวถึง พิษสิบลี้ หรือไม่” ดรุณีในที่ล้อมพูดเสียงเรียบเย็นไร้ความกลัวแม้แต่น้อย “เคยได้ยินหรือไม่ เกี่ยวอันใด” หัวหน้ากลุ่มตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าพเจ้าเรียกว่า พิษสิบลี้” ไม่ทันสิ้นคำ ประกายสีเงินก็พุ่งกระจายไปทุกทิศทุกทาง ชายโฉดที่ล้อมอยู่ตอนนี้ดูไปราวกับเม่นสามตัว เกราะสีดำปักไว้ด้วยเข็มสีเงินนับร้อย สัมผัสแรกเมื่อโดนเข็ม รู้สึกเย็นเหมือนโดนน้ำแข็งสาดใส่ ไม่นานก็ให้รู้สึกร้อนเหมือนโลหิตใกล้ถึงจุดเดือด
“พวกเราสำนึกผิดแล้ว ขอแม่นางโปรดประทานยาแก้ด้วย” ทั้งสามกระแทกเข่าลงประสานมือคารวะหญิงสาวที่เคยคิดจะล่วงเกิน “ยาแก้อันใด ไฉนพวกท่านวุ่นวายยิ่ง พิษนี้เพียงทำลายสมดุลย์หยินในร่างกาย ส่งผลให้พวกท่านรู้สึกร้อนรุ่มไปบ้าง เพียงหาอาหารที่เป็นหยินมารับประทานก็จะหายเป็นปกติแล้ว” หญิงสาวงดงามในชุดคลุมขาวดูผุดผาดแต่เจือไว้ด้วยรัศมีสีม่วง ดูลึกลับเย้ายวนอย่างประหลาด “ฟังว่า พิษสิบลี้ หมายถึง ผู้ที่ถูกพิษจะต้องตายในระยะสิบลี้หากไม่ได้รับยาแก้ เป็นเช่นนั้นหรือไม่” ท่านหัวหน้าเสียงสะท้านด้วยรู้สึกถึงคลื่นร้อนทิ่มแทงหัวใจวูบๆ
“ข้าพเจ้ามีนิสัยเสียอย่างหนึ่ง คือชอบหยอกล้อผู้คนเล่นเป็นชีวิตจิตใจ” หญิงงามเริ่มเดินห่างออกไปช้าๆ “ชื่อพิษสิบลี้ ข้าพเจ้าตั้งไว้สนุกๆ จริงๆ แล้วควรเป็น พิษสิบก้าวมากกว่า” พอเหยียบขึ้นฝั่งได้ ก็มีเสียงตูมเกือบจะพร้อมๆ กัน สามคนโฉดหงายหลังกระแทกก้นลำธารสิ้นใจตายทันที คนแพร่พิษจากไปไกลแล้ว
ชายผู้ผ่านมารู้สึกหนาวเย็นในตอนแรกแล้วเปลี่ยนเป็นร้อนทันที เอามือลูบที่ลำคอแล้วถอนเข็มยาวสี่หุนออก ทรุดลงขัดสมาธิโคจรพลังต้านพิษทันที ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ชายเคราะห์ร้ายที่ขับพิษออกทางเหงื่อรู้สึกกระหายน้ำจึงเดินโซเซไปที่ลำธาร ขณะจะวักน้ำขึ้นดื่มก็รู้สึกวิงเวียนล้มลงถูกพัดไปกับกระแสน้ำ
“ท่านย่า มีคนตาย” เด็กชายรีบวิ่งกลับไปหาหญิงชราที่ถือชามข้าวตามมาห่างๆ “รีบไปบอกท่านแม่มาดูด้วยเร็วๆ” เด็กชายออกคำสั่งสาวใช้ที่ถือตะกร้าอย่างฉะฉาน ชั่วขณะเก๋งริมน้ำที่เงียบสงบเป็นปกติในยามเช้าก็ปั่นป่วนวุ่นวาย ร่างใหญ่ไหล่หนาถูกแบกขึ้นจากน้ำวางบนพื้นเก๋ง “น้ำ… น้ำ…” ผู้ที่ถูกเรียกหาว่าท่านแม่เทน้ำชาใส่จอกส่งเข้าปากชายลึกลับ ชายฉกรรจ์ส่งเสียงพึมพำอู้อี้ครู่หนึ่งก็ลุกพรวดขึ้นนั่ง สร้างความตื่นตกใจให้กับผู้ที่มุงดูอยู่ แต่แล้วก็ทรุดลงกับพื้นสิ้นสติไปอีก
“สมดุลย์หยินในร่างกายคุณชายท่านนี้บกพร่องอย่างไม่น่าเชื่อ ข้าพเจ้าจัดยาที่มีฤทธิ์เป็นหยินอย่างแรง รับประทานสามวัน สมดุลย์ก็จะเป็นปกติ อย่างไรก็ตามต้องใช้เวลาประมาณครึ่งเดือน พละกำลังจึงจะฟื้นคืนมาดังเดิม” ซินแสวัยกลางคนยื่นห่อยาให้กับหญิงสาววัยเบญจเพสอย่างเร่งร้อน “ต้องขอบพระคุณท่านซินแส แม้ในยามที่หมู่ตึกเราอยู่ในห้วงคับขันอันตรายยังอุตส่าห์มา” “หากมิใช่ท่านผู้เฒ่า ร้านยาของเราคงไม่เจริญรุ่งเรืองเท่านี้” ว่าแล้วก็เร่งจากไปพร้อมกับผู้ติดตาม
ชายร่างใหญ่ลืมตาขึ้นมองไปรอบๆ เห็นเด็กชายส่งยิ้มอย่างไร้เดียงสา สองข้างนั่งไว้ด้วยหญิงชราผมเกือบขาวทั้งหมดและหญิงสาวที่พ้นวัยออกเรือนแล้ว ดูสูงส่งหากแต่ไม่หยิ่งทนง “ข้าพเจ้าสลบไปนานเท่าใด” ชายหนุ่มพูดเสียงแหบพร่า “ท่านอาหลับไปเป็นเวลาสองคืนแล้ว” เด็กชายยังคงพูดจาเจื้อยแจ้วอย่างไม่ขลาดกลัวคนแปลกหน้า บุคลิกสมเป็นบุตรหลานตระกูลใหญ่ “ข้าพเจ้าจางฮุ่ยคารวะผู้มีพระคุณ” ขณะทุลักทุเลลงจากเตียงหญิงชราก็โบกไม้โบกมือ “ไม่ต้องมากมารยาทแล้ว” จางฮุ่ยจึงสงบลง หากสีหน้าผู้ใหญ่ทั้งสองเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“หากท่านค่อยยังชั่วแล้ว เราจะให้ม้าและเสบียงแก่ท่าน จงรีบจากไปให้เร็วที่สุด” ขณะที่จางฮุ่ยยังมึนงง หญิงชราก็สำทับขึ้น “พวกเรามิใช่แล้งน้ำใจไมตรี หากแต่ครานี้หมู่ตึกเราตกอยู่ในสภาพการณ์คับขันถึงที่สุด” หญิงชราผู้กุมอำนาจลำดับสองเริ่มชี้แจงแถลงไข ประมาณครึ่งเดือนก่อนสำนักเกราะดำซึ่งถือเป็นสำนักอธรรม แต่มีอิทธิพลที่สุดเมืองนี้ได้มาขอเรี่ยไรเงินเพื่อนำไปสร้างตึกขยายความยิ่งใหญ่ให้กับสำนัก เรียกร้องทองสิบหีบกับเงินร้อยหีบ คิดเป็นหนึ่งในสิบส่วนของสมบัติทั้งหมดในหมู่ตึก “ไหมหยก” เงื่อนไขคือหากไม่ส่งมอบออกไปในเวลาหนึ่งเดือน สำนักโฉดที่ว่าจะถล่มหมู่ตึกนี้เหลือแต่ชื่อ ระหว่างนี้คนที่หมู่ตึกส่งออกไปเพื่อขอความช่วยเหลือก็ถูกจับไปหมดสิ้น ประมุขตึกซึ่งเป็นบุตรชายของประมุขผู้ล่วงลับอยู่ระหว่างกลับจากการส่งสินค้ากำหนดกลับอีกสิบวัน
“มีเวลาเท่าใดก่อนจะถึงกำหนด” แววตาจางฮุ่ยเปลี่ยนเป็นเคร่งครึม “อีกเพียงเจ็ดวันเท่านั้น” สตรีสองวัยพูดออกมาพร้อมกันอย่างหมดหวัง จางฮุ่ยที่หน้าตายังอิดโรยแต่ดวงตาสาดประกายเข้มแข็งขอให้ตามตัวพ่อบ้านและหัวหน้าผู้คุ้มกันมาพบทันที จากการสอบถามข้อมูล ผู้คุ้มกันตึกมีกำลังเพียงสามสิบคนรวมหัวหน้า บ่าวไพร่ที่อยู่ในวัยฉกรรจ์มีทั้งหมดหนึ่งร้อยห้าสิบคน คนชราและเด็กมีสี่สิบกว่าคน ในขณะที่กำลังของสำนักเกราะดำมีทั้งหมดสามร้อยคนและยังมีกำลังเสริมจากสำนัก “เพลงไร้สำเนียง” อีกยี่สิบคน นำโดยบุตรคนโตเจ้าสำนักเกราะดำ
จางฮุ่ยจมอยู่ในห้วงความคิดกระทั่งหัวหน้าผู้คุ้มกันตึกถามด้วยความเคลือบแคลงถึงที่มา “เราเป็นศิษย์สำนักโล่ห์เหล็ก” ผู้คนในห้องต่างหันไปสบตากัน ปกติแล้วศิษย์สำนักนี้ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสี่สำนักมาตรฐาน ฟังว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญบทกวี การดนตรี ศิลปะ โดยมีจุดเด่นที่การวางกลยุทธ์ตั้งรับ แม้จะมีบุคลิกคร่ำครึไปบ้าง แต่ก็มีบุคลิกเป็นสุภาพชน แต่เมื่อพิจารณาถึงสภาพความเป็นจริงของจางฮุ่ยแล้ว เป็นบุรษรูปร่างสูงแต่ใหญ่จนเกินไป ไหล่บ่าหนา เอวหยาบ มือเท้าใหญ่ ไม่มีบุคลิกของวิญญูชน เหมาะจะเป็นคนฆ่าโคมากกว่า “ต้องเสียมารยาทแล้ว” ว่าพลางจางฮุ่ยซัดกระดาษชุบน้ำมันจากอกเสื้อไปกางอยู่กลางโต๊ะรับรอง “เป็นหนังสือของสำนักโล่ห์เหล็กจริงๆ” พ่อบ้านแสดงความเห็นอวดประสบการณ์ภูมิความรู้ที่กว้างขวาง
อีกเพียงสองวันจะถึงกำหนดนัด จางฮุ่ยเดินสำรวจตรวจตราดูความเรียบร้อยรอบๆ หมู่ตึก บ่าวไพร่กำลังเหลาไม้พลองให้มีปลายแหลมเรียว เพื่อนำไปลนไฟให้แข็ง พละกำลังของจางฮุ่ยซึ่งตอนนี้เป็นผู้บัญชาการรบจำเป็นฟื้นคืนมากว่าเจ็ดแปดส่วนแล้ว ทุกเย็นบ่าวไพร่ที่เป็นชายจำนวนเก้าสิบคนได้รับการฝึกพิเศษ ในขณะที่บ่าวหญิงได้รับการฝึกแบบพื้นฐาน ส่วนบ่าวไพร่ชราทำหน้าที่สนับสนุนทั่วไป
[ตอนต่อไป ยุทธการแรก]
[นิยายจีน] อภินิหารสำเภาเทพทองคำ : ตอนที่ 1 พิษสิบลี้
“ต้องสงสัยอันใด ในเมื่อไม่มีหลักฐาน ไม่อาจปรักปรำผู้คน” เสียงเจื้อยแจ้วกังวาลทำลายความเงียบขึ้นก่อน ผู้เดินทางแม้เห็นเหตุการณ์แต่ไม่ทราบความเป็นมา จึงมิอาจยื่นมือโดยพลการ คืนนี้เดือนหงายแสงสีเงินเยียบเย็นสาดปกคลุมทั่วทั้งป่า ให้ความรู้สึกลี้ลับ ผู้ที่โดนล้อมเป็นหญิงสาวในชุดคลุมบางเบา แม้เห็นไม่ถนัดตาแต่สัมผัสได้ถึงเค้าโครงความงามอันอ่อนช้อย ผิวกายของนางผุดผ่องราวจะเย้ยแข่งจันทรา
ผู้ผ่านมาพอจะเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ คิดแล้วก็กระชับดาบหน้าใหญ่ในมือ หากจำเป็นก็ควรผดุงคุณธรรม “ระยะนี้เกิดคดีประหลาดติดต่อกัน ขอแม่นางโปรดให้อภัย พวกเราจำเป็นต้องตรวจค้น” บุรุษที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้ากลุ่มประกาศเจตนา “หากท่านมีเจตนาดี ไฉนไม่รอให้เราชำระร่างกายให้เรียบร้อยเสียก่อน” ไหล่สะท้านขึ้นคราหนึ่งเหมือนเด็กถูกเขาจับได้ หัวหน้ากลุ่มแหงนหน้าหัวร่อ ฟังดูหยาบช้าอกุศลผิดจากคำประกาศ “เกรงว่า แม้ท่านจะผิดหรือถูก ก็มิอาจกลับไปบอกกล่าวกับผู้ใดได้” วงล้อมค่อยๆ หดแคบลงทุกขณะ
“พวกท่านเคยได้ยินคนกล่าวถึง พิษสิบลี้ หรือไม่” ดรุณีในที่ล้อมพูดเสียงเรียบเย็นไร้ความกลัวแม้แต่น้อย “เคยได้ยินหรือไม่ เกี่ยวอันใด” หัวหน้ากลุ่มตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าพเจ้าเรียกว่า พิษสิบลี้” ไม่ทันสิ้นคำ ประกายสีเงินก็พุ่งกระจายไปทุกทิศทุกทาง ชายโฉดที่ล้อมอยู่ตอนนี้ดูไปราวกับเม่นสามตัว เกราะสีดำปักไว้ด้วยเข็มสีเงินนับร้อย สัมผัสแรกเมื่อโดนเข็ม รู้สึกเย็นเหมือนโดนน้ำแข็งสาดใส่ ไม่นานก็ให้รู้สึกร้อนเหมือนโลหิตใกล้ถึงจุดเดือด
“พวกเราสำนึกผิดแล้ว ขอแม่นางโปรดประทานยาแก้ด้วย” ทั้งสามกระแทกเข่าลงประสานมือคารวะหญิงสาวที่เคยคิดจะล่วงเกิน “ยาแก้อันใด ไฉนพวกท่านวุ่นวายยิ่ง พิษนี้เพียงทำลายสมดุลย์หยินในร่างกาย ส่งผลให้พวกท่านรู้สึกร้อนรุ่มไปบ้าง เพียงหาอาหารที่เป็นหยินมารับประทานก็จะหายเป็นปกติแล้ว” หญิงสาวงดงามในชุดคลุมขาวดูผุดผาดแต่เจือไว้ด้วยรัศมีสีม่วง ดูลึกลับเย้ายวนอย่างประหลาด “ฟังว่า พิษสิบลี้ หมายถึง ผู้ที่ถูกพิษจะต้องตายในระยะสิบลี้หากไม่ได้รับยาแก้ เป็นเช่นนั้นหรือไม่” ท่านหัวหน้าเสียงสะท้านด้วยรู้สึกถึงคลื่นร้อนทิ่มแทงหัวใจวูบๆ
“ข้าพเจ้ามีนิสัยเสียอย่างหนึ่ง คือชอบหยอกล้อผู้คนเล่นเป็นชีวิตจิตใจ” หญิงงามเริ่มเดินห่างออกไปช้าๆ “ชื่อพิษสิบลี้ ข้าพเจ้าตั้งไว้สนุกๆ จริงๆ แล้วควรเป็น พิษสิบก้าวมากกว่า” พอเหยียบขึ้นฝั่งได้ ก็มีเสียงตูมเกือบจะพร้อมๆ กัน สามคนโฉดหงายหลังกระแทกก้นลำธารสิ้นใจตายทันที คนแพร่พิษจากไปไกลแล้ว
ชายผู้ผ่านมารู้สึกหนาวเย็นในตอนแรกแล้วเปลี่ยนเป็นร้อนทันที เอามือลูบที่ลำคอแล้วถอนเข็มยาวสี่หุนออก ทรุดลงขัดสมาธิโคจรพลังต้านพิษทันที ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ชายเคราะห์ร้ายที่ขับพิษออกทางเหงื่อรู้สึกกระหายน้ำจึงเดินโซเซไปที่ลำธาร ขณะจะวักน้ำขึ้นดื่มก็รู้สึกวิงเวียนล้มลงถูกพัดไปกับกระแสน้ำ
“ท่านย่า มีคนตาย” เด็กชายรีบวิ่งกลับไปหาหญิงชราที่ถือชามข้าวตามมาห่างๆ “รีบไปบอกท่านแม่มาดูด้วยเร็วๆ” เด็กชายออกคำสั่งสาวใช้ที่ถือตะกร้าอย่างฉะฉาน ชั่วขณะเก๋งริมน้ำที่เงียบสงบเป็นปกติในยามเช้าก็ปั่นป่วนวุ่นวาย ร่างใหญ่ไหล่หนาถูกแบกขึ้นจากน้ำวางบนพื้นเก๋ง “น้ำ… น้ำ…” ผู้ที่ถูกเรียกหาว่าท่านแม่เทน้ำชาใส่จอกส่งเข้าปากชายลึกลับ ชายฉกรรจ์ส่งเสียงพึมพำอู้อี้ครู่หนึ่งก็ลุกพรวดขึ้นนั่ง สร้างความตื่นตกใจให้กับผู้ที่มุงดูอยู่ แต่แล้วก็ทรุดลงกับพื้นสิ้นสติไปอีก
“สมดุลย์หยินในร่างกายคุณชายท่านนี้บกพร่องอย่างไม่น่าเชื่อ ข้าพเจ้าจัดยาที่มีฤทธิ์เป็นหยินอย่างแรง รับประทานสามวัน สมดุลย์ก็จะเป็นปกติ อย่างไรก็ตามต้องใช้เวลาประมาณครึ่งเดือน พละกำลังจึงจะฟื้นคืนมาดังเดิม” ซินแสวัยกลางคนยื่นห่อยาให้กับหญิงสาววัยเบญจเพสอย่างเร่งร้อน “ต้องขอบพระคุณท่านซินแส แม้ในยามที่หมู่ตึกเราอยู่ในห้วงคับขันอันตรายยังอุตส่าห์มา” “หากมิใช่ท่านผู้เฒ่า ร้านยาของเราคงไม่เจริญรุ่งเรืองเท่านี้” ว่าแล้วก็เร่งจากไปพร้อมกับผู้ติดตาม
ชายร่างใหญ่ลืมตาขึ้นมองไปรอบๆ เห็นเด็กชายส่งยิ้มอย่างไร้เดียงสา สองข้างนั่งไว้ด้วยหญิงชราผมเกือบขาวทั้งหมดและหญิงสาวที่พ้นวัยออกเรือนแล้ว ดูสูงส่งหากแต่ไม่หยิ่งทนง “ข้าพเจ้าสลบไปนานเท่าใด” ชายหนุ่มพูดเสียงแหบพร่า “ท่านอาหลับไปเป็นเวลาสองคืนแล้ว” เด็กชายยังคงพูดจาเจื้อยแจ้วอย่างไม่ขลาดกลัวคนแปลกหน้า บุคลิกสมเป็นบุตรหลานตระกูลใหญ่ “ข้าพเจ้าจางฮุ่ยคารวะผู้มีพระคุณ” ขณะทุลักทุเลลงจากเตียงหญิงชราก็โบกไม้โบกมือ “ไม่ต้องมากมารยาทแล้ว” จางฮุ่ยจึงสงบลง หากสีหน้าผู้ใหญ่ทั้งสองเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“หากท่านค่อยยังชั่วแล้ว เราจะให้ม้าและเสบียงแก่ท่าน จงรีบจากไปให้เร็วที่สุด” ขณะที่จางฮุ่ยยังมึนงง หญิงชราก็สำทับขึ้น “พวกเรามิใช่แล้งน้ำใจไมตรี หากแต่ครานี้หมู่ตึกเราตกอยู่ในสภาพการณ์คับขันถึงที่สุด” หญิงชราผู้กุมอำนาจลำดับสองเริ่มชี้แจงแถลงไข ประมาณครึ่งเดือนก่อนสำนักเกราะดำซึ่งถือเป็นสำนักอธรรม แต่มีอิทธิพลที่สุดเมืองนี้ได้มาขอเรี่ยไรเงินเพื่อนำไปสร้างตึกขยายความยิ่งใหญ่ให้กับสำนัก เรียกร้องทองสิบหีบกับเงินร้อยหีบ คิดเป็นหนึ่งในสิบส่วนของสมบัติทั้งหมดในหมู่ตึก “ไหมหยก” เงื่อนไขคือหากไม่ส่งมอบออกไปในเวลาหนึ่งเดือน สำนักโฉดที่ว่าจะถล่มหมู่ตึกนี้เหลือแต่ชื่อ ระหว่างนี้คนที่หมู่ตึกส่งออกไปเพื่อขอความช่วยเหลือก็ถูกจับไปหมดสิ้น ประมุขตึกซึ่งเป็นบุตรชายของประมุขผู้ล่วงลับอยู่ระหว่างกลับจากการส่งสินค้ากำหนดกลับอีกสิบวัน
“มีเวลาเท่าใดก่อนจะถึงกำหนด” แววตาจางฮุ่ยเปลี่ยนเป็นเคร่งครึม “อีกเพียงเจ็ดวันเท่านั้น” สตรีสองวัยพูดออกมาพร้อมกันอย่างหมดหวัง จางฮุ่ยที่หน้าตายังอิดโรยแต่ดวงตาสาดประกายเข้มแข็งขอให้ตามตัวพ่อบ้านและหัวหน้าผู้คุ้มกันมาพบทันที จากการสอบถามข้อมูล ผู้คุ้มกันตึกมีกำลังเพียงสามสิบคนรวมหัวหน้า บ่าวไพร่ที่อยู่ในวัยฉกรรจ์มีทั้งหมดหนึ่งร้อยห้าสิบคน คนชราและเด็กมีสี่สิบกว่าคน ในขณะที่กำลังของสำนักเกราะดำมีทั้งหมดสามร้อยคนและยังมีกำลังเสริมจากสำนัก “เพลงไร้สำเนียง” อีกยี่สิบคน นำโดยบุตรคนโตเจ้าสำนักเกราะดำ
จางฮุ่ยจมอยู่ในห้วงความคิดกระทั่งหัวหน้าผู้คุ้มกันตึกถามด้วยความเคลือบแคลงถึงที่มา “เราเป็นศิษย์สำนักโล่ห์เหล็ก” ผู้คนในห้องต่างหันไปสบตากัน ปกติแล้วศิษย์สำนักนี้ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสี่สำนักมาตรฐาน ฟังว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญบทกวี การดนตรี ศิลปะ โดยมีจุดเด่นที่การวางกลยุทธ์ตั้งรับ แม้จะมีบุคลิกคร่ำครึไปบ้าง แต่ก็มีบุคลิกเป็นสุภาพชน แต่เมื่อพิจารณาถึงสภาพความเป็นจริงของจางฮุ่ยแล้ว เป็นบุรษรูปร่างสูงแต่ใหญ่จนเกินไป ไหล่บ่าหนา เอวหยาบ มือเท้าใหญ่ ไม่มีบุคลิกของวิญญูชน เหมาะจะเป็นคนฆ่าโคมากกว่า “ต้องเสียมารยาทแล้ว” ว่าพลางจางฮุ่ยซัดกระดาษชุบน้ำมันจากอกเสื้อไปกางอยู่กลางโต๊ะรับรอง “เป็นหนังสือของสำนักโล่ห์เหล็กจริงๆ” พ่อบ้านแสดงความเห็นอวดประสบการณ์ภูมิความรู้ที่กว้างขวาง
อีกเพียงสองวันจะถึงกำหนดนัด จางฮุ่ยเดินสำรวจตรวจตราดูความเรียบร้อยรอบๆ หมู่ตึก บ่าวไพร่กำลังเหลาไม้พลองให้มีปลายแหลมเรียว เพื่อนำไปลนไฟให้แข็ง พละกำลังของจางฮุ่ยซึ่งตอนนี้เป็นผู้บัญชาการรบจำเป็นฟื้นคืนมากว่าเจ็ดแปดส่วนแล้ว ทุกเย็นบ่าวไพร่ที่เป็นชายจำนวนเก้าสิบคนได้รับการฝึกพิเศษ ในขณะที่บ่าวหญิงได้รับการฝึกแบบพื้นฐาน ส่วนบ่าวไพร่ชราทำหน้าที่สนับสนุนทั่วไป
[ตอนต่อไป ยุทธการแรก]