สวัสดี เพื่อนๆเขียน นักอ่าน ทุกคนนะคะ
เพราะความจำสั้น แต่ความรักยาว ( ฮ่าๆๆๆๆ) เลยเพิ่งจะนึกได้ ว่า ยังไม่ได้ขอบคุณ ทุกๆคน
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านนะคะ
ขอบคุณจริงๆ
เรื่องก่อน
คุณ Psycho man ซึ้ง, คุณมาโซคิส ถูกใจ, คุณMareeraya ถูกใจ , คุณ lovereason ซึ้ง, คุณโค อัสดง ถูกใจ, คุณบ้านสายไหม ถูกใจ
คุณ Kdunagin ถูกใจ , คุณ Specters of Adikos ทึ่ง , คุณชนมนธรส ซึ้ง, คุณkinkan00 ทึ่ง,
คุณ CAN LIVE ถูกใจ , คุณmamahuhu ถูกใจ, +3
และเรื่องก่อนโน้น … คุณ kasareev ซึ้ง คุณ ปราณ ซึ้ง คุณ singkhone ซึ้ง คุณ เกสรผกา ซึ้ง
ขอบคุณ ทั้งคอมเม้นต์ และ โหวต ให้
ขอบคุณจริงๆค่ะ ซาบซึ้งอย่างบอกไม่ถูก
ที่เห็น..และเป็นอยู่
อนัตดา พุทธิกุล
และแล้ว ฉันก็กลับมาเยือนบ้านอีกครั้ง ทิ้งช่วงจากครั้งหลัง ปีครึ่ง ลงถ้าไม่วุ่นวาย เพราะการงาน และเรื่องส่วนตัว ฉันคงมาบ่อยๆ และคงจะอยู่นาน กว่าสองสามอาทิตย์ หรือ หนึ่งเดือน
แต่ไม่ว่า จะยุ่งเหยิง ทั้งเรื่องส่วนตัว หรือธุระกิจ ในที่สุด ฉันก็กลับมาบ้านจนได้
กิจกรรมของฉัน วันแรก ในบ้านเกิดเมืองนอน คือใส่บาตร
ฉันเชื่อใน เรื่องบุญเรื่องกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันฝังลึกมาแต่เด็ก ยายสอนฉันมาอย่างนั้น
ใส่บาตรเรียบร้อย ฉันก็ออกสำรวจ ถิ่นฐาน เพราะอยากรู้ ตอนที่ฉันไม่อยู่
ละแวกบ้าน ย่านที่ฉันเกิด และเติบโต มีอะไร เปลี่ยนแปลงไปบ้าง
ฉันเดินผ่านบ้านเรือน และร้านรวง ที่เก่าและทรุดโทรม ทั้งที่ครั้งหนึ่ง เมื่อฉันยังเด็ก
มันดูดีกว่านี้
ฉันเดินเลียบเข้าไปในซอยเล็กๆ ตรงข้ามกับซอยบ้าน เดินเรื่อยเข้าไปสุดซอย ก็ถึงแม่น้ำ ไปทรุดตัวนั่งลง ยังศาลาท่าน้ำ ..
มองสายน้ำที่ไหลเอื่อยตรงหน้า
ภาพวันวาร … ก็ผุดขึ้นมา
ฉันกับเพื่อน ที่เป็นเด็กตัวกระจ้อย พากันลงไปดำผุดดำว่าย จนตัวซีด ปากสั่น หากแม่ไม่มาเรียกให้ขึ้นจากน้ำ ฉันก็จะแหวกว่ายมันอยู่อย่างนั้น เพราะสำคัญผิด คิดว่าตัวเองเป็นปลา
แต่นั่น มันสมัยที่ฉันยังเด็ก และวลาช่วงนั้น มันล่วงเลยมาเนิ่นนาน
น้ำที่เคยใสเย็น ฉ่ำชื่น ตอนนี้กลับขุ่นคลัก อย่าว่าแต่จะลงไปอาบเลย แค่นั่งใกล้ๆยังได้กลิ่นน้ำเสียระเหย
และน้ำเสียนี่แหละ ได้กลายเป็นปัญหาเรื้อรัง ทำให้ชาวบ้าน ตั้งข้อสันนิษฐาน
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะโรงงานอุตสหกรรมที่ตั่งอยู่ริมน้ำ ปล่อยของเสีย ลงคลอง นั่นเป็นความคิดของชาวบ้าน
แต่ถ้าถามฉัน
ฉันสองจิตสองใจ…ห้าสิบๆ
ไม่แน่ มันอาจจะจะเป็นอย่างที่ชาวบ้านว่า หรือไม่ ก็เกิดจาก ธรรมชาติที่หมุนเวียนเปลี่ยนไป
ดูแต่แม่น้ำสายใหญ่ประไร ครั้งหนึ่งน้ำเคยไหลเอื่อย ล้นฝั่ง หากนานไปยัง ตื้นเขิน นี่นา
จากท่าน้ำ..
ฉันเดินลัดเลาะเข้าไปในซอยเล็กๆ ผ่านบ้านเรือน และร้านค้า ทะลุไปออกอีกซอยหนึ่ง ซึ่งพอพ้นซอยนั้นออกมา ก็เป็นถนน ติดกับถนน ตรงหน้า คือโรงเรียนประถม ที่ฉันเคยร่ำเรียน
อาคารสองชั้น เหมือนเดิมก็จริง แต่ภาคการศึกษาเปลี่ยนไป เมื่อก่อน มีแค่ ประถมหนึ่งถึงสี่
แต่ตอนนี้เพิ่มถึงชั้นมัธยม
ฉันไปยืนเกาะรั้วโรงเรียน มองผ่านรั้วเข้าไปข้างใน มองบรรดา ผู้อาวุโสหญิงชาย ที่กำลังออกกำลัง ร่ายรำมวยจีน อยู่ที่สนามปูนแข็งโปก ซึ่งครั้งหนึ่ง เคยเป็นสนามหญ้าเขียว นุ่ม
พอถึงหน้าฝน
น้ำจากคลองเล็กๆใกล้ๆ ก็ไหลทะลักเข้ามาในโรงเรียน ครูใหญ่ เกิดความคิดสร้างสรรค์ แทนที่จะรำฟ้อน

ู หรือ แข่งชักกระเย่อ ระหว่างสี ก็จัดให้ แข่งเรือ แทน
ฝีพายรุ่นจิ๋ว คัดหัวคัดท้าย พาเรือลำน้อย ที่ปัก ธงต่างสี จ้ำเอาๆ ไม่หายใจหายคอ มุ่งมั่นไปยังเส้นชัย ที่มีขนมห่อใหญ่เป็นรางวัล
ที่เห็น..และเป็นอยู่
เพราะความจำสั้น แต่ความรักยาว ( ฮ่าๆๆๆๆ) เลยเพิ่งจะนึกได้ ว่า ยังไม่ได้ขอบคุณ ทุกๆคน
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านนะคะ
ขอบคุณจริงๆ
เรื่องก่อน
คุณ Psycho man ซึ้ง, คุณมาโซคิส ถูกใจ, คุณMareeraya ถูกใจ , คุณ lovereason ซึ้ง, คุณโค อัสดง ถูกใจ, คุณบ้านสายไหม ถูกใจ
คุณ Kdunagin ถูกใจ , คุณ Specters of Adikos ทึ่ง , คุณชนมนธรส ซึ้ง, คุณkinkan00 ทึ่ง,
คุณ CAN LIVE ถูกใจ , คุณmamahuhu ถูกใจ, +3
และเรื่องก่อนโน้น … คุณ kasareev ซึ้ง คุณ ปราณ ซึ้ง คุณ singkhone ซึ้ง คุณ เกสรผกา ซึ้ง
ขอบคุณ ทั้งคอมเม้นต์ และ โหวต ให้
ขอบคุณจริงๆค่ะ ซาบซึ้งอย่างบอกไม่ถูก
ที่เห็น..และเป็นอยู่
อนัตดา พุทธิกุล
และแล้ว ฉันก็กลับมาเยือนบ้านอีกครั้ง ทิ้งช่วงจากครั้งหลัง ปีครึ่ง ลงถ้าไม่วุ่นวาย เพราะการงาน และเรื่องส่วนตัว ฉันคงมาบ่อยๆ และคงจะอยู่นาน กว่าสองสามอาทิตย์ หรือ หนึ่งเดือน
แต่ไม่ว่า จะยุ่งเหยิง ทั้งเรื่องส่วนตัว หรือธุระกิจ ในที่สุด ฉันก็กลับมาบ้านจนได้
กิจกรรมของฉัน วันแรก ในบ้านเกิดเมืองนอน คือใส่บาตร
ฉันเชื่อใน เรื่องบุญเรื่องกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันฝังลึกมาแต่เด็ก ยายสอนฉันมาอย่างนั้น
ใส่บาตรเรียบร้อย ฉันก็ออกสำรวจ ถิ่นฐาน เพราะอยากรู้ ตอนที่ฉันไม่อยู่
ละแวกบ้าน ย่านที่ฉันเกิด และเติบโต มีอะไร เปลี่ยนแปลงไปบ้าง
ฉันเดินผ่านบ้านเรือน และร้านรวง ที่เก่าและทรุดโทรม ทั้งที่ครั้งหนึ่ง เมื่อฉันยังเด็ก
มันดูดีกว่านี้
ฉันเดินเลียบเข้าไปในซอยเล็กๆ ตรงข้ามกับซอยบ้าน เดินเรื่อยเข้าไปสุดซอย ก็ถึงแม่น้ำ ไปทรุดตัวนั่งลง ยังศาลาท่าน้ำ ..
มองสายน้ำที่ไหลเอื่อยตรงหน้า
ภาพวันวาร … ก็ผุดขึ้นมา
ฉันกับเพื่อน ที่เป็นเด็กตัวกระจ้อย พากันลงไปดำผุดดำว่าย จนตัวซีด ปากสั่น หากแม่ไม่มาเรียกให้ขึ้นจากน้ำ ฉันก็จะแหวกว่ายมันอยู่อย่างนั้น เพราะสำคัญผิด คิดว่าตัวเองเป็นปลา
แต่นั่น มันสมัยที่ฉันยังเด็ก และวลาช่วงนั้น มันล่วงเลยมาเนิ่นนาน
น้ำที่เคยใสเย็น ฉ่ำชื่น ตอนนี้กลับขุ่นคลัก อย่าว่าแต่จะลงไปอาบเลย แค่นั่งใกล้ๆยังได้กลิ่นน้ำเสียระเหย
และน้ำเสียนี่แหละ ได้กลายเป็นปัญหาเรื้อรัง ทำให้ชาวบ้าน ตั้งข้อสันนิษฐาน
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะโรงงานอุตสหกรรมที่ตั่งอยู่ริมน้ำ ปล่อยของเสีย ลงคลอง นั่นเป็นความคิดของชาวบ้าน
แต่ถ้าถามฉัน
ฉันสองจิตสองใจ…ห้าสิบๆ
ไม่แน่ มันอาจจะจะเป็นอย่างที่ชาวบ้านว่า หรือไม่ ก็เกิดจาก ธรรมชาติที่หมุนเวียนเปลี่ยนไป
ดูแต่แม่น้ำสายใหญ่ประไร ครั้งหนึ่งน้ำเคยไหลเอื่อย ล้นฝั่ง หากนานไปยัง ตื้นเขิน นี่นา
จากท่าน้ำ..
ฉันเดินลัดเลาะเข้าไปในซอยเล็กๆ ผ่านบ้านเรือน และร้านค้า ทะลุไปออกอีกซอยหนึ่ง ซึ่งพอพ้นซอยนั้นออกมา ก็เป็นถนน ติดกับถนน ตรงหน้า คือโรงเรียนประถม ที่ฉันเคยร่ำเรียน
อาคารสองชั้น เหมือนเดิมก็จริง แต่ภาคการศึกษาเปลี่ยนไป เมื่อก่อน มีแค่ ประถมหนึ่งถึงสี่
แต่ตอนนี้เพิ่มถึงชั้นมัธยม
ฉันไปยืนเกาะรั้วโรงเรียน มองผ่านรั้วเข้าไปข้างใน มองบรรดา ผู้อาวุโสหญิงชาย ที่กำลังออกกำลัง ร่ายรำมวยจีน อยู่ที่สนามปูนแข็งโปก ซึ่งครั้งหนึ่ง เคยเป็นสนามหญ้าเขียว นุ่ม
พอถึงหน้าฝน
น้ำจากคลองเล็กๆใกล้ๆ ก็ไหลทะลักเข้ามาในโรงเรียน ครูใหญ่ เกิดความคิดสร้างสรรค์ แทนที่จะรำฟ้อน
ฝีพายรุ่นจิ๋ว คัดหัวคัดท้าย พาเรือลำน้อย ที่ปัก ธงต่างสี จ้ำเอาๆ ไม่หายใจหายคอ มุ่งมั่นไปยังเส้นชัย ที่มีขนมห่อใหญ่เป็นรางวัล