มีหลายท่านได้ยินสรรพคุณหลากหลายของน้ำมันมะพร้าว ก็เลยมีคำถามคาใจหลายข้อเลยทีเดียว
วันนี้เลยนำคำถามยอดฮิตมาอธิบายกันในที่นี้อีกครั้งคะ
1.น้ำมันมะพร้าว มีดีอย่างไร
ตอบ น้ำมันมะพร้าว คือ น้ำมันที่สกัดได้จากหัวกะทิสด ๆ โดยไม่ผ่านความร้อน อุดมไปด้วยวิตามินอี และแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น กรดลอลิกและโมโนลอลิน ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ ซึ่งเป็นสารที่อยู่น้ำนมน้ำเหลืองมารดาต้านโรคไวรัสได้ชะงัก และปรับสมดุลร่างกายแห่งโรคต่าง ๆ เช่น มะเร็ง เบาหวาน โรคไทรอยด์ โรคอ้วน ไข้หวัดใหญ่ เริม หัด งูสวัด ตับอักเสบ โรคหัวใจ เป็นต้น
และทางร้านก็จะแนะนำให้อ่านเอกสารวิชาการจากชมรม ฯ โดยสามารถดาวน์โหลดอ่านได้ฟรีๆ ที่หน้าเวบเลยค่ะ "ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าว"
2. รับประทาน น้ำมันมะพร้าวอย่างไร จึงจะได้ผล
ตอบ ควรรับประทานก่อนอาหาร 1-2 ช้อนโต๊ะต่อมื้ออาหาร สามารถทานได้ 3 เวลา โดยพิจารณาจากธาตุของแต่ละบุคคลเช่น หากท้องเดินอยากถ่ายไวก็ให้ลดปริมาณการรับประทานเป็น 1 ช้อนชา และค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งเหมาะกับการนำมาใช้กับเด็กด้วยเช่นกัน ควรปรับให้น้อยลงตามธาตุคะ
โดยเด็ก ๆ หรือผู้ที่นำหนักตัวน้อย ๆ ให้ทานเพียงช้อนชาก่อน แล้วสังเกตุอาการว่ารู้สึกอย่างไร
อาการที่จะเกิดหลังจากรับประทาน คือ
- อาการท้องเดินอยากถ่ายอย่างไวเกิดขึ้น ซึ่งจะเกิดจากรับประทานไปแล้วไม่เกิน 1 ชั่วโมง หากไม่ถ่ายแสดงว่าธาตุหนักค่ะ ซึ่งหมายถึงร่างกายมีแร่ธาตุหนักอยู่ในร่างกายเยอะ หลากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของอากาศ ถ้าเกิดว่าอากาศเย็นส่วนใหญ่แล้วมักจะทำให้ท้องผูกมากกว่ารอยู่ในที่ที่มี อากาศร้อน ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคท้องผูก โดยเฉพาะในผู้หญิงก่อนมีรอบเดือนก็มักจะท้องผูก ความเครียด การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา การนอนดึกบ่อยๆ ไม่ออกกำลังกาย ดื่มน้ำน้อย ทานผักผลไม้น้อย ล้วนแล้วแต่เป็นต้นตอของการเกิดท้องผูก และนอกจากนั้นยังมีปัจจัยอื่นๆอีก ยิ่งถ้าเกิดว่าเป็นคนที่มีธาตุหนัก ยิ่งอายุมากขึ้นก็จะยิ่งมีปัญหากับระบบขับถ่าย
น้ำมันมะพร้าว สามารถเข้าไปล้างลำไส้ได้ดี สารพิษต่าง ๆ ก็จะถูกจับออกมาจากลำไส้ได้ หลังจากนั้นร่างกายก็จะดูดซึมได้ดีขึ้น
- อาการครั่นตัว ไม่สบายกาย ผะอืดผะอม เวียนหัว และอาการอีกหลากรูปแบบ ซึ่งแต่ละคนก็แตกต่างกันไป อาการดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายใน 7 วันแรก ของการรับประทาน บางท่านก็ยาวนานถึง 1 เดือน ก็มี
ลักษณะดังกล่าว เป็นการปรับตัวของร่างกาย ซึ่งไม่มีผลอันตราย ใด ๆ เลยค่ะ เพราะน้ำมันมะพร้าว เป็นสารธรรมชาติ ไม่มีสารเคมีเจือปน หากทานมากไปก็ไม่มีผลกระทบใด ๆ นอกเหนือจากการอยากขับถ่ายมากเกิน
ลักษณะที่เกิดขึ้นเกิดจาก น้ำมันมะพร้าว ไปจับสารเคมีในร่างกายออกมาทำให้ร่างกายไม่เคยชินกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งปกติร่างกายของคนเราจะเคยชินกับสารต่าง ๆ ที่เข้ามาในร่างกาย เช่น คนที่สูบบุหรีเป็นประจำทุกวัน มักจะติดกับสารนิโคตินในร่างกาย ทำให้ร่างกายเคยชินกับสารนี้ เมื่อทานอาหารเข้าไปก็รู้สึกว่าต้องการสารนิโคตินเข้าไป ทำให้อยากสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเลิกบุหรี่ที่ยากเย็นเหลือเกิน บางท่านก็เกิดอาการน้ำลายเหนียว หงุดหงิด กระสับกระส่าย
ข้างเป็นเป็นการยกตัวอย่างให้เห็นว่าการที่เรารับประทานน้ำมันมะพร้าวไปก็เช่นกัน เมื่อสารพิษไม่มี ร่างกายก็เริ่มปรับตัวใหม่ เสมือนเครื่องยนต์ใหม่ ที่ได้รับการถ่ายน้ำมันเครื่องก็ว่าได้เลยคะ
สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เห็นผลได้อย่างดีคือ ต้องมีความอดทนต่อการรับประทานในช่วงแรก ซึ่งเป็นระยะการปรับตัวที่แสนจะยากเย็นเหลือเกิน ทำให้หลายคนขยาด และไม่อยากกินน้ำมันมะพร้าวอีกเลย
เทคนิคการรับประทาน "น้ำมันมะพร้าว" ให้ง่ายและอร่อยที่สุด
* รับประทาน น้ำมันมะพร้าว ครั้งเดียวหมดอึก
ทานหมดอึกในครั้งเดียวเหมาะสำหรับผู้ที่หัดรับประทาน หรือทานยาก
โดยตวงใส่ขวด 30 มล. จากทางร้าน หรือ ถ้วยแก้วขนาด 2 ช้อนโต้ะ โดยเป็นการตวงในภาชนะที่มั่นใจว่าทานหมดภายในครั้งเดียว อย่างรวดเร็ว หลีกเลี่ยงการทานแบบช้อนทานข้าว เพราะเวลาจะทาน 2 ช้อนก็มักจะต้องทาน 2 ครั้ง ทำให้การสัมผัส "น้ำมันมะพร้าว" เกิดขึ้นหลายที ทำให้รับกลิ่น และทานได้ช้าลง ประโยชน์ของการทานอย่างรวดเร็ว มีดีอยู่ที่เรากลืนลงคอได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องสัมผัสลิ้นมาก การรับรู้รสก็น้อยลง เทคนิคสุดท้ายคือการตามด้วยน้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มต่าง ๆ ที่มีอยู่ใกล้ตัว ทานตามได้เลยทันทีหลังกลืนน้ำมันนั้นลงคอไป
เพียงเท่านี้ก็จะทำให้การทานน้ำมันมะพร้าว เป็นได้ง่ายขึ้น
* ดับกลิ่นน้ำมันมะพร้าวเพื่อการทานดีกว่า
ทำไมต้องดับกลิ่นมะพร้าว เนื่องจากมีหลายท่านโทรมาเล่าให้ฟังว่ากลิ่นน้ำมันมะพร้าวเมื่อลงสู่กระเพราะไป กลิ่นนี้ตีดันเหลือเกิน ผะอืดผะอมบ้าง ทำให้ไม่สบายตัว บางท่านก็ว่าหอมมะพร้าวอร่อยก็มี ดังนี้เลยแนะนำวิธีการดับกลิ่นน้ำมันมะพร้าว สำหรับผู้ที่ไม่ชอบกลิ่นของมะพร้าว สามารถทำได้โดยการ เติมกลิ่นผสมอาหารลงไป เป็นวิธีที่หลายคนบอกว่าไม่อยากทำเลย เพราะอยากได้สารธรรมชาติแท้ ๆ ไม่ต้องเติมแต่งอะไรลงไป แต่ก็เป็นวิธีแรกสำหรับคนที่ทานยากค่ะ เพราะการเติมสารให้กลิ่นลงไป หากเติมในปริมาณที่พอเหมาะย่อมไม่เป็นอันตรายค่ะ ในปัจจุบันมีหลากหลายกลิ่นให้เลือก ดิฉันได้ไปเดินตามห้างสรรพสินค้า มีกลิ่นที่นำไปผสมในเบเกอรี่หลากหลายกลิ่น เช่น กลิ่นวนิลา , กลิ่นสัปรด , กลิ่นกาแฟ , กลิ่นอัลมอนด์ และอีกหลากกลิ่นที่เคยรับประทานกันอย่างไม่รู้ตัวในขนมเบเกอรี่
การนำมาผสมก็ควรดูให้เหมาะกับปริมาณของน้ำมันมะพร้าวด้วยค่ะ ไม่มากเกินไป เป็นไปตามอัตราส่วนที่กำหนด เพียงเท่านี้ก็จะได้กลิ่นน้ำมันมะพร้าวที่หอมสำหรับรับประทานแล้วคะ
น้ำมันหอมอีกชนิดที่สกัดจากธรรมชาติจริง ๆ สามารถรับประทานได้ก็มีจำหน่ายค่ะ แต่ค่อนข้างแพงและหายาก เช่น กลิ่นตะไคร้ , กลิ่นดอกไม้ต่าง ๆ ซึ่งน้ำมันหอมดังกล่าว สกัดจากธรรมชาติจริงไม่ใช่สารสังเคราะห์ตามข้างต้น มีความปลอดภัยสูง แต่หากท่านใดสะดวกวิธีนี้ก็แนะนำเลยคะ
* ผสมลงในอาหาร ทานแบบไม่รู้ตัวก็ดีเหมือนกัน
การนำ "น้ำมันมะพร้าว"ผสมลงในอาหารเลยก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้เราทานได้อย่างไม่ต้องกังวล
เช่น การนำมาเป็นส่วนผสมของการทำน้ำสลัด , ใช้แทนน้ำมันพืชแบบน้อย ๆ , ใส่ลงในน้ำแข็งใส , นำมาราดบนขนมหวานต่าง ๆ , แช่แข็งทาขนมปังแทนเนยสด , ทำไข่กวน และอีกหลากเมนูได้อย่างดีค่ะ โดยการใส่ก็ควรใส่ในปริมาณไม่มากเกินไป หากมากเกินไปก็จะไปดับกลิ่นของอาหารหลักซ่ะหมด
* ผสมลงในหม้อหุงข้าว
เวลาเราทานข้าวมันไก่ คุณรู้มั้ยเค้าใส่มันไก่กับเครื่องเทศลงไป ทำให้ข้าวมันหอมและเม็ดสวยค่ะ
น้ำมันมะพร้าวก็สามารถทำให้ข้าวของคุณอร่อยได้เหมือนกันค่ะ โดยการนำน้ำมันมะพร้าวพอเหมาะ เทลงไปในหม้อตอนหุงข้าวปกติ และทุบกระเทียบพริกไทยเล็กน้อยลงไป ด้วยก็จะยิ่งทำให้ข้าวนั้นหอมอร่อยมากขึ้นด้วยค่ะ
บทความโดย : วรรณะสมุนไพร
www.VannaHerb.com
มาแชร์บทความ การทาน "น้ำมันมะพร้าว" และเทคนิคการรับประทาน "น้ำมันมะพร้าว" ให้ง่าย และอร่อยที่สุด
วันนี้เลยนำคำถามยอดฮิตมาอธิบายกันในที่นี้อีกครั้งคะ
1.น้ำมันมะพร้าว มีดีอย่างไร
ตอบ น้ำมันมะพร้าว คือ น้ำมันที่สกัดได้จากหัวกะทิสด ๆ โดยไม่ผ่านความร้อน อุดมไปด้วยวิตามินอี และแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น กรดลอลิกและโมโนลอลิน ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ ซึ่งเป็นสารที่อยู่น้ำนมน้ำเหลืองมารดาต้านโรคไวรัสได้ชะงัก และปรับสมดุลร่างกายแห่งโรคต่าง ๆ เช่น มะเร็ง เบาหวาน โรคไทรอยด์ โรคอ้วน ไข้หวัดใหญ่ เริม หัด งูสวัด ตับอักเสบ โรคหัวใจ เป็นต้น
และทางร้านก็จะแนะนำให้อ่านเอกสารวิชาการจากชมรม ฯ โดยสามารถดาวน์โหลดอ่านได้ฟรีๆ ที่หน้าเวบเลยค่ะ "ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าว"
2. รับประทาน น้ำมันมะพร้าวอย่างไร จึงจะได้ผล
ตอบ ควรรับประทานก่อนอาหาร 1-2 ช้อนโต๊ะต่อมื้ออาหาร สามารถทานได้ 3 เวลา โดยพิจารณาจากธาตุของแต่ละบุคคลเช่น หากท้องเดินอยากถ่ายไวก็ให้ลดปริมาณการรับประทานเป็น 1 ช้อนชา และค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งเหมาะกับการนำมาใช้กับเด็กด้วยเช่นกัน ควรปรับให้น้อยลงตามธาตุคะ
โดยเด็ก ๆ หรือผู้ที่นำหนักตัวน้อย ๆ ให้ทานเพียงช้อนชาก่อน แล้วสังเกตุอาการว่ารู้สึกอย่างไร
อาการที่จะเกิดหลังจากรับประทาน คือ
- อาการท้องเดินอยากถ่ายอย่างไวเกิดขึ้น ซึ่งจะเกิดจากรับประทานไปแล้วไม่เกิน 1 ชั่วโมง หากไม่ถ่ายแสดงว่าธาตุหนักค่ะ ซึ่งหมายถึงร่างกายมีแร่ธาตุหนักอยู่ในร่างกายเยอะ หลากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของอากาศ ถ้าเกิดว่าอากาศเย็นส่วนใหญ่แล้วมักจะทำให้ท้องผูกมากกว่ารอยู่ในที่ที่มี อากาศร้อน ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคท้องผูก โดยเฉพาะในผู้หญิงก่อนมีรอบเดือนก็มักจะท้องผูก ความเครียด การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา การนอนดึกบ่อยๆ ไม่ออกกำลังกาย ดื่มน้ำน้อย ทานผักผลไม้น้อย ล้วนแล้วแต่เป็นต้นตอของการเกิดท้องผูก และนอกจากนั้นยังมีปัจจัยอื่นๆอีก ยิ่งถ้าเกิดว่าเป็นคนที่มีธาตุหนัก ยิ่งอายุมากขึ้นก็จะยิ่งมีปัญหากับระบบขับถ่าย
น้ำมันมะพร้าว สามารถเข้าไปล้างลำไส้ได้ดี สารพิษต่าง ๆ ก็จะถูกจับออกมาจากลำไส้ได้ หลังจากนั้นร่างกายก็จะดูดซึมได้ดีขึ้น
- อาการครั่นตัว ไม่สบายกาย ผะอืดผะอม เวียนหัว และอาการอีกหลากรูปแบบ ซึ่งแต่ละคนก็แตกต่างกันไป อาการดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายใน 7 วันแรก ของการรับประทาน บางท่านก็ยาวนานถึง 1 เดือน ก็มี
ลักษณะดังกล่าว เป็นการปรับตัวของร่างกาย ซึ่งไม่มีผลอันตราย ใด ๆ เลยค่ะ เพราะน้ำมันมะพร้าว เป็นสารธรรมชาติ ไม่มีสารเคมีเจือปน หากทานมากไปก็ไม่มีผลกระทบใด ๆ นอกเหนือจากการอยากขับถ่ายมากเกิน
ลักษณะที่เกิดขึ้นเกิดจาก น้ำมันมะพร้าว ไปจับสารเคมีในร่างกายออกมาทำให้ร่างกายไม่เคยชินกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งปกติร่างกายของคนเราจะเคยชินกับสารต่าง ๆ ที่เข้ามาในร่างกาย เช่น คนที่สูบบุหรีเป็นประจำทุกวัน มักจะติดกับสารนิโคตินในร่างกาย ทำให้ร่างกายเคยชินกับสารนี้ เมื่อทานอาหารเข้าไปก็รู้สึกว่าต้องการสารนิโคตินเข้าไป ทำให้อยากสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเลิกบุหรี่ที่ยากเย็นเหลือเกิน บางท่านก็เกิดอาการน้ำลายเหนียว หงุดหงิด กระสับกระส่าย
ข้างเป็นเป็นการยกตัวอย่างให้เห็นว่าการที่เรารับประทานน้ำมันมะพร้าวไปก็เช่นกัน เมื่อสารพิษไม่มี ร่างกายก็เริ่มปรับตัวใหม่ เสมือนเครื่องยนต์ใหม่ ที่ได้รับการถ่ายน้ำมันเครื่องก็ว่าได้เลยคะ
สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เห็นผลได้อย่างดีคือ ต้องมีความอดทนต่อการรับประทานในช่วงแรก ซึ่งเป็นระยะการปรับตัวที่แสนจะยากเย็นเหลือเกิน ทำให้หลายคนขยาด และไม่อยากกินน้ำมันมะพร้าวอีกเลย
เทคนิคการรับประทาน "น้ำมันมะพร้าว" ให้ง่ายและอร่อยที่สุด
* รับประทาน น้ำมันมะพร้าว ครั้งเดียวหมดอึก
ทานหมดอึกในครั้งเดียวเหมาะสำหรับผู้ที่หัดรับประทาน หรือทานยาก
โดยตวงใส่ขวด 30 มล. จากทางร้าน หรือ ถ้วยแก้วขนาด 2 ช้อนโต้ะ โดยเป็นการตวงในภาชนะที่มั่นใจว่าทานหมดภายในครั้งเดียว อย่างรวดเร็ว หลีกเลี่ยงการทานแบบช้อนทานข้าว เพราะเวลาจะทาน 2 ช้อนก็มักจะต้องทาน 2 ครั้ง ทำให้การสัมผัส "น้ำมันมะพร้าว" เกิดขึ้นหลายที ทำให้รับกลิ่น และทานได้ช้าลง ประโยชน์ของการทานอย่างรวดเร็ว มีดีอยู่ที่เรากลืนลงคอได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องสัมผัสลิ้นมาก การรับรู้รสก็น้อยลง เทคนิคสุดท้ายคือการตามด้วยน้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มต่าง ๆ ที่มีอยู่ใกล้ตัว ทานตามได้เลยทันทีหลังกลืนน้ำมันนั้นลงคอไป
เพียงเท่านี้ก็จะทำให้การทานน้ำมันมะพร้าว เป็นได้ง่ายขึ้น
* ดับกลิ่นน้ำมันมะพร้าวเพื่อการทานดีกว่า
ทำไมต้องดับกลิ่นมะพร้าว เนื่องจากมีหลายท่านโทรมาเล่าให้ฟังว่ากลิ่นน้ำมันมะพร้าวเมื่อลงสู่กระเพราะไป กลิ่นนี้ตีดันเหลือเกิน ผะอืดผะอมบ้าง ทำให้ไม่สบายตัว บางท่านก็ว่าหอมมะพร้าวอร่อยก็มี ดังนี้เลยแนะนำวิธีการดับกลิ่นน้ำมันมะพร้าว สำหรับผู้ที่ไม่ชอบกลิ่นของมะพร้าว สามารถทำได้โดยการ เติมกลิ่นผสมอาหารลงไป เป็นวิธีที่หลายคนบอกว่าไม่อยากทำเลย เพราะอยากได้สารธรรมชาติแท้ ๆ ไม่ต้องเติมแต่งอะไรลงไป แต่ก็เป็นวิธีแรกสำหรับคนที่ทานยากค่ะ เพราะการเติมสารให้กลิ่นลงไป หากเติมในปริมาณที่พอเหมาะย่อมไม่เป็นอันตรายค่ะ ในปัจจุบันมีหลากหลายกลิ่นให้เลือก ดิฉันได้ไปเดินตามห้างสรรพสินค้า มีกลิ่นที่นำไปผสมในเบเกอรี่หลากหลายกลิ่น เช่น กลิ่นวนิลา , กลิ่นสัปรด , กลิ่นกาแฟ , กลิ่นอัลมอนด์ และอีกหลากกลิ่นที่เคยรับประทานกันอย่างไม่รู้ตัวในขนมเบเกอรี่
การนำมาผสมก็ควรดูให้เหมาะกับปริมาณของน้ำมันมะพร้าวด้วยค่ะ ไม่มากเกินไป เป็นไปตามอัตราส่วนที่กำหนด เพียงเท่านี้ก็จะได้กลิ่นน้ำมันมะพร้าวที่หอมสำหรับรับประทานแล้วคะ
น้ำมันหอมอีกชนิดที่สกัดจากธรรมชาติจริง ๆ สามารถรับประทานได้ก็มีจำหน่ายค่ะ แต่ค่อนข้างแพงและหายาก เช่น กลิ่นตะไคร้ , กลิ่นดอกไม้ต่าง ๆ ซึ่งน้ำมันหอมดังกล่าว สกัดจากธรรมชาติจริงไม่ใช่สารสังเคราะห์ตามข้างต้น มีความปลอดภัยสูง แต่หากท่านใดสะดวกวิธีนี้ก็แนะนำเลยคะ
* ผสมลงในอาหาร ทานแบบไม่รู้ตัวก็ดีเหมือนกัน
การนำ "น้ำมันมะพร้าว"ผสมลงในอาหารเลยก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้เราทานได้อย่างไม่ต้องกังวล
เช่น การนำมาเป็นส่วนผสมของการทำน้ำสลัด , ใช้แทนน้ำมันพืชแบบน้อย ๆ , ใส่ลงในน้ำแข็งใส , นำมาราดบนขนมหวานต่าง ๆ , แช่แข็งทาขนมปังแทนเนยสด , ทำไข่กวน และอีกหลากเมนูได้อย่างดีค่ะ โดยการใส่ก็ควรใส่ในปริมาณไม่มากเกินไป หากมากเกินไปก็จะไปดับกลิ่นของอาหารหลักซ่ะหมด
* ผสมลงในหม้อหุงข้าว
เวลาเราทานข้าวมันไก่ คุณรู้มั้ยเค้าใส่มันไก่กับเครื่องเทศลงไป ทำให้ข้าวมันหอมและเม็ดสวยค่ะ
น้ำมันมะพร้าวก็สามารถทำให้ข้าวของคุณอร่อยได้เหมือนกันค่ะ โดยการนำน้ำมันมะพร้าวพอเหมาะ เทลงไปในหม้อตอนหุงข้าวปกติ และทุบกระเทียบพริกไทยเล็กน้อยลงไป ด้วยก็จะยิ่งทำให้ข้าวนั้นหอมอร่อยมากขึ้นด้วยค่ะ
บทความโดย : วรรณะสมุนไพร
www.VannaHerb.com