อภินิหารสำเภาเทพทองคำ : ตอนที่ 1 พิษสิบลี้
อภินิหารสำเภาเทพทองคำ : ตอนที่ 2 ยุทธการแรก
อภินิหารสำเภาเทพทองคำ : ตอนที่ 3 พายุไม่สงบ
หลังอาหารมื้อค่ำหมู่ตึกไหมหยกดูเงียบเหงาซึมเซาลงอย่างเห็นได้ชัด เวลานี้ผู้คุ้มกันตึกเหลือเพียง 12 คน บ่าวไพร่เหลือเพียง 1 ใน 3 ทั้งหมดล้วนเป็นคนเก่าแก่ จางฮุ่ยที่รับประทานขนมแป้งทอดแกล้มกับน้ำชาแล้วลุกขึ้นออกเดินพ้นประตูใหญ่ออกไป จากมุมหนึ่งของบ้านกลับมีตาคู่หนึ่งจ้องมองตามร่างที่ใหญ่ไหล่หนากว้างที่กำลังเดินลับไปกับความมืด
เงาสายสีขาวตัดกับความมืดทะมึนเหินร่อนท่ามกลางป่าสนอย่างปราดเปรียว จางฮุ่ยต้องทุ่มเทวิชาตัวเบาอย่างสุดกำลังจึงจะตามได้ทัน ผู้นำหน้ากลับเคลื่อนไหวอย่างปรอดโปร่งราวกับไม่ออกแรงแม้แต่น้อย "วิชาตัวเบาอันทุเรศนัก" บุรุษร่างใหญ่ในชุดนักศึกษาแหงนมองขึ้นด้านบน ต้องกวาดสายตาครึ่งรอบจึงเห็นใบหน้ากลมผุดผ่องราวกับแข่งแสงจันทร์นั่งแกว่งเท้าอยู่บนปลายยอดไม้ "ข้าพเจ้าไม่สันทัดตัวเบา แม้วิชายุทธ์ก็ร่ำเรียนมาไม่กี่ท่า" สตรีในชุดขาวบางเบาหัวร่อคิกแต่ฟังไพเราะดุจระฆังเงิน "แน่ล่ะ ที่ท่านสู้คุณชายเกราะดำไม่ได้เป็นเรื่องจริงแท้" จางฮุ่ยแม้เรื่องต่อสู้ตัวเบาไม่ปราดเปรียวแต่ก็มีปฏิภาณว่องไว ทราบว่าในเหตุการณ์นั้น แม้คู่ต่อสู้จะไม่ถูกฟันคอจนโลหิตฉีดพุ่ง แต่แค่ไม่เกินอึดใจก็ต้องล้มลงตายเองอยู่ดี ขณะจะเหลือบตาขึ้นด้านบนกล่าวกระไร หญิงสาวลึกลับก็ไม่อยู่ที่นั่นแล้ว
"นี่ ไม่ถูกต้อง" มือปราบเฉินลูบหนวดเรียวช้าๆ สีหน้าเคร่งเครียด เข็มสี่หุนที่ได้มาก่อนสี่เล่มกับที่เพิ่งได้มาจัดวางอยู่บนผ้าสีแดงที่คลี่ออกสุดมุมโต๊ะทั้งสองด้าน แม้ความยาวเข็มจะเท่ากันทั้งหมดแต่ความละเอียดปราณีตไม่ได้ใกล้เคียง อีกทั้งเข็มสี่เล่มก่อนหน้าเป็นสีดำด้านจากฤทธิ์กัดกร่อนและเริ่มขึ้นสนิม เฉินเถี่ยเฉิงเริ่มคิดได้ว่าเข็มพิษทั้งสองชุดมาจากต่างที่มา การสืบคดีเหมือนจะย้อนมาที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง มือปราบในชุดยาวสีแดงเลือดหมูตัดสินใจกลับไปหาเบาะแสที่เหลาสุรามี่จิ้ง ชาวบ้านที่มาหาซื้อของในตลาดเล่าให้ฟังว่าหลายวันก่อนมีผู้พบศพศิษย์สำนักเกราะดำลอยไปติดอยู่ใต้ตอม่อสะพานหมู่บ้านที่ห่างออกไปยี่สิบลี้ สภาพศพดูแล้วไม่เน่าเปื่อยเหมือนเพิ่งตายไม่ถึงหนึ่งวัน ภายหลังทราบว่าศพยังเก็บรักษาไว้ที่อารามฉานย่วน มือปราบก็กระโดดขึ้นม้าเร่งจากไป
จางฮุ่ยกลับถึงหมู่ตึกไหมหยกเวลาก็ล่วงเข้ายามสอง ที่เงียบเหงาเมื่อย่ำค่ำก็ยิ่งสงบสงัดเป็นทวีคูณ แม้จะมีร่างกายใหญ่โตแต่ศิษย์สำนักโล่ห์เหล็กผู้นี้กลับเคลื่อนไหวได้แผ่วเบาราวกับแมวย่อง นอกจากแสงไฟเหนือประตูใหญ่และผู้คุ้มภัยที่ยืนรักษาการณ์ ภายในตัวตึกก็เงียบสนิท ขณะเดินผ่านห้องคุณชายรองกลับได้ยินเสียงลมหายใจกระชั้นเร่งร้อน ควรทราบว่าสำนักโล่ห์เหล็กฝึกฝนและชื่นชนในสุนทรียศาสตร์ ศิษย์ย่อมมีประสาทสัมผัสในทุกด้านเด่นล้ำ กลิ่นเครื่องหอมเพียงจางๆ กลับไม่รอดสัมผัสที่ปราดเปรียว นักศึกษาผู้เปลี่ยนเป็นกุนซือไม่นานมานี้ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้
สตรีในชุดยาวสีม่วงเข้มค่อยๆ เลื่อนปิดประตูอย่างแผ่วเบา เมื่อนางหมุนตัวมายังทางเดินก็เบิกตาโพลงพร้อมกระโดดถอยหลังไปสี่ห้าก้าว มิใช่ตกใจที่เห็นคนหากแต่คนมายืนอยู่แค่ช่วงแขนเอื้อมถึงยังไม่รับรู้ได้ หากคนผู้นี้คิดปลิดชีพนางต้องตายแน่นอน นางถ่ายทอดเสียงอย่างแผ่วเบาโดยใช้ริมฝีปาก เงาเลือนลางในชุดยาวสีขาวตอบว่า "เซนี ตานียอร์ดุม" (ข้าพเจ้ารู้จักท่าน) มิคาดผู้ที่บุกรุกจะตอบกลับมาเป็นภาษาเผ่าของนาง เหงื่อเริ่มผุดพรายทั่วร่าง นางรู้สึกเย็นเยียบจนขนชี้ชัน จนใจที่นางมามือเปล่าไม่มีอาวุธใดติดมือมา ได้แต่นึกเสียใจที่ไม่ยอมฝึกวิชาฝ่ามือ ยามคับขันเช่นนี้อาจรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ เงาสีขาวนั้นพุ่งเข้าหานางอย่างรวดเร็วจนรู้สึกถึงลมประทะหน้าวูบ ไม่มีทางเลือกนางตัดสินใจฟาดฝ่ามือสองข้างออกไปตรงๆ พร้อมพึมพำว่าจบสิ้นแล้ว มิคาดฝ่ามือของนางสะบัดไปพบกับความว่างเปล่า ทิ้งไว้แต่ลมหอมหวานวูบหนึ่ง
กำลังจะพ้นยามสอง เซี่ยเหลียนอิ่ง แหงนมองจันทราสุกสว่างเหมือนลูกกลมสีเงิน นางชมชอบความเงียบพอๆ กับความเสนาะหูของเสียงดนตรีที่หอเซียนฟู่ นางนับเป็นแขกสตรีผู้เดียวและยังเป็นผู้ที่จ่ายหนักที่สุดเพื่อฟังฮัวเหลียนเล่นพิณให้ฟัง หากจะมีผู้ใดงดงามกว่านางย่อมเป็น เทพธิดาสราญผู้นี้ นางย่อมไม่จัดอาจารย์ผู้เฒ่าเป็นอันดับหนึ่ง เช่นนั้นนางต้องเป็นอันดับสามแล้ว นางสลัดความคิดไร้สาระกลับสู่ความเคร่งขรึม สำนักฮวงซา (ลัทธิทรายลับแล) ส่งคนเข้าแทรกซึมทั่วภาคกลาง ทั้งในวังหลวง ตึกคหบดี แม้แต่ในค่ายสำนักต่างๆ ก็มิเว้น หลังจากออกท่องยุทธภพทำให้นางทราบเบาะแสว่าสายลับทั้งหมดล้วนเป็นชนเผ่าพันธุ์เดียวกับอาจารย์ผู้เฒ่า แต่ความรู้สึกที่มีต่ออาจารย์ของนั้นระคนปนกันไป บางครั้งนางก็เป็นเหมือนมารดาที่เป็นห่วงบุตรี บางครั้งก็เหมือนพี่สาวที่ช่างหยอกเย้า บางครั้งกลับให้ความรู้สึกเย็นเยือกเหมือนศัตรูที่มุ่งหมายปลิดชีวิต
อีกครึ่งชั่วยามฟ้าก็จะสาง เฉินเถี่ยเฉิง เพิ่งจะผ่านซุ้มประตูอารามก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ทำวัตรเช้าก้องกังวาล ทราบว่าฉานย่วนเป็นหนึ่งในสาขาของวัดเส้าหลิน พลังฝึกปรือของหลวงจีนในจุดตันเถียนทั้งสามมีความสมดุลย์สะท้อนออกมาทางเสียงสวดมนต์ที่ต่อเนื่องยาวนาน "เชิญท่านทางนี้" ขณะกำลังตัดสินใจรอจนหลวงจีนเหล่านี้ทำวัตรเสร็จกลับมีหลวงจีนน้อยออกมาต้อนรับ "ท่านอาจารย์ทราบอยู่แล้วว่าท่านจะมา" นี่สร้างความประหลาดใจให้กับมือปราบไม่น้อย แต่ก็เดินตามเณรน้อยไปยังอาคารด้านหลัง
[นิยายจีน] อภินิหารสำเภาเทพทองคำ : ตอนที่ 4 บุปผาไม่ไร้หนาม
อภินิหารสำเภาเทพทองคำ : ตอนที่ 2 ยุทธการแรก
อภินิหารสำเภาเทพทองคำ : ตอนที่ 3 พายุไม่สงบ
หลังอาหารมื้อค่ำหมู่ตึกไหมหยกดูเงียบเหงาซึมเซาลงอย่างเห็นได้ชัด เวลานี้ผู้คุ้มกันตึกเหลือเพียง 12 คน บ่าวไพร่เหลือเพียง 1 ใน 3 ทั้งหมดล้วนเป็นคนเก่าแก่ จางฮุ่ยที่รับประทานขนมแป้งทอดแกล้มกับน้ำชาแล้วลุกขึ้นออกเดินพ้นประตูใหญ่ออกไป จากมุมหนึ่งของบ้านกลับมีตาคู่หนึ่งจ้องมองตามร่างที่ใหญ่ไหล่หนากว้างที่กำลังเดินลับไปกับความมืด
เงาสายสีขาวตัดกับความมืดทะมึนเหินร่อนท่ามกลางป่าสนอย่างปราดเปรียว จางฮุ่ยต้องทุ่มเทวิชาตัวเบาอย่างสุดกำลังจึงจะตามได้ทัน ผู้นำหน้ากลับเคลื่อนไหวอย่างปรอดโปร่งราวกับไม่ออกแรงแม้แต่น้อย "วิชาตัวเบาอันทุเรศนัก" บุรุษร่างใหญ่ในชุดนักศึกษาแหงนมองขึ้นด้านบน ต้องกวาดสายตาครึ่งรอบจึงเห็นใบหน้ากลมผุดผ่องราวกับแข่งแสงจันทร์นั่งแกว่งเท้าอยู่บนปลายยอดไม้ "ข้าพเจ้าไม่สันทัดตัวเบา แม้วิชายุทธ์ก็ร่ำเรียนมาไม่กี่ท่า" สตรีในชุดขาวบางเบาหัวร่อคิกแต่ฟังไพเราะดุจระฆังเงิน "แน่ล่ะ ที่ท่านสู้คุณชายเกราะดำไม่ได้เป็นเรื่องจริงแท้" จางฮุ่ยแม้เรื่องต่อสู้ตัวเบาไม่ปราดเปรียวแต่ก็มีปฏิภาณว่องไว ทราบว่าในเหตุการณ์นั้น แม้คู่ต่อสู้จะไม่ถูกฟันคอจนโลหิตฉีดพุ่ง แต่แค่ไม่เกินอึดใจก็ต้องล้มลงตายเองอยู่ดี ขณะจะเหลือบตาขึ้นด้านบนกล่าวกระไร หญิงสาวลึกลับก็ไม่อยู่ที่นั่นแล้ว
"นี่ ไม่ถูกต้อง" มือปราบเฉินลูบหนวดเรียวช้าๆ สีหน้าเคร่งเครียด เข็มสี่หุนที่ได้มาก่อนสี่เล่มกับที่เพิ่งได้มาจัดวางอยู่บนผ้าสีแดงที่คลี่ออกสุดมุมโต๊ะทั้งสองด้าน แม้ความยาวเข็มจะเท่ากันทั้งหมดแต่ความละเอียดปราณีตไม่ได้ใกล้เคียง อีกทั้งเข็มสี่เล่มก่อนหน้าเป็นสีดำด้านจากฤทธิ์กัดกร่อนและเริ่มขึ้นสนิม เฉินเถี่ยเฉิงเริ่มคิดได้ว่าเข็มพิษทั้งสองชุดมาจากต่างที่มา การสืบคดีเหมือนจะย้อนมาที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง มือปราบในชุดยาวสีแดงเลือดหมูตัดสินใจกลับไปหาเบาะแสที่เหลาสุรามี่จิ้ง ชาวบ้านที่มาหาซื้อของในตลาดเล่าให้ฟังว่าหลายวันก่อนมีผู้พบศพศิษย์สำนักเกราะดำลอยไปติดอยู่ใต้ตอม่อสะพานหมู่บ้านที่ห่างออกไปยี่สิบลี้ สภาพศพดูแล้วไม่เน่าเปื่อยเหมือนเพิ่งตายไม่ถึงหนึ่งวัน ภายหลังทราบว่าศพยังเก็บรักษาไว้ที่อารามฉานย่วน มือปราบก็กระโดดขึ้นม้าเร่งจากไป
จางฮุ่ยกลับถึงหมู่ตึกไหมหยกเวลาก็ล่วงเข้ายามสอง ที่เงียบเหงาเมื่อย่ำค่ำก็ยิ่งสงบสงัดเป็นทวีคูณ แม้จะมีร่างกายใหญ่โตแต่ศิษย์สำนักโล่ห์เหล็กผู้นี้กลับเคลื่อนไหวได้แผ่วเบาราวกับแมวย่อง นอกจากแสงไฟเหนือประตูใหญ่และผู้คุ้มภัยที่ยืนรักษาการณ์ ภายในตัวตึกก็เงียบสนิท ขณะเดินผ่านห้องคุณชายรองกลับได้ยินเสียงลมหายใจกระชั้นเร่งร้อน ควรทราบว่าสำนักโล่ห์เหล็กฝึกฝนและชื่นชนในสุนทรียศาสตร์ ศิษย์ย่อมมีประสาทสัมผัสในทุกด้านเด่นล้ำ กลิ่นเครื่องหอมเพียงจางๆ กลับไม่รอดสัมผัสที่ปราดเปรียว นักศึกษาผู้เปลี่ยนเป็นกุนซือไม่นานมานี้ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้
สตรีในชุดยาวสีม่วงเข้มค่อยๆ เลื่อนปิดประตูอย่างแผ่วเบา เมื่อนางหมุนตัวมายังทางเดินก็เบิกตาโพลงพร้อมกระโดดถอยหลังไปสี่ห้าก้าว มิใช่ตกใจที่เห็นคนหากแต่คนมายืนอยู่แค่ช่วงแขนเอื้อมถึงยังไม่รับรู้ได้ หากคนผู้นี้คิดปลิดชีพนางต้องตายแน่นอน นางถ่ายทอดเสียงอย่างแผ่วเบาโดยใช้ริมฝีปาก เงาเลือนลางในชุดยาวสีขาวตอบว่า "เซนี ตานียอร์ดุม" (ข้าพเจ้ารู้จักท่าน) มิคาดผู้ที่บุกรุกจะตอบกลับมาเป็นภาษาเผ่าของนาง เหงื่อเริ่มผุดพรายทั่วร่าง นางรู้สึกเย็นเยียบจนขนชี้ชัน จนใจที่นางมามือเปล่าไม่มีอาวุธใดติดมือมา ได้แต่นึกเสียใจที่ไม่ยอมฝึกวิชาฝ่ามือ ยามคับขันเช่นนี้อาจรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ เงาสีขาวนั้นพุ่งเข้าหานางอย่างรวดเร็วจนรู้สึกถึงลมประทะหน้าวูบ ไม่มีทางเลือกนางตัดสินใจฟาดฝ่ามือสองข้างออกไปตรงๆ พร้อมพึมพำว่าจบสิ้นแล้ว มิคาดฝ่ามือของนางสะบัดไปพบกับความว่างเปล่า ทิ้งไว้แต่ลมหอมหวานวูบหนึ่ง
กำลังจะพ้นยามสอง เซี่ยเหลียนอิ่ง แหงนมองจันทราสุกสว่างเหมือนลูกกลมสีเงิน นางชมชอบความเงียบพอๆ กับความเสนาะหูของเสียงดนตรีที่หอเซียนฟู่ นางนับเป็นแขกสตรีผู้เดียวและยังเป็นผู้ที่จ่ายหนักที่สุดเพื่อฟังฮัวเหลียนเล่นพิณให้ฟัง หากจะมีผู้ใดงดงามกว่านางย่อมเป็น เทพธิดาสราญผู้นี้ นางย่อมไม่จัดอาจารย์ผู้เฒ่าเป็นอันดับหนึ่ง เช่นนั้นนางต้องเป็นอันดับสามแล้ว นางสลัดความคิดไร้สาระกลับสู่ความเคร่งขรึม สำนักฮวงซา (ลัทธิทรายลับแล) ส่งคนเข้าแทรกซึมทั่วภาคกลาง ทั้งในวังหลวง ตึกคหบดี แม้แต่ในค่ายสำนักต่างๆ ก็มิเว้น หลังจากออกท่องยุทธภพทำให้นางทราบเบาะแสว่าสายลับทั้งหมดล้วนเป็นชนเผ่าพันธุ์เดียวกับอาจารย์ผู้เฒ่า แต่ความรู้สึกที่มีต่ออาจารย์ของนั้นระคนปนกันไป บางครั้งนางก็เป็นเหมือนมารดาที่เป็นห่วงบุตรี บางครั้งก็เหมือนพี่สาวที่ช่างหยอกเย้า บางครั้งกลับให้ความรู้สึกเย็นเยือกเหมือนศัตรูที่มุ่งหมายปลิดชีวิต
อีกครึ่งชั่วยามฟ้าก็จะสาง เฉินเถี่ยเฉิง เพิ่งจะผ่านซุ้มประตูอารามก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ทำวัตรเช้าก้องกังวาล ทราบว่าฉานย่วนเป็นหนึ่งในสาขาของวัดเส้าหลิน พลังฝึกปรือของหลวงจีนในจุดตันเถียนทั้งสามมีความสมดุลย์สะท้อนออกมาทางเสียงสวดมนต์ที่ต่อเนื่องยาวนาน "เชิญท่านทางนี้" ขณะกำลังตัดสินใจรอจนหลวงจีนเหล่านี้ทำวัตรเสร็จกลับมีหลวงจีนน้อยออกมาต้อนรับ "ท่านอาจารย์ทราบอยู่แล้วว่าท่านจะมา" นี่สร้างความประหลาดใจให้กับมือปราบไม่น้อย แต่ก็เดินตามเณรน้อยไปยังอาคารด้านหลัง