เพียงครึ่งใจ (บทที่ 25)
“แล้วคุณรักใครล่ะมะนิหล่า”
คำถามตรงๆ กลั้วหัวเราะเยาะหยันทำให้คนถูกถามมองเขาตาเขม็ง ก่อนที่เธอจะเบี่ยงหน้าเสมองออกไปนอกหน้าต่างยังเครื่องบินที่พลัดกันเข้าออกชานชาลา
หญิงสาวผ่อนลมหายใจยาว สะกดความรู้สึกทุกอย่าง ก่อนจะบอกอย่างชัดถ้อยชัดคำ “คุณไม่จำเป็นต้องรู้หรอก”
“ว่าที่สามีของคุณ หรือว่าฝรั่งเมื่อกี้” การคาดคั้นของเขาแจ่มชัดด้วยหางเสียงถากถาง “หรือว่าผู้ชายที่คุณเคยถึงกลับต้องตามไปง้อเขาตอนโน้น หรือใครก็ได้ ที่คุณเจอระหว่างการเดินทาง ผมน่าจะดูออกว่าคุณเป็นคนแบบไหนนะ เสียดายตอนนั้น…”
เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น ทำให้อนรรฆสะดุ้ง ไม่ต่างจากหญิงสาวที่มองเขาด้วยสายตาผิดหวัง...เจ็บปวด
“สวัสดีจ้ะทราย…” เสียงที่เคยถากถางคนที่อยู่ใกล้ตัว พลันเปลี่ยนเป็นอ่อนหวานสดใส “รอเครื่องอยู่ที่ซานฟรานฯ จ้ะ แล้วนี่ทำไมยังไม่นอนจ๊ะ ตีสี่แล้วนะที่โน่น”
การสนทนาของเขา น้ำเสียงเป็นกันเองฟังดูมีชีวิตชีวา ไร้ร่องรอยอ่อนล้า แกมขื่นๆ ไร้ถ้อยคำประชดประชันที่เคยมีก่อนหน้านี้ ทำให้นิหล่าตัดสินใจลุกขึ้น ไปไหนก็ได้ ให้ไกลจากตรงนี้
มือของเธอจับที่ลากกระเป๋าไว้แน่น เดินไปเรื่อยๆ จนสุดทางที่คึกคันด้วยผู้คน แวะร้านโน้นเข้าร้านนี้ จงใจฆ่าเวลา
ผ่านมาอีกทีก็เห็นว่า…เขาอยู่ที่ร้านช็อคโกแลต เลือกซื้อหลายอย่างจนเต็มตะกร้าเล็กที่ถือ
อนรรฆ…ก็ยังเป็นอนรรฆ สามารถเรียกรอยยิ้มและความเป็นกันเองจากคนขายที่เป็นสุภาพสตรีวัยเลยกลางคนได้ และคนขายไม่เพียงช่วยเขาจัดของวางในกระเป๋าลากของเขา หากยังสมนาคุณด้วยของแถมอีกสองสามชิ้น
“ช็อคโกแลตร้านนี้มีชื่อ แม้ช็อคโกแลตนี่จะมีขายตามร้านค้าในเมืองอื่นๆ แต่ร้านที่ซานฟรานฯ มีให้เลือกหลายรสกว่า สนใจไหม” เขาพูดไปหน้าตาเฉย ราวว่าไม่มีการสนทนา หรืออาการทางอารมณ์หาเรื่องใดๆ ก่อนหน้านี้
“ไม่” ว่าแล้วนิหล่าก็เดินตรงไปยังบริเวณรอขึ้นเครื่องทันที
และเมื่อเจ้าหน้าที่ประกาศให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่อง นิหล่าก็ไม่ลังเลที่จะเดินเข้าไป โดยไม่หันไปดูว่าเขาตามมาหรือไม่
อนรรฆไม่ได้ตามหลังมาติดๆ แต่เขาก็มาทันที่จะช่วยเธอยกกระเป๋าลากเข้าเก็บในช่องด้านบน แล้วจึงยกกระเป๋าของเขาขึ้นเก็บเช่นกัน
“แลกที่กันไหมนิหล่า” เขาถามดวงหน้าแจ่มใส ดวงตายิ้มพราว แล้วนั่งลงข้างอีกฝ่าย จัดแจงรัดเข็มขัดที่นั่ง “ใครเขาจองที่ให้นั่งริมหน้าต่างให้คุณนะ”
ถ้าแบบนี้ แสดงว่าเขาจำได้ว่าเธอ…กลัวความสูง
หากนิหล่าส่ายหน้า ใจ…ยังนึกเคืองไม่หายกับคำพูดของเขาเมื่อกี้ เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เพราะอะไร?
เพราะว่าเขาคุยกับคนที่โทรฯ มาหานั่นหรือ
หญิงสาวมองเพียงหาตาเห็นเขาหยิบนิตยสารออกมาจากกระเป๋าผ้าแบบสะพายที่มีรวดลายสะดุดตา ก่อนจะรับน้ำดื่มที่พนักงานยกมาเสิร์ฟ
“ป้าที่ร้านช็อคโกแลตชอบแถมกระเป๋าให้ผมประจำ และผมก็ได้ใช้ทุกทีเพราะตอนต่อเครื่องก็เอาไว้ใส่นิตยสารบ้าง หนังสือบ้าง โน๊ตบุ๊คบ้าง ไม่ต้องลุกขึ้นลุกลงไปเอามาจากกระเป๋าโน่น” คนพูดทำท่าชี้ไปยังที่เก็บของเหนือศีรษะ “อยากอ่านอะไรก็บอกนะ ผมมีหลายเล่ม หรือถ้าจะคุยเรื่องที่จะประชุมพรุ่งนี้ก็ได้”
ทว่าไม่มีคำตอบใดๆ เช่นเคย จนเขาถอนหายใจ ก่อนหยิบนิตยสารเล่มหนึ่งมาเปิด จนกระทั่งเครื่องบินโดยสารค่อยๆ ถอยออกจากชานชาลา แล้ววิ่งช้าๆ บนทางราบ จนมาหยุดกึกใหญ่
เมื่อนั้น นิหล่าประสานมือตัวเองไว้แน่น หันไปมองนอกหน้าต่างเพียงแวบ แล้วจึงหันกลับมามองยังพนักของเบาะข้างหน้า ก่อนจะหลับตาสนิท
มือเล็กเย็นชุ่มเมื่อเครื่องบินวิ่งด้วยความเร็ว ก่อนทะยานตัวเหินสู่ท้องฟ้า
“ขอโทษนะนิหล่า”
เสียงของคนที่นั่งข้างๆ แว่วกระซิบข้างหูของเธอ ก่อนมือที่กุมกันแน่นจะรู้สึกถึงการกุมของมือใหญ่อุ่นๆ บีบเบาๆ
แม้ว่ายังคงหลับตา แต่นิหล่าก็หันหน้าออกนอกหน้าต่าง…นิ่ง ไม่หันกลับมา แม้ว่าเครื่องจะคงระดับแล้ว และมือของเขาได้คลายออกไป
การเดินทางอีกสามชั่วโมงกว่าที่จะไปถึงเมืองฮูสตันนั้นเหมือนนาน ชั่วกัปชั่วกัลป์ โดยเฉพาะเมื่อต้องฟังเสียงของเขาที่แว่วเข้ามา
“หิวไหม เขามีอาหารเสิร์ฟเราด้วยนะ” หรือไม่ก็ “ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าหลับ เดี๋ยวคืนนี้จะนอนไม่ได้”
ทว่าหญิงสาวทำคล้ายว่าไม่ได้ยินคำบอกเหล่านั้น เธอไม่กินอะไร และนั่งหันหน้าออกหน้าต่างหลับตา สะกดความรู้สึกทั้งมวล จนกระทั่งหลับไปจริงๆ
หากใบหน้าที่มีรอยยิ้มวาววับของเขายังคงล่องลอยมากับความทรงจำ ในความฝันสั้นๆ แล้วไหนจะเสียงทุ้มนั่น อีกทั้งมืออุ่นๆ ของเขา ที่เธอรู้สึกได้ในตอนนี้
“นิหล่า…ตื่นเถอะ”
มือของเขาแตะเบาๆ บนมือข้างหนึ่งของเธอเป็นการเรียก รอยยิ้มแจ่มชัดปรากฏบนใบหน้าคม ยามที่เธอลืมตาขึ้นมา
“เครื่องกำลังเข้าจอดแล้ว”
คำบอกของเขาทำให้หญิงสาวสะดุ้งตะลึงงัน ความง่วงหายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อมองออกนอกหน้าต่าง
แสงอาทิตย์ที่กำลงลาลับขอบฟ้าปรากฏให้เห็นเพียงไรสลัวภายใต้เมฆทึบ แตกต่างชัดเจนจากความสว่างด้วยไฟจ้าของห้องโดยสารของเครื่องบิน
นิหล่าหันไปมองคนที่นั่งข้างๆ ที่บัดนี้กำลังคุยอยู่กับที่นั่งอยู่อีกฟากของทางเดิน และเมื่อเสียงสัญญาณดังขึ้น ผู้โดยสารส่วนใหญ่จึงพร้อมใจกันปลดเข็มขัดนิรภัย ลุกขึ้นหยิบสัมภาระของตน
ท่าทางของเขาที่จัดแจงยกเอากระเป๋าทั้งสองใบลงมานั้นคล่องแคล่ว ต่างจากเธอที่ยังงัวเงียเพราะเพิ่งตื่น การจะลุกจะเดินออกไปนั้นช้ากว่าเขานัก จนคนร่างสูงต้องหยุดหลายครั้งเพื่อรอ หากนิหล่าก็เลือกที่จะไม่…ตาม ไม่แม้แต่จะเดินข้างเขา
ร่างอรชรเดินผ่านเขาไป ไม่สนใจ เพียงแต่ว่า นี่เป็นการเดินทางมาอเมริกาครั้งแรก และถือว่าเป็นการเดินทางนอกประเทศ ‘คนเดียว’ ครั้งที่สองหลังจากเมื่อคราสิงคโปร์หลายปีก่อนโน้น ดังนั้น ความไม่ชำนาญ ไม่คล่อง และไม่คุ้น ทำให้เธอลังเลเมื่อมาถึงทางแยก
“กระเป๋าเราอยู่ที่สายพานด้านโน้น” เสียงทุ้มอ่อนโยนที่บอกแสดงว่าเขาตามมาทันเช่นเคย “มันเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องดูแลคุณตลอดทริปนี้ ถ้าคุณจะหนีผมไปอีก อย่างน้อยก็ขอให้งานของเราเสร็จก่อน ถือว่าผมขอร้องได้ไหมนิหล่า”
การเรียกชื่อ…ละมุนด้วยความรู้สึก
ทว่านิหล่าไม่ตกลงหรือปฏิเสธ เธอเดินไปทางที่เขาชี้ก่อนหน้า การก้าว…ช้า ไม่ได้รีบหนี รับรู้เพียงว่าเขาเดินตามหลังมา และหยุดรอเยื้องๆ ข้างหลังเมื่อเธอหยุดยืนนิ่งหน้าสายพาน
จากหางตาเธอเห็นว่าเขาเดินไปเอารถเข็นที่อยู่ในแถวเรียงเป็นระเบียบ ก่อนจะกลับมา
ใช้เวลาไม่นานกระเป๋าใบแรกของเธอก็ออกมา อนรรฆปรี่เข้าไปช่วยยก เอากระเป๋าใบใหญ่ของเธอวางลง แล้วตามด้วยกระเป๋าสีดำของเขา
เมื่อกระเป๋าอีกใบของเธอมา เขาก็ยกมันวางบนรถเข็น ก่อนจะวางทับด้วยกระเป๋าลากใบเล็กที่เธอได้ถือขึ้นเครื่อง และกระเป๋าลากเล็กของเขาที่ถูกวางบนช่องตะกร้าของรถเข็น ก่อนจะจัดแจงเข็นรถเดินนำออกมาอีกด้าน
“รอผมอยู่ตรงนี่นะนิหล่า ผมจะไปเอารถที่จุดเช่ารถ ไม่เกินครึ่งชั่วโมงจะมารับ”
“ทำไมไปด้วยไม่ได้”
“ต้องต่อรถบัสไปจุดเช่ารถ กระเป๋าเราเยอะ ยกขึ้นขนลงรถบัสคงไม่สะดวกนัก” อนรรฆบอกเช่นนั้น ซึ่งคนฟังก็สังเกตอยู่หรอกว่า เขาพูดว่า เรา…ไม่ใช่เธอ “คุณรออยู่แถวนี้ แล้วเดี๋ยวผมมารับทีเดียว ไม่เกินครึ่งชั่วโมง นั่นรถมาแล้ว”
เขายกกระเป๋าสีดำของตนจากรถเข็น แล้วดึงที่ลากกระเป๋าขึ้น เสียบกระเป๋าลากที่ใส่เอกสารและเครื่องโน๊ตบุ๊คข้างบน
“รอผมอยู่นี่นะ นิหล่า” อนรรฆไม่วายย้ำ
วิธีการลากของคนที่สาวเท้าอย่างเร็วไปยังจุดขึ้นรถรับส่งนั้น ไม่ผิดเพี้ยนไปจากที่นิหล่าเคยแอบเห็นเขาเมื่อสามปีก่อน เห็นว่าเขาเดินไปมาตลอดอาคารผู้โดยสาร มองซ้ายขวา จนเธอต้องนึก…เขาหาใคร
คงไม่ใช่เธอเป็นแน่
ตอนนั้นเธอนั่งหลบมาอีกด้าน หวังว่าเขาจะเห็นแล้วเดินเข้ามาหา
ตอนนั้นเธอวุ่นกับการพยายามติดต่ออองเมียทตู
ตอนนั้นเธอหงุดหงิด เพราะทัศนีย์ที่ติดต่อหาอนรรฆ
เด็ก…อนรรฆเห็นเธอเป็นเด็ก แถมยังบอกตามตรงเช่นนั้นกับทัศนีย์
เพียงแต่ว่า คืนนั้น เมื่อได้พบเขาที่สนามบินอีกครั้ง ความวุ่นวาย อาการหงุดหงิดก็พลันคลายลง
ที่เคยร้องไห้เพราะรู้สึกไร้ที่พึ่งที่ไปนั้นจางเบาบาง
โอกาส…เมื่อมี ก็ควรคว้าเอาไว้
ตอนนั้นเธอคว้า จับมั่น นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
(ต่อ)
เพียงครึ่งใจ (บทที่ 25) โดย มานัส
“แล้วคุณรักใครล่ะมะนิหล่า”
คำถามตรงๆ กลั้วหัวเราะเยาะหยันทำให้คนถูกถามมองเขาตาเขม็ง ก่อนที่เธอจะเบี่ยงหน้าเสมองออกไปนอกหน้าต่างยังเครื่องบินที่พลัดกันเข้าออกชานชาลา
หญิงสาวผ่อนลมหายใจยาว สะกดความรู้สึกทุกอย่าง ก่อนจะบอกอย่างชัดถ้อยชัดคำ “คุณไม่จำเป็นต้องรู้หรอก”
“ว่าที่สามีของคุณ หรือว่าฝรั่งเมื่อกี้” การคาดคั้นของเขาแจ่มชัดด้วยหางเสียงถากถาง “หรือว่าผู้ชายที่คุณเคยถึงกลับต้องตามไปง้อเขาตอนโน้น หรือใครก็ได้ ที่คุณเจอระหว่างการเดินทาง ผมน่าจะดูออกว่าคุณเป็นคนแบบไหนนะ เสียดายตอนนั้น…”
เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น ทำให้อนรรฆสะดุ้ง ไม่ต่างจากหญิงสาวที่มองเขาด้วยสายตาผิดหวัง...เจ็บปวด
“สวัสดีจ้ะทราย…” เสียงที่เคยถากถางคนที่อยู่ใกล้ตัว พลันเปลี่ยนเป็นอ่อนหวานสดใส “รอเครื่องอยู่ที่ซานฟรานฯ จ้ะ แล้วนี่ทำไมยังไม่นอนจ๊ะ ตีสี่แล้วนะที่โน่น”
การสนทนาของเขา น้ำเสียงเป็นกันเองฟังดูมีชีวิตชีวา ไร้ร่องรอยอ่อนล้า แกมขื่นๆ ไร้ถ้อยคำประชดประชันที่เคยมีก่อนหน้านี้ ทำให้นิหล่าตัดสินใจลุกขึ้น ไปไหนก็ได้ ให้ไกลจากตรงนี้
มือของเธอจับที่ลากกระเป๋าไว้แน่น เดินไปเรื่อยๆ จนสุดทางที่คึกคันด้วยผู้คน แวะร้านโน้นเข้าร้านนี้ จงใจฆ่าเวลา
ผ่านมาอีกทีก็เห็นว่า…เขาอยู่ที่ร้านช็อคโกแลต เลือกซื้อหลายอย่างจนเต็มตะกร้าเล็กที่ถือ
อนรรฆ…ก็ยังเป็นอนรรฆ สามารถเรียกรอยยิ้มและความเป็นกันเองจากคนขายที่เป็นสุภาพสตรีวัยเลยกลางคนได้ และคนขายไม่เพียงช่วยเขาจัดของวางในกระเป๋าลากของเขา หากยังสมนาคุณด้วยของแถมอีกสองสามชิ้น
“ช็อคโกแลตร้านนี้มีชื่อ แม้ช็อคโกแลตนี่จะมีขายตามร้านค้าในเมืองอื่นๆ แต่ร้านที่ซานฟรานฯ มีให้เลือกหลายรสกว่า สนใจไหม” เขาพูดไปหน้าตาเฉย ราวว่าไม่มีการสนทนา หรืออาการทางอารมณ์หาเรื่องใดๆ ก่อนหน้านี้
“ไม่” ว่าแล้วนิหล่าก็เดินตรงไปยังบริเวณรอขึ้นเครื่องทันที
และเมื่อเจ้าหน้าที่ประกาศให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่อง นิหล่าก็ไม่ลังเลที่จะเดินเข้าไป โดยไม่หันไปดูว่าเขาตามมาหรือไม่
อนรรฆไม่ได้ตามหลังมาติดๆ แต่เขาก็มาทันที่จะช่วยเธอยกกระเป๋าลากเข้าเก็บในช่องด้านบน แล้วจึงยกกระเป๋าของเขาขึ้นเก็บเช่นกัน
“แลกที่กันไหมนิหล่า” เขาถามดวงหน้าแจ่มใส ดวงตายิ้มพราว แล้วนั่งลงข้างอีกฝ่าย จัดแจงรัดเข็มขัดที่นั่ง “ใครเขาจองที่ให้นั่งริมหน้าต่างให้คุณนะ”
ถ้าแบบนี้ แสดงว่าเขาจำได้ว่าเธอ…กลัวความสูง
หากนิหล่าส่ายหน้า ใจ…ยังนึกเคืองไม่หายกับคำพูดของเขาเมื่อกี้ เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เพราะอะไร?
เพราะว่าเขาคุยกับคนที่โทรฯ มาหานั่นหรือ
หญิงสาวมองเพียงหาตาเห็นเขาหยิบนิตยสารออกมาจากกระเป๋าผ้าแบบสะพายที่มีรวดลายสะดุดตา ก่อนจะรับน้ำดื่มที่พนักงานยกมาเสิร์ฟ
“ป้าที่ร้านช็อคโกแลตชอบแถมกระเป๋าให้ผมประจำ และผมก็ได้ใช้ทุกทีเพราะตอนต่อเครื่องก็เอาไว้ใส่นิตยสารบ้าง หนังสือบ้าง โน๊ตบุ๊คบ้าง ไม่ต้องลุกขึ้นลุกลงไปเอามาจากกระเป๋าโน่น” คนพูดทำท่าชี้ไปยังที่เก็บของเหนือศีรษะ “อยากอ่านอะไรก็บอกนะ ผมมีหลายเล่ม หรือถ้าจะคุยเรื่องที่จะประชุมพรุ่งนี้ก็ได้”
ทว่าไม่มีคำตอบใดๆ เช่นเคย จนเขาถอนหายใจ ก่อนหยิบนิตยสารเล่มหนึ่งมาเปิด จนกระทั่งเครื่องบินโดยสารค่อยๆ ถอยออกจากชานชาลา แล้ววิ่งช้าๆ บนทางราบ จนมาหยุดกึกใหญ่
เมื่อนั้น นิหล่าประสานมือตัวเองไว้แน่น หันไปมองนอกหน้าต่างเพียงแวบ แล้วจึงหันกลับมามองยังพนักของเบาะข้างหน้า ก่อนจะหลับตาสนิท
มือเล็กเย็นชุ่มเมื่อเครื่องบินวิ่งด้วยความเร็ว ก่อนทะยานตัวเหินสู่ท้องฟ้า
“ขอโทษนะนิหล่า”
เสียงของคนที่นั่งข้างๆ แว่วกระซิบข้างหูของเธอ ก่อนมือที่กุมกันแน่นจะรู้สึกถึงการกุมของมือใหญ่อุ่นๆ บีบเบาๆ
แม้ว่ายังคงหลับตา แต่นิหล่าก็หันหน้าออกนอกหน้าต่าง…นิ่ง ไม่หันกลับมา แม้ว่าเครื่องจะคงระดับแล้ว และมือของเขาได้คลายออกไป
การเดินทางอีกสามชั่วโมงกว่าที่จะไปถึงเมืองฮูสตันนั้นเหมือนนาน ชั่วกัปชั่วกัลป์ โดยเฉพาะเมื่อต้องฟังเสียงของเขาที่แว่วเข้ามา
“หิวไหม เขามีอาหารเสิร์ฟเราด้วยนะ” หรือไม่ก็ “ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าหลับ เดี๋ยวคืนนี้จะนอนไม่ได้”
ทว่าหญิงสาวทำคล้ายว่าไม่ได้ยินคำบอกเหล่านั้น เธอไม่กินอะไร และนั่งหันหน้าออกหน้าต่างหลับตา สะกดความรู้สึกทั้งมวล จนกระทั่งหลับไปจริงๆ
หากใบหน้าที่มีรอยยิ้มวาววับของเขายังคงล่องลอยมากับความทรงจำ ในความฝันสั้นๆ แล้วไหนจะเสียงทุ้มนั่น อีกทั้งมืออุ่นๆ ของเขา ที่เธอรู้สึกได้ในตอนนี้
“นิหล่า…ตื่นเถอะ”
มือของเขาแตะเบาๆ บนมือข้างหนึ่งของเธอเป็นการเรียก รอยยิ้มแจ่มชัดปรากฏบนใบหน้าคม ยามที่เธอลืมตาขึ้นมา
“เครื่องกำลังเข้าจอดแล้ว”
คำบอกของเขาทำให้หญิงสาวสะดุ้งตะลึงงัน ความง่วงหายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อมองออกนอกหน้าต่าง
แสงอาทิตย์ที่กำลงลาลับขอบฟ้าปรากฏให้เห็นเพียงไรสลัวภายใต้เมฆทึบ แตกต่างชัดเจนจากความสว่างด้วยไฟจ้าของห้องโดยสารของเครื่องบิน
นิหล่าหันไปมองคนที่นั่งข้างๆ ที่บัดนี้กำลังคุยอยู่กับที่นั่งอยู่อีกฟากของทางเดิน และเมื่อเสียงสัญญาณดังขึ้น ผู้โดยสารส่วนใหญ่จึงพร้อมใจกันปลดเข็มขัดนิรภัย ลุกขึ้นหยิบสัมภาระของตน
ท่าทางของเขาที่จัดแจงยกเอากระเป๋าทั้งสองใบลงมานั้นคล่องแคล่ว ต่างจากเธอที่ยังงัวเงียเพราะเพิ่งตื่น การจะลุกจะเดินออกไปนั้นช้ากว่าเขานัก จนคนร่างสูงต้องหยุดหลายครั้งเพื่อรอ หากนิหล่าก็เลือกที่จะไม่…ตาม ไม่แม้แต่จะเดินข้างเขา
ร่างอรชรเดินผ่านเขาไป ไม่สนใจ เพียงแต่ว่า นี่เป็นการเดินทางมาอเมริกาครั้งแรก และถือว่าเป็นการเดินทางนอกประเทศ ‘คนเดียว’ ครั้งที่สองหลังจากเมื่อคราสิงคโปร์หลายปีก่อนโน้น ดังนั้น ความไม่ชำนาญ ไม่คล่อง และไม่คุ้น ทำให้เธอลังเลเมื่อมาถึงทางแยก
“กระเป๋าเราอยู่ที่สายพานด้านโน้น” เสียงทุ้มอ่อนโยนที่บอกแสดงว่าเขาตามมาทันเช่นเคย “มันเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องดูแลคุณตลอดทริปนี้ ถ้าคุณจะหนีผมไปอีก อย่างน้อยก็ขอให้งานของเราเสร็จก่อน ถือว่าผมขอร้องได้ไหมนิหล่า”
การเรียกชื่อ…ละมุนด้วยความรู้สึก
ทว่านิหล่าไม่ตกลงหรือปฏิเสธ เธอเดินไปทางที่เขาชี้ก่อนหน้า การก้าว…ช้า ไม่ได้รีบหนี รับรู้เพียงว่าเขาเดินตามหลังมา และหยุดรอเยื้องๆ ข้างหลังเมื่อเธอหยุดยืนนิ่งหน้าสายพาน
จากหางตาเธอเห็นว่าเขาเดินไปเอารถเข็นที่อยู่ในแถวเรียงเป็นระเบียบ ก่อนจะกลับมา
ใช้เวลาไม่นานกระเป๋าใบแรกของเธอก็ออกมา อนรรฆปรี่เข้าไปช่วยยก เอากระเป๋าใบใหญ่ของเธอวางลง แล้วตามด้วยกระเป๋าสีดำของเขา
เมื่อกระเป๋าอีกใบของเธอมา เขาก็ยกมันวางบนรถเข็น ก่อนจะวางทับด้วยกระเป๋าลากใบเล็กที่เธอได้ถือขึ้นเครื่อง และกระเป๋าลากเล็กของเขาที่ถูกวางบนช่องตะกร้าของรถเข็น ก่อนจะจัดแจงเข็นรถเดินนำออกมาอีกด้าน
“รอผมอยู่ตรงนี่นะนิหล่า ผมจะไปเอารถที่จุดเช่ารถ ไม่เกินครึ่งชั่วโมงจะมารับ”
“ทำไมไปด้วยไม่ได้”
“ต้องต่อรถบัสไปจุดเช่ารถ กระเป๋าเราเยอะ ยกขึ้นขนลงรถบัสคงไม่สะดวกนัก” อนรรฆบอกเช่นนั้น ซึ่งคนฟังก็สังเกตอยู่หรอกว่า เขาพูดว่า เรา…ไม่ใช่เธอ “คุณรออยู่แถวนี้ แล้วเดี๋ยวผมมารับทีเดียว ไม่เกินครึ่งชั่วโมง นั่นรถมาแล้ว”
เขายกกระเป๋าสีดำของตนจากรถเข็น แล้วดึงที่ลากกระเป๋าขึ้น เสียบกระเป๋าลากที่ใส่เอกสารและเครื่องโน๊ตบุ๊คข้างบน
“รอผมอยู่นี่นะ นิหล่า” อนรรฆไม่วายย้ำ
วิธีการลากของคนที่สาวเท้าอย่างเร็วไปยังจุดขึ้นรถรับส่งนั้น ไม่ผิดเพี้ยนไปจากที่นิหล่าเคยแอบเห็นเขาเมื่อสามปีก่อน เห็นว่าเขาเดินไปมาตลอดอาคารผู้โดยสาร มองซ้ายขวา จนเธอต้องนึก…เขาหาใคร
คงไม่ใช่เธอเป็นแน่
ตอนนั้นเธอนั่งหลบมาอีกด้าน หวังว่าเขาจะเห็นแล้วเดินเข้ามาหา
ตอนนั้นเธอวุ่นกับการพยายามติดต่ออองเมียทตู
ตอนนั้นเธอหงุดหงิด เพราะทัศนีย์ที่ติดต่อหาอนรรฆ
เด็ก…อนรรฆเห็นเธอเป็นเด็ก แถมยังบอกตามตรงเช่นนั้นกับทัศนีย์
เพียงแต่ว่า คืนนั้น เมื่อได้พบเขาที่สนามบินอีกครั้ง ความวุ่นวาย อาการหงุดหงิดก็พลันคลายลง
ที่เคยร้องไห้เพราะรู้สึกไร้ที่พึ่งที่ไปนั้นจางเบาบาง
โอกาส…เมื่อมี ก็ควรคว้าเอาไว้
ตอนนั้นเธอคว้า จับมั่น นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
(ต่อ)