<Spoil> Shokugeki no Souma 17-19 (-สีสันที่ปกคลุมภูผา-,-เมล็ดแห่งไอเดีย-,จิตวิญญาณที่ส่องประกาย-)

กระทู้สนทนา
Shokugeki no Souma 17 -สีสันที่ปกคลุมภูผา-



-หน้าเปิดเป็นเอรินะกับเลขา

-เปิดตอนมาที่เมือนฟลอเรนซ์(ฟีเรนเซ่)ประเทศอิตาลี่ ทาคุมิในวัย13ปีกำลังตกใจที่ลุงของเขาบอกให้ทาคุมิไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น ซึ่งทาคุมิไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นที่ญี่ปุ่นด้วย ซึ่งลุงของทาคุมิได้อธิบายว่า โรงเรียนที่จะไป(โทสึกิ)เป็นโรงเรียนสอนทำอาหารแถวหน้าในระดับโลก อีกอย่างการไปฝึกฝนและเรียนรู้เทคนิคเพิ่มมันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ทาคุมิเลยหันไปถามอิซามิซึ่งเจ้าตัวก็บอกว่าถ้าพี่ชายไปตัวเขาก็จะตามไปด้วยเหมือนกัน

-หลังจากนั้นก็เป็นการเล่าประวัติของทาคุมิ ตัวเขากับน้องนั้นเป็นลูกครึ่งอิตาเลี่ยนกับญี่ปุ่น โดยมีพ่อเป็นชาวญี่ปุ่นและมีแม่เป็นคนอิตาลี่ ทาคุมิเริ่มช่วยงานครัวที่บ้านตั้งแต่อายุ5ขวบ หลังจากได้รับคำแนะนำจากลุง ตัวเขากับน้องชายก็ย้ายไปเรียนที่โทสึกิตอนมัธยมต้นปีที่2 โดยทาคุมิตั้งใจว่า จะเรียนรู้เทคนิคต่างๆและสร้างสรรค์อาหารอิตาเลี่ยนแบบพิเศษของตระกูลอัลดินี่ขึ้นมา และเขาจะไม่มีทางแพ้ใครหน้าไหนในรุ่นของเขาด้วย เพราะเขาเป็นคนที่เคยผ่านการทำงานจริงๆ(ในครัว)มาแล้ว หลังจากนั้นฉากจะตัดไปที่โซมะตอนปฐมนิเทศ หลังจากได้ยินคำพูดของโซมะที่ว่าจะไม่แพ้คนที่ไม่เคยยืนอยู่ต่อหน้าลูกค้าเด็ดขาด ก็ทำให้ทาคุมิตั่วสั่นก่อนจะนึกขึ้นมาทันทีว่า



ทาคุมิ - (นายกำลังจะบอกว่า...)
ทาคุมิ - (นายเป็น"มืออาชีพ"งั้นเหรอ?)
ว่าแล้วทาคุมิก็หยิบมีดรูปร่างประหลาดออกมา ทำให้ทุกคนในห้องถึงกับตกใจเพราะไม่เคยเห็นเครื่องครัวแบบนั้นมาก่อน
ทาคุมิ - (ในฐานะที่ฉันก็เป็นมืออาชีพ ฉันจะแพ้ไม่ได้!)

-ฮินาโกะเองพอเห็นอุปกรณ์ก็รู้ว่ามันคือ"เมซเซอร์ลูน่า"หรือที่มีความหมายว่าพระจันทร์เสี้ยวในภาษาอิตาเลี่ยนและเป็นเครื่องครัวชนิดหนึ่งในการทำอาหารอิตาเลี่ยนที่นิยมใช้กันด้วย (ปกติจะเอาไว้สับพวกสมุนไพรในอาหารอิตาเลี่ยน) ว่าแล้วทาคุมิก็ลงมือสับอย่างดุดันทันที

-ด้วยสกิลมีดของทาคุมิ ส่วนผสมเลยกลายเป็นPasteได้อย่างรวดเร็วไม่น่าเชื่อ(Paste - ข้นๆเหนียวๆหนืดๆ ว่าง่ายๆคือลักษณะเหมือนเป็นแป้งเปียก) หลังจากนั้นอิซามิก็พูดขึ้นมาว่า อีกเจ็ดนาที อกนกน้ำเป็ดน้ำจะสุก ทาคุมิเลยต่อว่าให้ทำซอสให้เสร็จภายในเดี้ยวนี้เลย ซึ่งอีก10วินาทีเขาจะสับส่วนผสมเสร็จ ซึ่งอิซามิก็เสริมว่า เขาเองก็พึ่งล้างของด้วยน้ำเสร็จเช่นกัน พอพูดจบทาคุมิก็นับถอยหลังพร้อมกับก็ยื่นมีดจันทร์เสี้ยวให้กับอิซามิ

-อิซามิรับมีดมาแล้วก็ทำการสับส่วนผสมต่อทันที ในขณะที่ทาคุมิเริ่มเทอะไรสักอย่างลงในชามผสมแล้วนำเอาส่วนผสมอื่นๆมาผสมให้เข้ากัน ยกอกเป็ดออกจากเตา หั่นแล้วราดซอสแต่งหน้าลงไป



-เมื่อเสร็จแล้วทั้งคู่จึงยกจานไปให้ฮินาโกะ รุ่นพี่เอ่ยชมว่าพวกเขามาเป็นคู่แรก ซึ่งทาคุมิก็บอกว่าความรวดเร็วก็เป็นจุดเด่นหนึ่งของอาหารอิตาเลี่ยน ส่วนคนอื่นๆก็ต่างพากันตะลึงว่า ทำไมถึงทำได้เร็วแบบนี้ทั้งๆที่เตรียมเป็ดด้วยแต่กลับทำอาหารเสร็จสมบูรณ์ออกมาในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ว่าแล้วก็โชว์อาหารของทาคุมิ มันคือ"อกนกเป็ดน้ำย่างกับเครื่องเทศตกแต่งด้วยซอสสีเขียว" (จะเห็นว่าอาหารของทาคุมิจะจัดจานตกแต่งแบบสไตล์ญี่ปุ่นอีกด้วย)

-ว่าแล้วทาคุมิก็เอ่ยขึ้นว่า "Buon Appetito" (ทานให้อร่อย) ซือเจ๊ฮินาโกะเลยคีบเข้าปากชิมทันที ซึ่งเจ๊ก็คิดขึ้นมาทันทีที่ได้สัมผัสว่า นกเป็ดน้ำมีกลิ่นหอมแรงที่พอทานแล้วทำให้อารมณ์รู้สึกพลุ่งพล่าน แล้วไหนจะมีกลิ่นหอมสดชื่นที่ทำให้กลิ่นรสของนกเป็ดน้ำเด่นชัดขึ้นมาอีก เมื่อกลืนลงไปแล้วความอร่อยของมันก็ยังสัมผัสได้ดุจนกเป็ดน้ำส่งเสียงออกมาจากส่วนที่ลึกที่สุดของกระเพาะ ไม่ต่างอะไรจากการยืนเคียงคู่อยู่กับนกเป็ดน้ำชายที่ร้องรำอุปรากรไพเราะอยู่



ฮินาโกะ - (ถ้านกเป็ดน้ำนี้จะเป็นแบบนี้...)
ฮินาโกะ - (อยากให้มาโอบกอดร่างฉันจริงๆ)

-ขณะเดียวกันตัวประกอบเมื่อเห็นซอสของทาคุมิก็เลยเอ่ยออกมาว่า นั้นมันคือ "ซัลซ่าเวเด้" นิน่า (แปลตรงตัวก็คือซอสสีเขียว) พร้อมกับคำอธิบายซอสตัวนี้ มันคือซอสพื้นฐานในอาหารอิตาเลี่ยนที่ทำจากปลาแองโชวี่หมัก พาสเล่ย์และส่วนผสมอื่นๆนำมาสับรวมกัน มักนำมาใช้ตกแต่งและกินกับเนื้อสัตว์หรือผักที่ผ่านกรรมวิธีอบหรือย่าง (หลักๆของซอสตัวนี้คือพาสเล่ย์ครับ ทานเข้าไปจะทำให้รู้สึกสดชื่นเลยเข้ากับอาหารย่างหรืออบที่มีกลิ่นหอมอบอวนเพื่อช่วยชูรส) ซึ่งบรรดาตัวประกอบก็คัดค้านว่าใช้ซอสแบบนี้มันไม่ใช่อาหารญี่ปุ่นซะหน่อย ทำอาหารออกมาผิดกติกาแบบนี้อาจจะทำให้ถูกตัดสิทธิ์ได้ แต่ฮินาโกะก็บอกว่า ซอสตัวนี้เป็นข้อยกเว้น เพราะไม่ได้ใช้แองโชวี่หมักแต่ใช้ปลาอายุหมักแบบอุรากุ(คือหมักปลาทั้งไส้และไข่ปลา)เป็นวัตถุดิบหลัก แต่ปกติแล้วการจะหมักอุรากุต้องหมักอย่างน้อย1สัปดาห์ แต่ทาคุมิมีวิธีการเตรียมที่รวดเร็วกว่านั้น ซึ่งทาคุมิก็ยอมรับ ก่อนฮินาโกะจะอธิบายต่อว่า พวกทาคุมิเริ่มจากการล้างไส้ปลาอายุด้วยน้ำให้สะอาดก่อนจะนำไปต้มในสาเกสองนาทีจากนั้นเติมมิริน โชยุแล้วก็เกลือลงไป ซึ่งสิ่งนั้นจะช่วยลดความขมของซอสลงได้และทำให้มีรสชาติเหมือนกับอุรากุ

-นักเรียนคนอื่นได้ยินแบบนั้นก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่า มีวิธีแบบนี้อยู่ด้วย แต่ฮินาโกะก็บอกว่ายังไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะ เพราะพวกทาคุมิยังได้ใช้ชิโสะ(พืชมีกลิ่นฉุนชนิดหนึ่งใช้ในการประกอบอาหารญี่ปุ่น อุดมไปด้วยวิตามินและมักนำมาจัดแต่งจานปลาดิบ)กับต้นหอมแทนพาสเล่ย์ทำให้มีสีเขียวใกล้เคียงกับพาสเล่ย์และยังมีกลิ่นหอมสดชื่นใกล้กัน และของที่ใช้แทนกระเทียมที่มักจะไม่นิยมใช้ในอาหารญี่ปุ่นคือยูสุโคชู(เครื่องปรุงแบบpasteชนิดหนึ่งของญี่ปุ่นที่ได้จากการผสมเปลือกส้มยูซุกับพริก) ซึ่งทาคุมิก็ชิงพูดต่อทันทีว่า และทั้งหมดนั้นก็เข้ากันได้ดีกับอุรากุที่พวกเขาทำด้วย จะว่าไปมันก็คือซัลซ่าเวเด้ฉบับญี่ปุ่นนั้นเอง ได้ยินแบบนั้นนักเรียนคนอื่นๆต่างพากันบ่นทันที ไม่ว่าจะรู้สึกน่ากินตั้งแต่เห็นวัตถุดิบเอย หรือสามารถเอาวัตถุดิบในภูเขาแห่งนี้หลายอย่างมาสร้างสรรค์อาหารได้อย่างน่าสนใจ เป็นต้น ซึ่งฮินาโกะเองก็คิดขึ้นมาในใจถึงเรื่องความต่างของทาคุมิกับนักเรียนคนอื่นว่า ที่อิตาลี่ไม่เหมือนกับญี่ปุ่น คนที่นั้นมีกรรมวิธีการปรุงอาหารด้วยการใช้เนื้อสัตว์มาตั้งแต่ยุคโบราณ และในภูมิภาคที่ทาคุมิเติบโตมาในบางฤดูจะนิยมล่าเป็ด กระต่ายหรือหมูป่ามาทำเป็นอาหารอีกด้วย ทาคุมิเองก็คงได้เรียนรู้การปรุงเป็ดหรือการแล่เป็ดมาอย่างเต็มที่เลยแน่ๆ

-ฮิโนโกะยังนึกต่ออีกว่า แล้วการที่ทาอกเป็ดด้วยโชยุ มัสตาร์ด พริกไทยดำและน้ำผึ้งก็ทำให้มีกลิ่นหอมนั้นติดไปด้วยในตอนที่อบ และกลิ่นนั้นยังไปด้วยกันได้กับซอสที่พวกเขาทำ เรียกได้ว่าสองพี่น้องอัลดินี่มีความรู้ในเรื่องของอาหารญี่ปุนอย่างลึกซึ้งและสามารถนำมาประยุกต์ดัดแปลงให้เข้ากับไสตล์ตัวเองและสร้างจานอาหารญี่ปุ่นที่น่าตื่นตาออกมาได้ ว่าแล้วเธอก็ประกาศให้ทาคุมิกับอิซามิผ่านการทดสอบ เมงุมิที่ดูเหตุการณ์อยู่นั้นก็คิดขึ้นมาว่า ทาคุมิสามารถทำอาหารจานพิเศษได้อย่างรวดเร็วและน่าทึ่งแถมยังสามารถใช้วัตถุดิบที่ถูกกำหนดหรือมีอย่างจำกัดได้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดอีก...



เมงุมิ - (คนคนนี้เหมือนกับโซมะคุงเลย)

-ว่าแล้วทาคุมิก็เดินเข้ามาหาโซมะแล้วถามว่า ฉันยังไม่เห็นนายเริ่มลงมือทำเลย คิดจะทำอะไรล่ะ? ฮินาโกะเห็นทั้งคู่ดังนั้นเลยเอ่ยออกไปว่า ดูเหมือนพวกเธอจะอยากแข่งกันอยู่สินะ ตอนแรกฉันห้ามเอาไว้แต่ถ้าเกิดพวกเธอสามารถทำจานที่รสชาติพอๆกันแบบนี้(หมายถึงจานของทาคุมิ)ออกมาได้ฉันจะตั้งกฎพิเศษขึ้นมาให้ตัดสินระหว่างพวกเธอสองคนก็ได้นะ ได้ยินแบบนั้นทาคุมิเลยออกอาการทันที ได้ยินแล้วสินะยูกิฮิระซึ่งโซมะก็ตอบว่า แน่นอนเข้ามาเลย ซึ่งฮินาโกะก็บอกว่ากฎพิเศษก็คือคนที่แพ้จะต้องคุกเข่าให้กับคนชนะ ทำเอาทั้งคู่ถึงกับอึ้งไปเลย ก่อนที่ฮินาโกะจะพูดเสริมไปอีกว่า แล้วก็ต้องพูดว่า"ผมยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว"ติดกันสามครั้งอีกด้วยนะ ถ้ากล้าเอาชื่อร้านตัวเองมาเดิมพันการลงโทษแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรเลยสักนิด ออ แต่ทาโดโคโระ เมงุมิจังไม่ต้องคุกเข่าด้วยหรอกนะ (ว่าแล้วซือเจ๊ฮินาโกะก็ไปจับมือชมนิ้วเมงุมิ จนเจ้าตัวกลัวตัวสั่นงงๆพลางคิดว่า คนคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว)

-ว่าแล้วทาคุมิก็ชี้นิ้วท้าโซมะทันทีเลยว่า ถ้าคิดว่าสามารถทำจานที่ยอดเยี่ยมกว่านี้ได้ก็ลองไปทำมาดูสิ ก่อนที่โซมะจะเริ่มคิด แน่นอนว่าทาคุมิไม่ได้เก่งแต่ปากแต่ความสามารถในการสรรหาวัตถุดิบและการปรุงของหมอนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เขาต้องใช้ความคิดให้มากกว่านี้ คิดสิว่าจากทั้งหมดที่สามารถหาได้อะไรคือจานที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เขาจะสามารถทำได้

-ว่าแล้วโซมะก็นึกอะไรขึ้นมาได้จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา สีหน้าของโซมะเปลี่ยนไปทันทีจนทาคุมิยังตะลึง

-โซมะสั่งเมงุมิให้ออกไปหาของสำหรับตกแต่งมาทันที พร้อมถามเธอว่าเธอสามารถหาได้ใช่ไหม? ซึ่งเมงุมิก็ตอบรับว่าที่บ้านเกิดเธอ เธอเคยหาพวกพืชป่าอยู่ น่าจะไม่มีปัญหาอะไร พร้อมกับที่เมงุมิถามโซมะกลับว่าแล้วโซมะจะไปทำอะไรล่ะ โซมะก็ตอบว่ามีของอย่างหนึ่งที่เขาต้องไปหามาก่อน พร้อมกับหันกลับไปถามเจ๊ฮินาโกะอีกรอบว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถหาได้ สามารถใช้เป็นวัตถุดิบได้หมดเลยใช่ไหม?



-ซึ่งเจ๊ฮินาโกะก็ตอบออกมาว่า แน่นอนอะไรก็ได้ที่อยู่ในเขตรั้วสามารถนำมาใช้ได้หมด ว่าแล้วโซมะก็เลยคว้าอะไรอย่างหนึ่งขึ้นมาทันที

โซมะ - เจ้านี้แหละที่จะเป็นวัตถุดิบหลักของอาหารของฉัน!

ว่าแล้วพอทุกคนเห็นของที่โซมะเอาขึ้นมาก็ถึงกับตะลึงกันหมด ของสิ่งนั้นก็คือ?

จบตอน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่