เพียงครึ่งใจ (บทที่ 33)
รถโฟร์วิลล์สามคันแล่นเลียงโคลงเครงกันมาบนถนนลูกลังกว้างเพียงรถสองคันสวน ทิวทัศน์ของระยะทางกว่าร้อยกิโลเมตรจากเนปิย์ดอนั้นสลับสับเปลี่ยน จากทุ่งนาเขียวขจียาวไกลสุดตา เป็นเนินทิวแถวเต็มด้วยป่าไม้สดสูงใหญ่
แดดยามบ่ายส่องสาดแสงแรงกล้าจนคนที่นั่งข้างคนขับต้องปาดเหงื่อหลายที แอร์ในรถกึ่งเก่ากึ่งใหม่ไม่ได้ช่วยผ่อนคลายความร้อนเลย
อนรรฆมองนาฬิกาข้อมืออีกที นึกอยากจะปิดตาลงเพราะอากาศและช่วงเวลาบ่ายของวันเสียมากกว่า
พลันเขาสะดุ้งผงะตัว เมื่อรถคันหน้าเบรกครืด ควันฝุ่นตลบจากท้องถนนทำให้มองเห็นเหตุการณ์ข้างหน้าไม่ชัด เสียงโหวกเหวกลั่นไม่เป็นศัพท์จากด้านนอกทำให้คนในรถหันซ้ายขวา
“ระวังตัว” ผู้คุ้มกันส่วนตัวที่นั่งมาด้วยในตอนหลังข้างสันติเตือน ก่อนจะรีบบอกกับคนขับรถเมื่อเสียงปืนดังขึ้น “รีบขับฝ่าไปเลย”
รถคันใหญ่วิ่งสะบัดหักเลี้ยวหลบกระสุนปืนที่กราดใส่ ความอลหม่านทำให้รถคันอื่นๆ ในขบวนชัดเชวิ่งชุลมุนไปคนละทิศทาง
อนรรฆรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่รถของเขาถลาลงข้างทาง แล่นกระแทกวิ่งหักหลบต้นไม้น้อยใหญ่ จนหยุดกึกเกยเนินเตี้ย ชายหนุ่มรู้สึกถึงความเหนียวเหนาะหนะที่หัว มือแตะลงบนความเหนียว ปรากฏเป็นเลือดแดงสดที่ค่อยไหลลงหยดหน้า ความตื่นเต้นตระหนกตกใจคลายความเจ็บปวด จนเขาไม่รู้สึกถึงบาดแผลนั่น
“เป็นไรไหมครับ” คนขับรถหันมาถามก่อนจะดันประตูรถเปิดออก
ความเร็วของชายชาวพม่าตัวเล็กนั้นพอๆ กับผู้คุ้มกันที่คอนโรจ้างมาใรราคาแพง
“ไหวไหม” ผู้มีหน้าที่คุ้มกันถาม มือชักปืนพกที่เหน็บอยู่ออกมา “รีบลงจากรถ ไปโน้น…”
ทางโน้นคือก้อนหินใหญ่บนเนินไม่สูงนัก
อนรรฆพยักหน้า…ไหว และสันติก็ไหวเช่นกัน
คอนโรมักจ้างคนที่มีประสบการณ์มากฝีมือมาสอนพนักงานที่ต้องประจำแท่นเจาะ หรืออยู่ในจุดเสี่ยงต่างๆ และคอนโรก็ยังจ้างผู้คุ้มกันฝีมือเยี่ยมมาดูแล
แต่ในเวลานี้แทบไม่มีอย่างไหนเป็นไปตามที่เคยฝึก โดยเฉพาะเสียงปืนกลที่สาดมาไม่หยุดจากบนเนิน
ให้เคยซักซ้อมเตรียมตัวมาแค่ไหน แต่การซ้อมก็ไม่เหมือนของจริง
อนรรฆรับปืนสั้นอีกกระบอก พร้อมซองปืนสำรองที่ผู้คุ้มกันชาวอังกฤษโยนให้เขา
“ยินใส่มัน”
คำสั่งจากผู้คุ้มกันทำให้เขาจำใจเล็ง…ยิง สองนัด สามนัด ยิงกัน ยิงเพื่อป้องกัน ไม่ต่างจากคนขับรถชาวพม่าที่มีปืนของตนเช่นกัน
จากหางตา อนรรฆเห็นว่าคนคุ้มกันกรอกเสียงรายงานใส่โทรศัพท์ดาวเทียม แล้วโยนโทรศัพท์นั้นให้เขาที่รับไปด้วยมือสั่นไหวๆ
“คุณเก็บเอาไว้ให้ดี รับสาย โทรฯ รายงานถ้าจำเป็น”
ว่าแล้วคนมีหน้าที่คุ้มกันก็รัวคำสั่งให้คนรถนำเขาและสันติไป โดยที่ตัวเองกำปืนยาวกระบอกใหญ่ไว้แน่น แล้วไหนจะลูกระเบิดขว้างอีก
เป็นครั้งแรกที่อนรรฆรู้…ขบวนรถของคอนโรจำต้องติดอาวุธขนาดนี้
“แล้วคุณล่ะ” เขาถามเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร พวกคุณรีบไป ไป!”
เมื่อนั้นทั้งสันติและคนรถต่างกึ่งจูงกึ่งลากให้เขาตามไป
ความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ศีรษะเริ่มออกฤทธิ์ ปวดจี๊ดคันแปลบ เจ็บจวนขาดใจ
แต่ในเวลานี้…อดทน
คนทั้งสามกึ่งวิ่งกึ่งเดิน ลากประคองกันมาอีกหลายชั่วโมง แต่เสียงปืนที่ไล่หลังยังคงดังทำให้หวาดหวั่น
จนกระทั่งทุกอย่างเงียบสงัด ไร้ซึ่งแม้เสียงยินนกร้อง เว้นแต่พริ้มลมโบกไหวๆ ที่ไม่นานก็สะบัดเร็วขึ้นราวพายุเข้า
ต้นไม้ใหญ่ที่ดูคล้ายเป็นที่หลบฝนอย่างดี กลับไม่ได้ให้ที่กำบังมิดชิด ฝนที่ตกเพียงไม่ถึงชั่วโมงก็ทำให้คนทั้งสามเปียกปอน
“สันติเป็นยังไงบ้าง” อนรรฆถามลูกน้องคนสนิท ที่เงียบมาตลอดทาง
“ไม่เป็นไร” คนตอบมองซ้ายขวา หวาดหวั่นด้วยความไม่แน่ใจ
คนทั้งสามหมอบนิ่งอีกครู่ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว จนในที่สุดสันติตัดสินใจลุกขึ้น
“จะไปไหน” อนรรฆถาม
“ผมขอไปดูว่าเป็นยังไง มีใครตามมาไหม”
“อย่าเลย อันตราย” คนเป็นนายเตือน
ทว่าอีกฝ่ายยังดึงดัน “ขอปืนให้ผม เดี๋ยวผมมา”
“ระวังตัวด้วย” คนเป็นนายยื่นปืนพกสั้นให้ ก่อนจะย้ำเสียงหนัก “รีบๆ กลับมาล่ะ เราต้องย้ายที่หลบ อีกอย่างตรงนี้ไม่มีสัญญาณดาวเทียม ติดต่อหาคอนโรไม่ได้”
ทว่าอีกฝ่ายไม่สนใจ ลุกขึ้นไปอย่างรวดเร็ว คนที่ตามด้วยความเป็นห่วงรู้สึกตาพร่าหน้ามืด เลือดสดยังไหลจากบาดแผลที่หัว และแม้ไม่เยอะเหมือนหลายชั่วโมงก่อนหน้า แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
คนรถของคอนโรชาวพม่าสละแขนเสื้อของตนเองฉีกเป็นผ้าซับให้ผู้เป็นเจ้านาย ก่อนจะคว้าปืนสั้นที่ที่ตัวเองเห็นบไว้ จับอย่างระแวดระวัง
อนรรฆตบบ่าอีกฝ่าย ดวงตาคล้ายบอกขอบคุณ
ใจคิดถึงผู้เป็นบิดา และคำสอนเมื่อครั้งแรกที่เขาต้องไปประจำที่แท่นเจาะกลางทะเลลึก
‘สติและความอดทน มีสองสิ่งนี้ ไม่ว่าเหตุการณ์น่ากลัวแค่ไหน ก็จะช่วยให้เราฝ่าไปได’
ในตอนนี้ เขาพยายามตั้งสติ ประคองตัวเองให้รับรู้…อย่าหลับ!
ความสงบของบ้านอันแสนร่มรื่นนั้นถูกทำลายโดยการวิ่งเข้าวิ่งออกของบรรดาคนสนิทของ…ท่าน มุ่งหน้าไปบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง ก่อนที่บาเต่งจะวิ่งหน้าตื่นกระหืดกระหอบตามไป
เสียงเอะอะสั่งการไม่ได้ศัพท์ จนนิหล่าต้องหันไปมองพี่สาวที่นั่งอยู่ด้วย
“เกิดอะไรขึ้น”
“คงมีเรื่องงานอะไรมั้ง”
“งานอะไร แล้วทำไมหน้าตาตื่นกันแบบนั้น”
ปรกติให้มีเหตุใหญ่น้อย แต่คนของท่าน มักเก็บความรู้สึก ไม่ตื่นเต้นตูมตามไปกับสถานการณ์ไหนง่ายๆ โดยเฉพาะบาเต่งเก็บความรู้สึก เก็บความคิด ภายใต้สีหน้านิ่งเสมอ
ทว่าคราวนี้ แม้แต่บาเต่งก็…หน้าตื่น จนสองคนพี่น้องสงสัยถึงกับต้องตามไปยังบ้านหลังใหญ่ที่ท่านใช้พักอาศัย
“น่าจะมีเรื่องอะไรสนุก”
มองก๊กหัวเราะบอกน้องสาวที่รีบพยักเพยิกหน้า
“ไปดูกันเหอะ”
สองคนพี่น้องมาจนถึงประตูใหญ่ของบ้านสไตล์วิคตอเรียหลังใหญ่ ทว่าผู้เป็นพ่อวิ่งตามหลังมา ไม่สนใจทั้งสองสาวแม้ว่าจะมีเสียงร้องทัก แล้วพลันรีบเข้าไปภายในบ้าน
แบบนี้…เรื่องใหญ่
และต้อง…ใหญ่มากทีเดียว
“เหมืองระเบิด หรือไม่ก็ต้องมีการปล้น” มองก๊กคาดเดา
“หรือว่าเรื่องสัมปทาน”
เอ่ยแค่นี้แต่ใจของเธอก็แผ่ว หวังว่าไม่ใช่
นิหล่าไม่เคาะประตูห้องรับรองที่ท่านมักใช้ประจำ
ไม่เคาะเพราะในเวลานี้เธอร้อนใจใคร่รู้ และมองก๊กก็ไม่ท้วงเตือนเพราะ…อยากรู้เช่นกัน
เสียงคนเดินทำให้คนที่หลบอยู่ทั้งคู่ไหวตัว ระแวดระวัง คนขับรถชาวพม่าจับปืนแน่นเล็งเตรียมยิง
“พี่นนท์ ผมเอง อย่ายิงนะ”
เสียงของสันติทำให้อนรรฆถอนหายใจโล่งอก เพียงแต่ว่าทันทีที่คนรถชาวพม่าลดปืนแล้วยืนขึ้นด้วยความวางใจ เสียงปืนจึงดังขึ้นหนึ่งนัดก่อนที่ร่างนั้นจะหงายหลังลงไป
ความตกใจ ผนวกความไม่คาดคิดตัวแข็งแน่นิ่ง อนรรฆไม่ได้กลัวหรือหวาดผวา
ทว่าเขาโกรธ ผิดหวังรุนแรง
สันติ…ลูกน้องคนสนิท เพื่อนร่วมงานที่ไว้ใจ
คนที่ดูเฮฮา ตลกไม่จริงจัง กลับทำได้ขนาดนี้
รู้หน้า ไม่รู้ใจ
“วางปืนลง” เสียงเย็นชาไร้แววเย้าแหย่เช่นเคย “อยากถามว่าทำไม?”
“ทำไม” คนถามไม่ซ่อนความผิดหวัง
“ก็เพราะคอนโรไม่ยุติธรรม”
“แล้วทำอย่างนี้ มันยุติธรรมเหรอ”
“ไม่มีทางเลือก”
“แกทำไปได้อย่างไร” สายตาแน่วแน่ของเขามองลำปืนที่จ่อหน้าอยู่
“มาถึงขั้นนี้ จะให้ทำอะไรๆ ก็ได้” ริมฝีปากของสันติเหยียด หมายความเช่นที่พูด “ตำแหน่งของแกมันควรเป็นของฉัน ฉันอายุมากกว่าแก สามปีก่อนตอนนั้นฉันเกือบจะได้ขึ้น แต่กลับต้องมาเป็นลูกน้อง แกได้ตำแหน่งนี้ก็เพราะแกประจบเก่ง เป็นคนโปรดของคริส ของไมค์ ไม่ใช่เพราะความสามารถ” คำบอกพรั่งพรูคับแค้นใจ “แม้แต่การไปอเมริกาฉันควรเป็นคนไป ทุกอย่างเตรียมพร้อม แต่แกได้ไปเพราะคริสสนับสนุน”
“ก็เลยจ้างคนมาดักขบวนของคอนโร ไม่ฉลาดเลยนะ”
“คนฉลาดคือคนที่ถือปืน”
“ต่อให้ฆ่าฉัน แกรอด แต่คิดเหรอว่าคอนโรจะไม่สอบสวน แล้วไหนจะเคเอ็มเอ็น และรัฐบาลพม่า เรื่องไม่จบง่ายๆ หรอก แค่เริ่มต้น”
“จบซิ…มันต้องจบ”
เสียงปืนดังขึ้น หากไม่ใช่นัดเดียว…สองนัด…สามนัด
ทว่าความตื่นตระหนกตกใจ ทำให้อนรรฆไม่รู้สึกเจ็บ ความคิดแล่นไปถึงพี่สาว และอา อีกทั้งละเมียดแววเข้ามา แล้วไหนห้วงความคิดที่ยังมีนิหล่า
เขาปลาบในความรู้สึกและความเป็นจริง เจ็บแสบเพราะแรงกระสุนที่ฝังเข้าไปที่หน้าอก แล้วไหนจะความทรงจำที่แจ่มจ้าไม่วาย แม้สติสัมปชัญญะของเขาริบหรี่ในทุกวินาทีที่ผ่าน
และแม้ว่าตาจะพร่า แต่เขาก็เห็นว่าร่างของสันติล้มกึกลงอยู่ตรงปลายเท้า
อนรรฆรู้สึกตัวเพราะบอร์ดี้การ์ดฝรั่งเขย่าเรียก บอกว่าต้องรีบย้ายที่
และให้ไม่ไหว แต่คนบาดเจ็บก็ต้องกัดฟัน…ไหว เขาพยุงตัวเกาะไหล่ฝรั่งเดินโซเซอย่างเร็ว…เท่าที่จะทำได้
นานเท่าที่จะทำได้
ไปให้ไกลเท่าที่จะไปได้
จนกระทั่งไม่ไหว เขาจึงทิ้งตัวลง มองแผลตรงหน้าอก และเลือดที่ไหลไม่หยุด
“คุณไป…” เสียงสั่งแผ่ว
แต่คนที่มีหน้าที่คุ้มกันส่ายหัว ยึดมั่นในหน้าที่ มองซ้ายขวาตรวจตรา ก่อนจะหยิบโทรศัพท์รับสัญญาณดาวเทียมจากคนเจ็บ
ให้ซุ่มหมอบแต่คนที่ชำนาญก็หาสัญญาได้ เสียงสนทนารายงานเบาหากชัดเจน ก่อนจะวางสาย
“ทนอีกนิด พวกเขาประสานกับทหารแล้ว กำลังมา”
หากคนบาดเจ็บพยักหน้า ปากและลำคอแห้ง แต่ความรู้สึกบางอย่างทำให้เขาขอ…โทรศัพท์
“ไม่นาน…” อนรรฆย้ำเพราะท่าทางลังเลของอีกฝ่าย
ข้างหน้าเป็นอย่างไรไม่รู้
โอกาส…จะมีอีกไหม เขาไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้เหลือโอกาสสุดท้าย
“นิหล่า…” เมื่อคนปลายสายไม่รับเสียที เขาจำต้องฝากข้อความ กัดฟันพูดให้ดังชัดที่สุด “ให้ในใจนิหล่าไม่มีผมแล้ว ให้นิหล่าหมดรักผมแล้ว ต่อให้นิหล่ารักริชาร์ดหรือใครอื่น แต่ผมก็ยังคิดถึง ยังรักนิหล่า รักเสมอ รัก…ในตอนนี้ แม้ว่าผมอาจไม่มีโอกาสกลับไปบอกนิหล่า…”
เรี่ยวแรงสุดท้ายที่ใช้กำมือถือไว้คลายออก ดวงตาพร่า ความรู้สึกเบาหวิว ไม่เจ็บ ไม่ปวดรวดร้าว
ไม่มีความรู้สึกอะไรอีกเลย
(ต่อ)
เพียงครึ่งใจ (บทที่ 33) โดย มานัส
รถโฟร์วิลล์สามคันแล่นเลียงโคลงเครงกันมาบนถนนลูกลังกว้างเพียงรถสองคันสวน ทิวทัศน์ของระยะทางกว่าร้อยกิโลเมตรจากเนปิย์ดอนั้นสลับสับเปลี่ยน จากทุ่งนาเขียวขจียาวไกลสุดตา เป็นเนินทิวแถวเต็มด้วยป่าไม้สดสูงใหญ่
แดดยามบ่ายส่องสาดแสงแรงกล้าจนคนที่นั่งข้างคนขับต้องปาดเหงื่อหลายที แอร์ในรถกึ่งเก่ากึ่งใหม่ไม่ได้ช่วยผ่อนคลายความร้อนเลย
อนรรฆมองนาฬิกาข้อมืออีกที นึกอยากจะปิดตาลงเพราะอากาศและช่วงเวลาบ่ายของวันเสียมากกว่า
พลันเขาสะดุ้งผงะตัว เมื่อรถคันหน้าเบรกครืด ควันฝุ่นตลบจากท้องถนนทำให้มองเห็นเหตุการณ์ข้างหน้าไม่ชัด เสียงโหวกเหวกลั่นไม่เป็นศัพท์จากด้านนอกทำให้คนในรถหันซ้ายขวา
“ระวังตัว” ผู้คุ้มกันส่วนตัวที่นั่งมาด้วยในตอนหลังข้างสันติเตือน ก่อนจะรีบบอกกับคนขับรถเมื่อเสียงปืนดังขึ้น “รีบขับฝ่าไปเลย”
รถคันใหญ่วิ่งสะบัดหักเลี้ยวหลบกระสุนปืนที่กราดใส่ ความอลหม่านทำให้รถคันอื่นๆ ในขบวนชัดเชวิ่งชุลมุนไปคนละทิศทาง
อนรรฆรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่รถของเขาถลาลงข้างทาง แล่นกระแทกวิ่งหักหลบต้นไม้น้อยใหญ่ จนหยุดกึกเกยเนินเตี้ย ชายหนุ่มรู้สึกถึงความเหนียวเหนาะหนะที่หัว มือแตะลงบนความเหนียว ปรากฏเป็นเลือดแดงสดที่ค่อยไหลลงหยดหน้า ความตื่นเต้นตระหนกตกใจคลายความเจ็บปวด จนเขาไม่รู้สึกถึงบาดแผลนั่น
“เป็นไรไหมครับ” คนขับรถหันมาถามก่อนจะดันประตูรถเปิดออก
ความเร็วของชายชาวพม่าตัวเล็กนั้นพอๆ กับผู้คุ้มกันที่คอนโรจ้างมาใรราคาแพง
“ไหวไหม” ผู้มีหน้าที่คุ้มกันถาม มือชักปืนพกที่เหน็บอยู่ออกมา “รีบลงจากรถ ไปโน้น…”
ทางโน้นคือก้อนหินใหญ่บนเนินไม่สูงนัก
อนรรฆพยักหน้า…ไหว และสันติก็ไหวเช่นกัน
คอนโรมักจ้างคนที่มีประสบการณ์มากฝีมือมาสอนพนักงานที่ต้องประจำแท่นเจาะ หรืออยู่ในจุดเสี่ยงต่างๆ และคอนโรก็ยังจ้างผู้คุ้มกันฝีมือเยี่ยมมาดูแล
แต่ในเวลานี้แทบไม่มีอย่างไหนเป็นไปตามที่เคยฝึก โดยเฉพาะเสียงปืนกลที่สาดมาไม่หยุดจากบนเนิน
ให้เคยซักซ้อมเตรียมตัวมาแค่ไหน แต่การซ้อมก็ไม่เหมือนของจริง
อนรรฆรับปืนสั้นอีกกระบอก พร้อมซองปืนสำรองที่ผู้คุ้มกันชาวอังกฤษโยนให้เขา
“ยินใส่มัน”
คำสั่งจากผู้คุ้มกันทำให้เขาจำใจเล็ง…ยิง สองนัด สามนัด ยิงกัน ยิงเพื่อป้องกัน ไม่ต่างจากคนขับรถชาวพม่าที่มีปืนของตนเช่นกัน
จากหางตา อนรรฆเห็นว่าคนคุ้มกันกรอกเสียงรายงานใส่โทรศัพท์ดาวเทียม แล้วโยนโทรศัพท์นั้นให้เขาที่รับไปด้วยมือสั่นไหวๆ
“คุณเก็บเอาไว้ให้ดี รับสาย โทรฯ รายงานถ้าจำเป็น”
ว่าแล้วคนมีหน้าที่คุ้มกันก็รัวคำสั่งให้คนรถนำเขาและสันติไป โดยที่ตัวเองกำปืนยาวกระบอกใหญ่ไว้แน่น แล้วไหนจะลูกระเบิดขว้างอีก
เป็นครั้งแรกที่อนรรฆรู้…ขบวนรถของคอนโรจำต้องติดอาวุธขนาดนี้
“แล้วคุณล่ะ” เขาถามเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร พวกคุณรีบไป ไป!”
เมื่อนั้นทั้งสันติและคนรถต่างกึ่งจูงกึ่งลากให้เขาตามไป
ความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ศีรษะเริ่มออกฤทธิ์ ปวดจี๊ดคันแปลบ เจ็บจวนขาดใจ
แต่ในเวลานี้…อดทน
คนทั้งสามกึ่งวิ่งกึ่งเดิน ลากประคองกันมาอีกหลายชั่วโมง แต่เสียงปืนที่ไล่หลังยังคงดังทำให้หวาดหวั่น
จนกระทั่งทุกอย่างเงียบสงัด ไร้ซึ่งแม้เสียงยินนกร้อง เว้นแต่พริ้มลมโบกไหวๆ ที่ไม่นานก็สะบัดเร็วขึ้นราวพายุเข้า
ต้นไม้ใหญ่ที่ดูคล้ายเป็นที่หลบฝนอย่างดี กลับไม่ได้ให้ที่กำบังมิดชิด ฝนที่ตกเพียงไม่ถึงชั่วโมงก็ทำให้คนทั้งสามเปียกปอน
“สันติเป็นยังไงบ้าง” อนรรฆถามลูกน้องคนสนิท ที่เงียบมาตลอดทาง
“ไม่เป็นไร” คนตอบมองซ้ายขวา หวาดหวั่นด้วยความไม่แน่ใจ
คนทั้งสามหมอบนิ่งอีกครู่ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว จนในที่สุดสันติตัดสินใจลุกขึ้น
“จะไปไหน” อนรรฆถาม
“ผมขอไปดูว่าเป็นยังไง มีใครตามมาไหม”
“อย่าเลย อันตราย” คนเป็นนายเตือน
ทว่าอีกฝ่ายยังดึงดัน “ขอปืนให้ผม เดี๋ยวผมมา”
“ระวังตัวด้วย” คนเป็นนายยื่นปืนพกสั้นให้ ก่อนจะย้ำเสียงหนัก “รีบๆ กลับมาล่ะ เราต้องย้ายที่หลบ อีกอย่างตรงนี้ไม่มีสัญญาณดาวเทียม ติดต่อหาคอนโรไม่ได้”
ทว่าอีกฝ่ายไม่สนใจ ลุกขึ้นไปอย่างรวดเร็ว คนที่ตามด้วยความเป็นห่วงรู้สึกตาพร่าหน้ามืด เลือดสดยังไหลจากบาดแผลที่หัว และแม้ไม่เยอะเหมือนหลายชั่วโมงก่อนหน้า แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
คนรถของคอนโรชาวพม่าสละแขนเสื้อของตนเองฉีกเป็นผ้าซับให้ผู้เป็นเจ้านาย ก่อนจะคว้าปืนสั้นที่ที่ตัวเองเห็นบไว้ จับอย่างระแวดระวัง
อนรรฆตบบ่าอีกฝ่าย ดวงตาคล้ายบอกขอบคุณ
ใจคิดถึงผู้เป็นบิดา และคำสอนเมื่อครั้งแรกที่เขาต้องไปประจำที่แท่นเจาะกลางทะเลลึก
‘สติและความอดทน มีสองสิ่งนี้ ไม่ว่าเหตุการณ์น่ากลัวแค่ไหน ก็จะช่วยให้เราฝ่าไปได’
ในตอนนี้ เขาพยายามตั้งสติ ประคองตัวเองให้รับรู้…อย่าหลับ!
ความสงบของบ้านอันแสนร่มรื่นนั้นถูกทำลายโดยการวิ่งเข้าวิ่งออกของบรรดาคนสนิทของ…ท่าน มุ่งหน้าไปบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง ก่อนที่บาเต่งจะวิ่งหน้าตื่นกระหืดกระหอบตามไป
เสียงเอะอะสั่งการไม่ได้ศัพท์ จนนิหล่าต้องหันไปมองพี่สาวที่นั่งอยู่ด้วย
“เกิดอะไรขึ้น”
“คงมีเรื่องงานอะไรมั้ง”
“งานอะไร แล้วทำไมหน้าตาตื่นกันแบบนั้น”
ปรกติให้มีเหตุใหญ่น้อย แต่คนของท่าน มักเก็บความรู้สึก ไม่ตื่นเต้นตูมตามไปกับสถานการณ์ไหนง่ายๆ โดยเฉพาะบาเต่งเก็บความรู้สึก เก็บความคิด ภายใต้สีหน้านิ่งเสมอ
ทว่าคราวนี้ แม้แต่บาเต่งก็…หน้าตื่น จนสองคนพี่น้องสงสัยถึงกับต้องตามไปยังบ้านหลังใหญ่ที่ท่านใช้พักอาศัย
“น่าจะมีเรื่องอะไรสนุก”
มองก๊กหัวเราะบอกน้องสาวที่รีบพยักเพยิกหน้า
“ไปดูกันเหอะ”
สองคนพี่น้องมาจนถึงประตูใหญ่ของบ้านสไตล์วิคตอเรียหลังใหญ่ ทว่าผู้เป็นพ่อวิ่งตามหลังมา ไม่สนใจทั้งสองสาวแม้ว่าจะมีเสียงร้องทัก แล้วพลันรีบเข้าไปภายในบ้าน
แบบนี้…เรื่องใหญ่
และต้อง…ใหญ่มากทีเดียว
“เหมืองระเบิด หรือไม่ก็ต้องมีการปล้น” มองก๊กคาดเดา
“หรือว่าเรื่องสัมปทาน”
เอ่ยแค่นี้แต่ใจของเธอก็แผ่ว หวังว่าไม่ใช่
นิหล่าไม่เคาะประตูห้องรับรองที่ท่านมักใช้ประจำ
ไม่เคาะเพราะในเวลานี้เธอร้อนใจใคร่รู้ และมองก๊กก็ไม่ท้วงเตือนเพราะ…อยากรู้เช่นกัน
เสียงคนเดินทำให้คนที่หลบอยู่ทั้งคู่ไหวตัว ระแวดระวัง คนขับรถชาวพม่าจับปืนแน่นเล็งเตรียมยิง
“พี่นนท์ ผมเอง อย่ายิงนะ”
เสียงของสันติทำให้อนรรฆถอนหายใจโล่งอก เพียงแต่ว่าทันทีที่คนรถชาวพม่าลดปืนแล้วยืนขึ้นด้วยความวางใจ เสียงปืนจึงดังขึ้นหนึ่งนัดก่อนที่ร่างนั้นจะหงายหลังลงไป
ความตกใจ ผนวกความไม่คาดคิดตัวแข็งแน่นิ่ง อนรรฆไม่ได้กลัวหรือหวาดผวา
ทว่าเขาโกรธ ผิดหวังรุนแรง
สันติ…ลูกน้องคนสนิท เพื่อนร่วมงานที่ไว้ใจ
คนที่ดูเฮฮา ตลกไม่จริงจัง กลับทำได้ขนาดนี้
รู้หน้า ไม่รู้ใจ
“วางปืนลง” เสียงเย็นชาไร้แววเย้าแหย่เช่นเคย “อยากถามว่าทำไม?”
“ทำไม” คนถามไม่ซ่อนความผิดหวัง
“ก็เพราะคอนโรไม่ยุติธรรม”
“แล้วทำอย่างนี้ มันยุติธรรมเหรอ”
“ไม่มีทางเลือก”
“แกทำไปได้อย่างไร” สายตาแน่วแน่ของเขามองลำปืนที่จ่อหน้าอยู่
“มาถึงขั้นนี้ จะให้ทำอะไรๆ ก็ได้” ริมฝีปากของสันติเหยียด หมายความเช่นที่พูด “ตำแหน่งของแกมันควรเป็นของฉัน ฉันอายุมากกว่าแก สามปีก่อนตอนนั้นฉันเกือบจะได้ขึ้น แต่กลับต้องมาเป็นลูกน้อง แกได้ตำแหน่งนี้ก็เพราะแกประจบเก่ง เป็นคนโปรดของคริส ของไมค์ ไม่ใช่เพราะความสามารถ” คำบอกพรั่งพรูคับแค้นใจ “แม้แต่การไปอเมริกาฉันควรเป็นคนไป ทุกอย่างเตรียมพร้อม แต่แกได้ไปเพราะคริสสนับสนุน”
“ก็เลยจ้างคนมาดักขบวนของคอนโร ไม่ฉลาดเลยนะ”
“คนฉลาดคือคนที่ถือปืน”
“ต่อให้ฆ่าฉัน แกรอด แต่คิดเหรอว่าคอนโรจะไม่สอบสวน แล้วไหนจะเคเอ็มเอ็น และรัฐบาลพม่า เรื่องไม่จบง่ายๆ หรอก แค่เริ่มต้น”
“จบซิ…มันต้องจบ”
เสียงปืนดังขึ้น หากไม่ใช่นัดเดียว…สองนัด…สามนัด
ทว่าความตื่นตระหนกตกใจ ทำให้อนรรฆไม่รู้สึกเจ็บ ความคิดแล่นไปถึงพี่สาว และอา อีกทั้งละเมียดแววเข้ามา แล้วไหนห้วงความคิดที่ยังมีนิหล่า
เขาปลาบในความรู้สึกและความเป็นจริง เจ็บแสบเพราะแรงกระสุนที่ฝังเข้าไปที่หน้าอก แล้วไหนจะความทรงจำที่แจ่มจ้าไม่วาย แม้สติสัมปชัญญะของเขาริบหรี่ในทุกวินาทีที่ผ่าน
และแม้ว่าตาจะพร่า แต่เขาก็เห็นว่าร่างของสันติล้มกึกลงอยู่ตรงปลายเท้า
อนรรฆรู้สึกตัวเพราะบอร์ดี้การ์ดฝรั่งเขย่าเรียก บอกว่าต้องรีบย้ายที่
และให้ไม่ไหว แต่คนบาดเจ็บก็ต้องกัดฟัน…ไหว เขาพยุงตัวเกาะไหล่ฝรั่งเดินโซเซอย่างเร็ว…เท่าที่จะทำได้
นานเท่าที่จะทำได้
ไปให้ไกลเท่าที่จะไปได้
จนกระทั่งไม่ไหว เขาจึงทิ้งตัวลง มองแผลตรงหน้าอก และเลือดที่ไหลไม่หยุด
“คุณไป…” เสียงสั่งแผ่ว
แต่คนที่มีหน้าที่คุ้มกันส่ายหัว ยึดมั่นในหน้าที่ มองซ้ายขวาตรวจตรา ก่อนจะหยิบโทรศัพท์รับสัญญาณดาวเทียมจากคนเจ็บ
ให้ซุ่มหมอบแต่คนที่ชำนาญก็หาสัญญาได้ เสียงสนทนารายงานเบาหากชัดเจน ก่อนจะวางสาย
“ทนอีกนิด พวกเขาประสานกับทหารแล้ว กำลังมา”
หากคนบาดเจ็บพยักหน้า ปากและลำคอแห้ง แต่ความรู้สึกบางอย่างทำให้เขาขอ…โทรศัพท์
“ไม่นาน…” อนรรฆย้ำเพราะท่าทางลังเลของอีกฝ่าย
ข้างหน้าเป็นอย่างไรไม่รู้
โอกาส…จะมีอีกไหม เขาไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้เหลือโอกาสสุดท้าย
“นิหล่า…” เมื่อคนปลายสายไม่รับเสียที เขาจำต้องฝากข้อความ กัดฟันพูดให้ดังชัดที่สุด “ให้ในใจนิหล่าไม่มีผมแล้ว ให้นิหล่าหมดรักผมแล้ว ต่อให้นิหล่ารักริชาร์ดหรือใครอื่น แต่ผมก็ยังคิดถึง ยังรักนิหล่า รักเสมอ รัก…ในตอนนี้ แม้ว่าผมอาจไม่มีโอกาสกลับไปบอกนิหล่า…”
เรี่ยวแรงสุดท้ายที่ใช้กำมือถือไว้คลายออก ดวงตาพร่า ความรู้สึกเบาหวิว ไม่เจ็บ ไม่ปวดรวดร้าว
ไม่มีความรู้สึกอะไรอีกเลย
(ต่อ)