อภินิหารสำเภาเทพทองคำ : ตอนที่ 1 พิษสิบลี้
http://ppantip.com/topic/30478782
ยุทธการแรก
ฟ้าเพิ่งสางแต่ข่าวว่าสุกรและโคของชาวบ้านล้มตายลงอีกแพร่สะพัดทั่วหมู่บ้าน เช้าวันนี้ดูไม่เหมือนวันปกติทั่วไป ผู้คนต่างจับกลุ่มพูดคุยคล้ายมีเหตุการณ์สำคัญกำลังจะเกิดขึ้น
สตรีชดช้อยนางหนึ่งนั่งโดยมิถอดหมวกออก ใบหน้าของนางบังไว้ด้วยผ้าสีม่วงบางเบา แม้ภายใต้ผืนผ้ารำไรยังคงเห็นเค้าหน้าเรียวรูปไข่ ผิวหน้าละเอียดราวกับหยกประดับไว้ด้วยริมฝีปากอิ่มดั่งชาดแต้ม “ไก่ครึ่งตัว เนื้อครึ่งชั่ง สุราหนึ่งไห รีบนำมา” ผู้รับใช้เบิกตาแล้วหันไปสบตาเจ้าของร้าน อาหารถูกยกมาโดยไว เพียงครึ่งก้านธูปกับแกล้มพร่องไปกว่าครึ่ง
“สวรรค์ไม่มีตา สวรรค์ไม่มีตาจริงๆ” โต๊ะใหญ่รายล้อมด้วยชาวบ้านมากหน้าหลายตา พึมพำอื้ออึงด้วยต่างคนต่างแย่งกันแสดงความเห็น สตรีนั้นหยุดรับประทาน เพ่งสมาธิไปที่วงสนทนา “ฟังว่าสำนักเกราะดำ เรียกทองคำและเงินจากหมู่ตึกไหมหยกแทบล่มจม…” มิต้องถามว่ากฏหมายอยู่ที่ไหน ไม่แน่ว่าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะได้ส่วนแบ่งสักสองสามส่วน “คราครั้งนี้คงย่ำแย่แล้ว” เสียงใครสักคนเปรยด้วยความเห็นใจในเคราะห์กรรม สตรีแปลกหน้าเรียกผู้รับใช้ชำระค่าอาหารแล้วจากไปทันที นางคือ “พิษสิบลี้” เอง
แสงสุดท้ายลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว หลงเหลือเพียงรัศมีสีแดงอมม่วงดูลึกลับ สายลมสงบนิ่งชวนอึดอัดคล้ายเวลาหยุดเดิน เสียงฝีเท้ากึกก้องมาตามทาง ดูไปเหมือนขบวนงูไฟเล็กๆ ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาช้าๆ ที่สุดแล้วขบวนก็หยุดยั้งลงหน้าซุ้มประตูตึก “ไฉนมืดมิดยิ่ง” ผู้นำขบวนในชุดเกราะดำขลิบทองสอบถามหน่วยสอดแนม “เรียนคุณชายใหญ่ นับแต่พระอาทิตย์ตกดิน คนของหมู่ตึกมิได้จุดโคมขึ้นเลย ประกอบกับคืนนี้เป็นคืนแรม” กล่าวจบก็ถอยกลับไปประจำที่ ค่ำคืนนี้บรรยากาศแสนจะอบอ้าว ประกอบกับมีหมู่เมฆทึบหนักลอยต่ำ เพิ่มความกดดันเป็นเท่าทวี
“ส่งหน่วยตรวจค้นออกไป” สิ้นคำสั่ง หน่วยตรวจค้นที่เน้นการเคลื่อนไหวคล่องตัว พกอาวุธเบาสามสิบคนก็แยกย้ายกันออกไปตรวจสอบ ท่ามกลางความมืดมิด หน่วยตรวจค้นที่ถนัดการโจรกรรมย่องเบาแทบจะหาทางไปไม่ถูก หากไม่ได้รับการสรุปเส้นทางคร่าวๆ จากหน่วยสอดแนม จะเนื่องจากมัวแต่คร่ำเคร่งกับการค้นหาในความมืดสนิท กว่าคนของหน่วยตรวจค้นจะรู้ตัวว่าเสื้อผ้าของพวกมันเรืองแสงได้ กลับกลายดูคล้ายกับอสูรกายกลุ่มหนึ่ง หัวหน้ากลุ่มฉุกคิดได้ว่า ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้พวกมันต้องตกเป็นเป้าอยู่ฝ่ายเดียว ขณะจะผิวปากให้สัญญาณล่าถอย ลำคอก็เหมือนถูกแทงด้วยของแหลม สร้างความเจ็บปวดรวดร้าวยิ่ง ขณะยังไม่ทันตั้งตัวได้ ลำตัวก็ถูกแทงด้วยอาวุธชนิดเดียวกันจากทุกทิศทุกทาง
ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม ไม่มีหน่วยตรวจค้นกลับมาแม้แต่คนเดียว คุณชายใหญ่สำนักเกราะดำร้อนใจยิ่ง “ที่ปรึกษาซุน ผิดปกติยิ่งๆ” ที่ปรึกษาดังกล่าวยังไม่ทันตอบคำ ก็ปรากฏเสียงวัตถุกระทบพื้นกลิ้งหลุนๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าม้า องครักษ์คนที่ใกล้ที่สุดเอาดาบเขี่ยจนเห็นใบหน้าจึงร้องขึ้น “เป็นศีรษะหัวหน้าหน่วยตรวจค้นที่สี่” มิต้องบอกก็รู้ว่าหน่วยตรวจค้นทั้งหมดถูกกำจัดฆ่าหมดสิ้น นี่คงเป็นกลยุทธ์ให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความครั่นคร้าม “หน่วยประจัญบานบุกเข้าไป”
จากนั้นเกิดเสียงต่อสู้วุ่นวาย คบไฟของหน่วยประจัญบานค่อยๆ ดับลงทีละดวงสองดวง หน่วยประจัญบานซึ่งประกอบด้วยคนเคยต้องคดีหรือหนีคุก มีจุดเด่นคือความบ้าบิ่น ลงมือด้วยความหนักหน่วงหากแต่ไร้กระบวนท่าและการป้องกัน กลับมาเพียงหกคนจากสามสิบคน แต่ละคนได้รับบาดเจ็บสาหัส โลหิตไหลโซมกาย หมดความสามารถในการต่อสู้โดยสิ้นเชิง บุตรชายคนโตสำนักใหญ่ขบกรามจนเป็นสัน มิคาดว่าฝ่ายตนจะเป็นฝ่ายสูญเสียอย่างมากก่อนการต่อสู้จริงๆ จะเริ่มขึ้น ชายฉกรรจ์ในเกราะดำขลิบทองเกร็งกำลังที่ท้อง ถ่ายทอดเสียงก้องกังวาลทั่วหมู่ตึก “หากท่านเข้มแข็งจงออกมา อย่าได้แต่เป็นเต่าหดหัว”
สิ้นเสียงประกาศ ก็ปรากฏลมกรรโชกขึ้นพร้อมกับสายวิชชุแลบปลาบแปลบ แม้เพียงชั่วขณะเดียว ก็เห็นบนหลังคายืนไว้ด้วยบุรุษในชุดนักศึกษา ช่างเป็นภาพลักษณ์ที่ขัดตาหลายๆ คน เมื่อพิจารณารูปร่างสูงและใหญ่จนเกินไป ด้ามดาบที่โผล่พ้นไหล่เป็นดาบหน้ากว้าง ช่างชวนสงสัยชวนขบขันในความแตกต่างอย่างไม่มีสาเหตุนั้น นักศึกษาประหลาดผู้นั้นจุดคบเพลิงขึ้นแล้วแกว่งเป็นสัญญาณ ก็ปรากฏแถวนักรบวิ่งออกมาจากตัวตึก ทุกคนสวมชุดดำรัดกุม คลุมใบหน้ามิด อาวุธส่วนใหญ่เป็นหอกทำจากไม้ปลายแหลมรมควัน
เพียงกวัดแกว่งคบไฟไม่กี่ครั้ง ขบวนนักรบก็จัดเป็นปีกซ้ายสี่สิบ กองกลางสี่สิบ ปีกขวาสี่สิบ กองหลังหกสิบ ฝ่ายสำนักเกราะดำแตกตื่นไม่น้อยที่เห็นความพร้อมเพรียงและการแปรรูปขบวนที่รวดเร็ว ผู้นำกองกำลังเกราะดำให้สัญญาณหน่วยประจัญบานหกสิบคนที่เหลือบุกเข้าไปก่อน เพื่อหยั่งกำลังฝีมือ ตามติดด้วยกำลังหลักซึ่งเป็นศิษย์ที่สำเร็จวิชาแล้วอีกแปดสิบคน แม้จะสงสัยเพียงใดแต่ก็ไม่มีเวลาขบคิดให้มากความว่าไฉนหมู่ตึกไหมหยกจึงมีกำลังต่อต้านมากมายขนาดนี้ ลำพังจำนวนผู้คุ้มกันตึกที่ได้รับทราบมามีเพียงสามสิบคนเท่านั้น
การต่อสู้เริ่มขึ้นด้วยความได้เปรียบของฝ่ายหมู่ตึกเนื่องจากสำนักเกราะดำแม้จะเป็นสำนักการต่อสู้ แต่ไม่ได้ถนัดการสู้รบแบบเป็นระบบมาก่อน อาศัยเพียงวิชาฝีมือของนักสู้แต่ละคนเท่านั้นในการเอาชนะ ในขณะที่อีกฝ่ายได้รับการฝึกฝนกลยุทธ์ที่ง่ายที่สุดคือ หากอ่อนแอจงใช้พวกมากพิชิตชัย ปีกซ้าย กองกลาง และ ปีกขวา ประกอบด้วยบ่าวไพร่ที่เป็นชายจัดเป็นกลุ่มย่อยสามคน รวมกองละสามสิบคน อีกสิบคนเป็นผู้คุ้มกันตึก
กลุ่มย่อยสามคนนี้มีหน้าที่รุมสังหารศัตรูครั้งละหนึ่งคน โดยพยายามเน้นจุดตาย ทำให้การต่อสู้ไม่ยืดเยื้อแล้วค่อยหาคู่ต่อสู้รายใหม่ต่อไป ในขณะที่กองหลังประกอบด้วยบ่าวไพร่หญิง จัดเป็นกลุ่มละห้านาง มีหน้าที่จัดการกับนักรบเกราะดำที่เล็ดลอดเข้ามาหรือช่วยหนุนเสริมกองหน้า ส่วนผู้คุ้มกันตึกใช้ประสบการณ์และวิชาฝีมือแก้สถานการณ์ให้กับกองกำลังที่จัดขึ้นจากบ่าวไพร่
ผ่านไปเกือบครึ่งคืน กองกำลังเกราะดำชุดแรกสูญเสียไปกว่าร้อยนาย ที่เหลือหมดสมรรถภาพในการรบ บ่าวไพร่ชายบาดเจ็บสาหัสสิบคน บาดเจ็บโดยต่อสู้ไม่ได้ยี่สิบคน กองกำลังหมู่ตึกจึงแปรขบวนเป็นปีกซ้ายและปีกขวา ที่ปรึกษาซุนเห็นความพร้อมเพียงและกลยุทธ์ที่ง่ายแต่ได้ผล จึงจำเป็นต้องแก้ไขสถานการณ์ โดยเรียกให้นักฆ่าสำนักเพลงไร้สำเนียงเข้าสู่สมรภูมิ หัวหน้านักฆ่าเป็นหญิงใส่หน้ากากอสูร เช่นเดียวกับกลุ่มนักฆ่าที่เหลือ นางเริ่มบรรเลงพิณเป็นสัญญาณให้เหล่านักฆ่าเข้าสู้รบ เสียงพิณแกร่งกร้าวยิ่งนัก
จางฮุ่ยสังเกตว่าเสียงที่เปล่งออกมาคล้ายเพลงไม่คล้ายเพลง หากแต่เป็นการใช้เสียงสูงต่ำ สั้นยาวในการสั่งการสู้รบ ละสายตาไปมองผู้บรรเลงพิณไม่เท่าไหร่ เหลือบมองที่สมรภูมิอีกครั้ง สถานการณ์ของกองกำลังหมู่ตึกเริ่มตกเป็นรอง เนื่องจากนักฆ่าหน้ากากอสูรเป็นนักฆ่าอาชีพที่ได้รับการฝึกฝนอย่างหนัก จึงมีท่วงท่ารุกรวดเร็ว หนักหน่วง มุ่งเน้นจุดตาย จนถึงตอนนี้ผู้คุ้มกันตึกพบกับความสูญเสียไปกว่าครึ่ง กองกำลังที่เป็นบ่าวไพร่เริ่มล้มตาย ทำให้ที่เหลือตกใจกลัวจนกระบวนรบเริ่มระส่ำระสาย ไม่เป็นขบวน
หัวหน้าผู้คุ้มกันไม่อาจทนดูผู้ใต้บังคับบัญชาถูกฆ่าทีละคนสองคน ประกาศคำสั่งเสียให้ดูแลครอบครัวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตีฝ่าไปยังหัวหน้านักฆ่าที่กำลังบรรเลงพิณ จุดมุ่งหมายไม่ใช่คนหากแต่เป็นพิณ หัวหน้าผู้คุ้มกันทำได้สำเร็จ ดาบสุดท้ายแฝงพลังชีวิตทั้งหมดฟันพิณไม้หักเป็นสองซีก แต่ก็แลกมาด้วยคมกระบี่ฝังร่างกว่าสิบเล่ม ทุกคนต่างสำนึกในการพลีชีพครั้งนี้ แต่ปัญหาคือ กลุ่มนักฆ่าไม่ได้หยุดยั้งการฆ่าฟันลงตามเสียงเพลง…
จางฮุ่ยโยนคบเพลิงลงกับหลังคาตึก ชักดาบหน้าใหญ่ออกเคาะกับกระเบื้องมุงหลังคาเป็นจังหวะ พร้อมร่ายโคลงด้วยฉันทลักษณ์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
“หิ่งห้อยตัวน้อยไร้วาสนา แม้ในคืนอับแสงไร้จันทรา มิอาจแข่งแสงแรงไกล ด้วยท้องฟ้าคืนนี้คุ้มคลั่ง ลมฝนพัดดั่งพายุในจิตใจ คนเราต่อสู้เพื่ออะไร สันติมวลชนหรือฝันส่วนตัว ต้องทำสงครามหรือโลกนี้จึงสงบ ถ้าจบคือมิใช่สิ้นสุด หากแต่ไม่ควรมีจุดเริ่ม สุขนั้นหรืออาจพบได้ที่จิตตน…”
ไม่รู้ว่าเพราะเนื้อหาของบทกวีที่สับสน อาศัยการขบคิดตีความ หรือ การเคาะจังหวะที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน นักฆ่าเพลงไร้สำเนียงเริ่มเคลื่อนไหวช้าลง ทำให้กองกำลังหมู่ตึกเริ่มต่อต้านได้บ้าง ทางฝ่ายสำนักเกราะดำเริ่มเห็นไม่ได้การ เพราะนักฆ่าอาชีพที่จ้างมาถือเป็นไพ่ตายเพียงหนึ่งเดียว หาไม่แล้วคงไม่สามารถพิชิตหมู่ตึกไหมหยกลงได้ อิทธิพลประจำเมืองนี้คงต้องถูกสั่นคลอนจากสำนักอื่น และนำมาซึ่งการต่อต้านไม่จบสิ้น
บุตรคนโตสำนักเกราะดำอาศัยวิชาตัวเบากระโดดเพียงสี่ห้าก้าวก็ถึงตัวจางฮุ่ย ดาบแรกของคุณชายเกราะดำถาโถมลงอาศัยน้ำหนักตัวที่ทิ้งลงมา ดาบแรกนี้ไม่แฝงกำลังภายในแต่อย่างใด หากแต่เป็นการลองเชิง บุรุษในชุดนักศึกษาร่างใหญ่ขวางดาบรับการจู่โจมทันทีเสียงดาบปะทะดาบดังเคร้งกังวาลก้องทั่วบริเวณ กระเบี้องลั่นกราวบ่งบอกความหนักหน่วงในการประดาบครั้งนี้ โชคไม่ดีที่เท้าซ้ายของจางฮุ่ยจมลงใต้กระเบื้องที่แตกหัก งงงันอยู่วูบหนึ่ง บุตรชายใหญ่เจ้าสำนักไม่ปล่อยโอกาสอันดี กวัดแกว่งดาบเข้ามาด้วยความย่ามใจ จางฮุ่ยที่ยังถอนเท้าออกจากช่องแตกไม่สำเร็จละล้าละลังยิ่ง ซ้ำฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา เท้าข้างที่เหลือก็มิอาจช่วยทรงตัวได้มั่น
[ตอนต่อไป พายุไม่สงบ]
[นิยายจีน] อภินิหารสำเภาเทพทองคำ : ตอนที่ 2 ยุทธการแรก
ยุทธการแรก
ฟ้าเพิ่งสางแต่ข่าวว่าสุกรและโคของชาวบ้านล้มตายลงอีกแพร่สะพัดทั่วหมู่บ้าน เช้าวันนี้ดูไม่เหมือนวันปกติทั่วไป ผู้คนต่างจับกลุ่มพูดคุยคล้ายมีเหตุการณ์สำคัญกำลังจะเกิดขึ้น
สตรีชดช้อยนางหนึ่งนั่งโดยมิถอดหมวกออก ใบหน้าของนางบังไว้ด้วยผ้าสีม่วงบางเบา แม้ภายใต้ผืนผ้ารำไรยังคงเห็นเค้าหน้าเรียวรูปไข่ ผิวหน้าละเอียดราวกับหยกประดับไว้ด้วยริมฝีปากอิ่มดั่งชาดแต้ม “ไก่ครึ่งตัว เนื้อครึ่งชั่ง สุราหนึ่งไห รีบนำมา” ผู้รับใช้เบิกตาแล้วหันไปสบตาเจ้าของร้าน อาหารถูกยกมาโดยไว เพียงครึ่งก้านธูปกับแกล้มพร่องไปกว่าครึ่ง
“สวรรค์ไม่มีตา สวรรค์ไม่มีตาจริงๆ” โต๊ะใหญ่รายล้อมด้วยชาวบ้านมากหน้าหลายตา พึมพำอื้ออึงด้วยต่างคนต่างแย่งกันแสดงความเห็น สตรีนั้นหยุดรับประทาน เพ่งสมาธิไปที่วงสนทนา “ฟังว่าสำนักเกราะดำ เรียกทองคำและเงินจากหมู่ตึกไหมหยกแทบล่มจม…” มิต้องถามว่ากฏหมายอยู่ที่ไหน ไม่แน่ว่าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะได้ส่วนแบ่งสักสองสามส่วน “คราครั้งนี้คงย่ำแย่แล้ว” เสียงใครสักคนเปรยด้วยความเห็นใจในเคราะห์กรรม สตรีแปลกหน้าเรียกผู้รับใช้ชำระค่าอาหารแล้วจากไปทันที นางคือ “พิษสิบลี้” เอง
แสงสุดท้ายลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว หลงเหลือเพียงรัศมีสีแดงอมม่วงดูลึกลับ สายลมสงบนิ่งชวนอึดอัดคล้ายเวลาหยุดเดิน เสียงฝีเท้ากึกก้องมาตามทาง ดูไปเหมือนขบวนงูไฟเล็กๆ ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาช้าๆ ที่สุดแล้วขบวนก็หยุดยั้งลงหน้าซุ้มประตูตึก “ไฉนมืดมิดยิ่ง” ผู้นำขบวนในชุดเกราะดำขลิบทองสอบถามหน่วยสอดแนม “เรียนคุณชายใหญ่ นับแต่พระอาทิตย์ตกดิน คนของหมู่ตึกมิได้จุดโคมขึ้นเลย ประกอบกับคืนนี้เป็นคืนแรม” กล่าวจบก็ถอยกลับไปประจำที่ ค่ำคืนนี้บรรยากาศแสนจะอบอ้าว ประกอบกับมีหมู่เมฆทึบหนักลอยต่ำ เพิ่มความกดดันเป็นเท่าทวี
“ส่งหน่วยตรวจค้นออกไป” สิ้นคำสั่ง หน่วยตรวจค้นที่เน้นการเคลื่อนไหวคล่องตัว พกอาวุธเบาสามสิบคนก็แยกย้ายกันออกไปตรวจสอบ ท่ามกลางความมืดมิด หน่วยตรวจค้นที่ถนัดการโจรกรรมย่องเบาแทบจะหาทางไปไม่ถูก หากไม่ได้รับการสรุปเส้นทางคร่าวๆ จากหน่วยสอดแนม จะเนื่องจากมัวแต่คร่ำเคร่งกับการค้นหาในความมืดสนิท กว่าคนของหน่วยตรวจค้นจะรู้ตัวว่าเสื้อผ้าของพวกมันเรืองแสงได้ กลับกลายดูคล้ายกับอสูรกายกลุ่มหนึ่ง หัวหน้ากลุ่มฉุกคิดได้ว่า ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้พวกมันต้องตกเป็นเป้าอยู่ฝ่ายเดียว ขณะจะผิวปากให้สัญญาณล่าถอย ลำคอก็เหมือนถูกแทงด้วยของแหลม สร้างความเจ็บปวดรวดร้าวยิ่ง ขณะยังไม่ทันตั้งตัวได้ ลำตัวก็ถูกแทงด้วยอาวุธชนิดเดียวกันจากทุกทิศทุกทาง
ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม ไม่มีหน่วยตรวจค้นกลับมาแม้แต่คนเดียว คุณชายใหญ่สำนักเกราะดำร้อนใจยิ่ง “ที่ปรึกษาซุน ผิดปกติยิ่งๆ” ที่ปรึกษาดังกล่าวยังไม่ทันตอบคำ ก็ปรากฏเสียงวัตถุกระทบพื้นกลิ้งหลุนๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าม้า องครักษ์คนที่ใกล้ที่สุดเอาดาบเขี่ยจนเห็นใบหน้าจึงร้องขึ้น “เป็นศีรษะหัวหน้าหน่วยตรวจค้นที่สี่” มิต้องบอกก็รู้ว่าหน่วยตรวจค้นทั้งหมดถูกกำจัดฆ่าหมดสิ้น นี่คงเป็นกลยุทธ์ให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความครั่นคร้าม “หน่วยประจัญบานบุกเข้าไป”
จากนั้นเกิดเสียงต่อสู้วุ่นวาย คบไฟของหน่วยประจัญบานค่อยๆ ดับลงทีละดวงสองดวง หน่วยประจัญบานซึ่งประกอบด้วยคนเคยต้องคดีหรือหนีคุก มีจุดเด่นคือความบ้าบิ่น ลงมือด้วยความหนักหน่วงหากแต่ไร้กระบวนท่าและการป้องกัน กลับมาเพียงหกคนจากสามสิบคน แต่ละคนได้รับบาดเจ็บสาหัส โลหิตไหลโซมกาย หมดความสามารถในการต่อสู้โดยสิ้นเชิง บุตรชายคนโตสำนักใหญ่ขบกรามจนเป็นสัน มิคาดว่าฝ่ายตนจะเป็นฝ่ายสูญเสียอย่างมากก่อนการต่อสู้จริงๆ จะเริ่มขึ้น ชายฉกรรจ์ในเกราะดำขลิบทองเกร็งกำลังที่ท้อง ถ่ายทอดเสียงก้องกังวาลทั่วหมู่ตึก “หากท่านเข้มแข็งจงออกมา อย่าได้แต่เป็นเต่าหดหัว”
สิ้นเสียงประกาศ ก็ปรากฏลมกรรโชกขึ้นพร้อมกับสายวิชชุแลบปลาบแปลบ แม้เพียงชั่วขณะเดียว ก็เห็นบนหลังคายืนไว้ด้วยบุรุษในชุดนักศึกษา ช่างเป็นภาพลักษณ์ที่ขัดตาหลายๆ คน เมื่อพิจารณารูปร่างสูงและใหญ่จนเกินไป ด้ามดาบที่โผล่พ้นไหล่เป็นดาบหน้ากว้าง ช่างชวนสงสัยชวนขบขันในความแตกต่างอย่างไม่มีสาเหตุนั้น นักศึกษาประหลาดผู้นั้นจุดคบเพลิงขึ้นแล้วแกว่งเป็นสัญญาณ ก็ปรากฏแถวนักรบวิ่งออกมาจากตัวตึก ทุกคนสวมชุดดำรัดกุม คลุมใบหน้ามิด อาวุธส่วนใหญ่เป็นหอกทำจากไม้ปลายแหลมรมควัน
เพียงกวัดแกว่งคบไฟไม่กี่ครั้ง ขบวนนักรบก็จัดเป็นปีกซ้ายสี่สิบ กองกลางสี่สิบ ปีกขวาสี่สิบ กองหลังหกสิบ ฝ่ายสำนักเกราะดำแตกตื่นไม่น้อยที่เห็นความพร้อมเพรียงและการแปรรูปขบวนที่รวดเร็ว ผู้นำกองกำลังเกราะดำให้สัญญาณหน่วยประจัญบานหกสิบคนที่เหลือบุกเข้าไปก่อน เพื่อหยั่งกำลังฝีมือ ตามติดด้วยกำลังหลักซึ่งเป็นศิษย์ที่สำเร็จวิชาแล้วอีกแปดสิบคน แม้จะสงสัยเพียงใดแต่ก็ไม่มีเวลาขบคิดให้มากความว่าไฉนหมู่ตึกไหมหยกจึงมีกำลังต่อต้านมากมายขนาดนี้ ลำพังจำนวนผู้คุ้มกันตึกที่ได้รับทราบมามีเพียงสามสิบคนเท่านั้น
การต่อสู้เริ่มขึ้นด้วยความได้เปรียบของฝ่ายหมู่ตึกเนื่องจากสำนักเกราะดำแม้จะเป็นสำนักการต่อสู้ แต่ไม่ได้ถนัดการสู้รบแบบเป็นระบบมาก่อน อาศัยเพียงวิชาฝีมือของนักสู้แต่ละคนเท่านั้นในการเอาชนะ ในขณะที่อีกฝ่ายได้รับการฝึกฝนกลยุทธ์ที่ง่ายที่สุดคือ หากอ่อนแอจงใช้พวกมากพิชิตชัย ปีกซ้าย กองกลาง และ ปีกขวา ประกอบด้วยบ่าวไพร่ที่เป็นชายจัดเป็นกลุ่มย่อยสามคน รวมกองละสามสิบคน อีกสิบคนเป็นผู้คุ้มกันตึก
กลุ่มย่อยสามคนนี้มีหน้าที่รุมสังหารศัตรูครั้งละหนึ่งคน โดยพยายามเน้นจุดตาย ทำให้การต่อสู้ไม่ยืดเยื้อแล้วค่อยหาคู่ต่อสู้รายใหม่ต่อไป ในขณะที่กองหลังประกอบด้วยบ่าวไพร่หญิง จัดเป็นกลุ่มละห้านาง มีหน้าที่จัดการกับนักรบเกราะดำที่เล็ดลอดเข้ามาหรือช่วยหนุนเสริมกองหน้า ส่วนผู้คุ้มกันตึกใช้ประสบการณ์และวิชาฝีมือแก้สถานการณ์ให้กับกองกำลังที่จัดขึ้นจากบ่าวไพร่
ผ่านไปเกือบครึ่งคืน กองกำลังเกราะดำชุดแรกสูญเสียไปกว่าร้อยนาย ที่เหลือหมดสมรรถภาพในการรบ บ่าวไพร่ชายบาดเจ็บสาหัสสิบคน บาดเจ็บโดยต่อสู้ไม่ได้ยี่สิบคน กองกำลังหมู่ตึกจึงแปรขบวนเป็นปีกซ้ายและปีกขวา ที่ปรึกษาซุนเห็นความพร้อมเพียงและกลยุทธ์ที่ง่ายแต่ได้ผล จึงจำเป็นต้องแก้ไขสถานการณ์ โดยเรียกให้นักฆ่าสำนักเพลงไร้สำเนียงเข้าสู่สมรภูมิ หัวหน้านักฆ่าเป็นหญิงใส่หน้ากากอสูร เช่นเดียวกับกลุ่มนักฆ่าที่เหลือ นางเริ่มบรรเลงพิณเป็นสัญญาณให้เหล่านักฆ่าเข้าสู้รบ เสียงพิณแกร่งกร้าวยิ่งนัก
จางฮุ่ยสังเกตว่าเสียงที่เปล่งออกมาคล้ายเพลงไม่คล้ายเพลง หากแต่เป็นการใช้เสียงสูงต่ำ สั้นยาวในการสั่งการสู้รบ ละสายตาไปมองผู้บรรเลงพิณไม่เท่าไหร่ เหลือบมองที่สมรภูมิอีกครั้ง สถานการณ์ของกองกำลังหมู่ตึกเริ่มตกเป็นรอง เนื่องจากนักฆ่าหน้ากากอสูรเป็นนักฆ่าอาชีพที่ได้รับการฝึกฝนอย่างหนัก จึงมีท่วงท่ารุกรวดเร็ว หนักหน่วง มุ่งเน้นจุดตาย จนถึงตอนนี้ผู้คุ้มกันตึกพบกับความสูญเสียไปกว่าครึ่ง กองกำลังที่เป็นบ่าวไพร่เริ่มล้มตาย ทำให้ที่เหลือตกใจกลัวจนกระบวนรบเริ่มระส่ำระสาย ไม่เป็นขบวน
หัวหน้าผู้คุ้มกันไม่อาจทนดูผู้ใต้บังคับบัญชาถูกฆ่าทีละคนสองคน ประกาศคำสั่งเสียให้ดูแลครอบครัวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตีฝ่าไปยังหัวหน้านักฆ่าที่กำลังบรรเลงพิณ จุดมุ่งหมายไม่ใช่คนหากแต่เป็นพิณ หัวหน้าผู้คุ้มกันทำได้สำเร็จ ดาบสุดท้ายแฝงพลังชีวิตทั้งหมดฟันพิณไม้หักเป็นสองซีก แต่ก็แลกมาด้วยคมกระบี่ฝังร่างกว่าสิบเล่ม ทุกคนต่างสำนึกในการพลีชีพครั้งนี้ แต่ปัญหาคือ กลุ่มนักฆ่าไม่ได้หยุดยั้งการฆ่าฟันลงตามเสียงเพลง…
จางฮุ่ยโยนคบเพลิงลงกับหลังคาตึก ชักดาบหน้าใหญ่ออกเคาะกับกระเบื้องมุงหลังคาเป็นจังหวะ พร้อมร่ายโคลงด้วยฉันทลักษณ์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
“หิ่งห้อยตัวน้อยไร้วาสนา แม้ในคืนอับแสงไร้จันทรา มิอาจแข่งแสงแรงไกล ด้วยท้องฟ้าคืนนี้คุ้มคลั่ง ลมฝนพัดดั่งพายุในจิตใจ คนเราต่อสู้เพื่ออะไร สันติมวลชนหรือฝันส่วนตัว ต้องทำสงครามหรือโลกนี้จึงสงบ ถ้าจบคือมิใช่สิ้นสุด หากแต่ไม่ควรมีจุดเริ่ม สุขนั้นหรืออาจพบได้ที่จิตตน…”
ไม่รู้ว่าเพราะเนื้อหาของบทกวีที่สับสน อาศัยการขบคิดตีความ หรือ การเคาะจังหวะที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน นักฆ่าเพลงไร้สำเนียงเริ่มเคลื่อนไหวช้าลง ทำให้กองกำลังหมู่ตึกเริ่มต่อต้านได้บ้าง ทางฝ่ายสำนักเกราะดำเริ่มเห็นไม่ได้การ เพราะนักฆ่าอาชีพที่จ้างมาถือเป็นไพ่ตายเพียงหนึ่งเดียว หาไม่แล้วคงไม่สามารถพิชิตหมู่ตึกไหมหยกลงได้ อิทธิพลประจำเมืองนี้คงต้องถูกสั่นคลอนจากสำนักอื่น และนำมาซึ่งการต่อต้านไม่จบสิ้น
บุตรคนโตสำนักเกราะดำอาศัยวิชาตัวเบากระโดดเพียงสี่ห้าก้าวก็ถึงตัวจางฮุ่ย ดาบแรกของคุณชายเกราะดำถาโถมลงอาศัยน้ำหนักตัวที่ทิ้งลงมา ดาบแรกนี้ไม่แฝงกำลังภายในแต่อย่างใด หากแต่เป็นการลองเชิง บุรุษในชุดนักศึกษาร่างใหญ่ขวางดาบรับการจู่โจมทันทีเสียงดาบปะทะดาบดังเคร้งกังวาลก้องทั่วบริเวณ กระเบี้องลั่นกราวบ่งบอกความหนักหน่วงในการประดาบครั้งนี้ โชคไม่ดีที่เท้าซ้ายของจางฮุ่ยจมลงใต้กระเบื้องที่แตกหัก งงงันอยู่วูบหนึ่ง บุตรชายใหญ่เจ้าสำนักไม่ปล่อยโอกาสอันดี กวัดแกว่งดาบเข้ามาด้วยความย่ามใจ จางฮุ่ยที่ยังถอนเท้าออกจากช่องแตกไม่สำเร็จละล้าละลังยิ่ง ซ้ำฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา เท้าข้างที่เหลือก็มิอาจช่วยทรงตัวได้มั่น
[ตอนต่อไป พายุไม่สงบ]