จอมเวทไร้พลัง ตอนที่ 8

กระทู้สนทนา
ตอนที่ 8 จอมปิศาจ


      เสียงเรียกของแอนนาส่งสู่โสตประสาทของอิกริดอย่างแผ่วเบา มันถูกกลบด้วยเสียงกัมปนาทของระเบิด แสงสีต่างๆลอดผ่านเปลือกตาที่หนักอึ้งของเขา ชายหนุ่มยังสับสนกับความฝันเมื่อครู่

      “เจ้าหนุ่ม หากเจ้ารู้สึกเหนื่อยล้าก็พักเสีย กลับไปสู่ความฝันของข้า อีกครั้ง”

      เสียงทุ้มเรียบคุ้นหูทำให้เขาอยากกลับไปอยู่ในสิ่งที่เหมือนกับความฝันนั่นอีกครั้ง เส้นทางแห่งความยิ่งใหญ่ของเขามันฟังดูเกินความจริงไปสักหน่อย เกินไปจนรู้สึกว่าไม่สามารถเอื้อมคว้าได้

      หากชีวิตไม่มีทางเป็นได้ดั่งใจ สู้ดำดิ่งลงในฝันไม่ดีกว่าหรือ อิกริดยังคงลังเลที่จะเปิดเปลือกตาขึ้น

      “ตื่นขึ้นสิอิง! ได้ยินข้าหรือเปล่า!” เสียงเรียกของแอนนาแว่วผ่านเสียงระเบิดและหักโค่นของกำแพงหิน

      “ลืมตาขึ้นสิอิกริด” เสียงของใครสักคนที่เขาจำได้ว่าเป็นลาควีล่า ผู้หญิงที่อยู่ในฝันของเขา “กรุณาช่วยขวางอย่าให้เขาทำผิดให้มากกว่านี้เลย พวกเราที่อยู่ในความทรงจำของเวเบอร์ทำได้เพียงแค่นี้เท่านั้น ได้โปรด...”

      “หมายความว่าอย่างไร” อิกริดถามในใจ แค่นั้นก็ได้ยินเสียงตอบกลับมา

      “เวเบอร์ยังจมอยู่ในอดีต” เสียงหญิงสาวราบเรียบแต่มีพลานุภาพเหนือกว่าเสียงระเบิดจากการต่อสู้เบื้องนอก “มีแต่ท่านเท่านั้นที่จะช่วยให้เขาหลุดพ้นได้ ช่วยข้าแล้วท่านจะได้รับสิ่งที่ต้องการ พลังอำนาจครอบฟ้าคลุมดิน!”

      “แล้วจะให้ข้าทำอะไร”

      “หาทางหยุดยั้งเขาให้ได้ ทั้งนี้ก็เพื่อตัวท่านเองด้วย ตกลงหรือไม่”

      แทนคำตอบ อิกริดลืมตาขึ้นด้วยใจแน่วแน่ ในเมื่อมีหนทางไปสู้จุดมุ่งหมายได้แล้วเขาจะหยุดได้อย่างไรกัน

      แสงอาทิตย์จับขอบฟ้าทำให้มองเห็นอะไรได้เด่นชัด เบื้องหน้าของเขามีฝูงปิศาจนับสิบอยู่รายรอบ กำลังต้านทานการบุกของหญิงสาวคนหนึ่ง ชื่อของนางคือแอนนา!

      “หลับต่อเสียก็ดีแล้ว นี่เพิ่งเสร็จไปแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น” เสียงชายหนุ่มอีกคนเรียกให้อิกริดหันไปมองด้านหลัง

      แท่นบัลลังก์ขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้องโถง กำแพงรอบด้านพังพินาศด้วยการต่อสู้ระหว่างปิศาจกับหญิงสาว บนแท่นที่นั่งมีชายคนหนึ่งนั่งไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์ โดยรูปกายภายนอกแล้วเหมือนกับอิกริดไม่มีผิด!

      “อย่าแปลกใจ ข้าคือต้นกำเนิดของเจ้า และเจ้าคือต้นกำเนิดของร่างนี้ ชื่อของข้าคือเวเบอร์ผู้เป็นอมตะ บัดนี้ข้าคืนชีพขึ้นอีกครั้งแล้ว!”

      อิกริดอ้าปากค้างประมวลสิ่งที่ได้ฟังเข้าด้วยการ คนตรงหน้าคือเวเบอร์อย่างนั้นหรือ แล้วเหตุใดจึงมีตัวตน แถมยังบอกว่าคืนชีพแล้วอีกด้วย

      “เป็นไปแล้ว” ผู้อ้างตนว่าเป็นเวเบอร์ชิงตอบคำถามก่อนอิกริดพูด “ทุกครั้งที่ตอบคำถามข้าก็ค่อยๆกลืนกินส่วนที่เป็นอิกริดของเจ้าเข้ามา กระทั่งพี่ข้ายื่นมือเข้ามาช่วยเจ้าและแนะนำว่าห้ามตอบคำถามของข้า”

      ราวกับจงใจ ระหว่างที่เวเบอร์พูดแอนนาก็ตีฝ่าวงล้อมเหล่าปิศาจเข้ามาหาอิกริดได้ นางดูเหนื่อยหอบ ทั่วตัวเต็มไปด้วยร่องรอยการต่อสู้อย่างดุเดือด

      “ตื่นแล้วหรือ เป็นอะไรหรือไม่อิ...” นางก็ตกตะลึงเช่นกันที่เห็นคนที่รูปร่างหน้าตาเหมือนเขาทุกกระเบียดนิ้ว

      “ข้าจึงต้องเปลี่ยนวิธีโดยการดึงเจ้าเข้าสู่ความฝันในความทรงจำของข้าแทน ซึ่งเกือบได้ผลหากพี่ข้าไม่ออกมาขวางอีกเป็นครั้งที่สอง ทำให้การเติมเต็มร่างนี้ต้องชะงักค้าง ข้าดูดกลืนส่วนที่เป็นเจ้าได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น” เวเบอร์พูดอย่างย่ามใจ ไม่แสดงท่าทีหวาดหวั่นเลยสักนิด

      “ดาบปีกวิหคเอย ขอเจ้าจงกลับคืนสู่มือนายที่แท้จริงด้วยเถิด” ดาบวิเศษคู่มือของอิกริดส่งเสียงกรีดร้องเบาๆ ชายหนุ่มกับหญิงสาวจึงพบมันวางอยู่ข้างร่างของอิกริด มันสั่นกระตุกแล้วพุ่งทะยานไปสู่มือผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างดุษณี

      “ใช่แล้วอิง! เขาต้องการมาแทนที่เจ้านั่นเอง ในที่สุดข้าก็ได้คำตอบ” แอนนาร้องเสียงหลง

      “แทนที่ข้าหรือ” อิกริดขมวดคิ้ว เขายังไม่ค่อยเข้าในสถานการณ์ดี แต่รู้แน่ว่ามันไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่

      “คืนชีพขึ้นมาแล้วจะทำอะไรหรือ” อิกริดลองถามดูเชิงอีกฝ่ายว่าต้องการอะไร

      “ในฝันเจ้าก็เห็นแล้วนี่นา หญิงที่ข้ารักไปอยู่กับคนอื่นทั้งที่นางรักข้า” ร่างนั้นทรงตัวลุกขึ้นยืน ลักษณะเหมือนกับอิกริดก็จริงทว่าเต็มไปด้วยบารมีและพลังอำนาจยากหยั่งวัด “ข้าจะคืนชีพนางขึ้นอีกครั้ง ด้วยศิลาวิญญาณ”

      “อย่าล้อเล่นน่า ศิลาวิญญาณเป็นแค่ตำนานเท่านั้น!” แอนนาร้อง ดูนางจะมีสติอยู่กับตัวได้ในภาวะคับขันอย่างนี้

      “ที่กลายเป็นตำนานเพราะไม่มีใครรู้ที่อยู่ของมันต่างหาก แต่ข้ารู้แล้ว ทั้งที่อยู่ และวิธีทำให้มันทำงาน...เหล่าปิศาจภายใต้การควบคุมของข้า” เวเบอร์สั่งการเหล่าปิศาจที่ล้อมพวกเขาเอาไว้ตรงใจกลาง “จงกระจายตัวรวบรวมพลพรรคมาให้มากที่สุด เราจะเข่นฆ่าเหล่ามนุษย์ทั้งมวลให้สิ้น”

      สิ้นเสียง ปิศาจทั้งหลายก็กลายเป็นเงาสีดำล่องลอยกระจัดกระจายออกไปนอกบริเวณ นัยว่าจะไปรวมพลกันให้มากกว่านี้อีก

      “ทำไมต้องฆ่ากันด้วย ท่านต้องการแค่ชุบชีวิตลาควีล่าไม่ใช่หรือ”

      “ข้ารู้อิง ศิลาวิญญาณมีอำนาจได้ด้วยการรวบรวมวิญญาณทั้งปวงแล้วกลั่นออกมาเป็นผลึก จำเป็นต้องใช้วิญญาณมากมายมหาศาลเพื่อให้ศิลารวมตัวเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ มีพลังมากพอจะชุบชีวิตคนได้” แอนนาตัวสั่นเล็กน้อยด้วยความหวาดกลัว ความคิดที่ว่าจะมีคนมากมายต้องสังเวยชีวิตทำให้อิกริดรู้สึกกลัวด้วยเช่นกัน “แล้วเราควรทำอย่างไรกันดี เพื่อหยุดยั้งเรื่องนี้”

      “ถอยกลับไปตั้งหลักก่อนดีกว่า” อิกริดเสนอ ต่อให้พวกเขารวมพลังกันก็สู้กับอีกฝ่ายไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง มีแต่ความสูญเสียเท่านั้นที่รออยู่

      แอนนาพยักหน้าแล้วใช้มนตร์เคลื่อนย้าย ร่างของทั้งคู่ร้อนขึ้นจนกลายเป็นลำแสงพุ่งออกไปสู่ท้องฟ้าเบื้องนอก...


      สิ่งแรกที่อิกริดมองเห็นเมื่อสิ้นสุดมนตร์เคลื่อนย้ายคืออาคารพักของผู้นำตระกูลผู้ใช้เวท อาคารสีขาวสะอาดตาตั้งตระหง่าน ที่นี่ยังเป็นเวลาเช้ามืดอยู่ ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นจากขอบฟ้า มีเพียงแสงสลัวพอมองเห็นสิ่งต่างๆ และแสงไฟจากบ้านเรือนโดยรอบ

      “บอกได้หรือยังแอนนา มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” อิกริดพยุงแอนนาที่เหนื่อยหอบแทบเป็นลม เขาต้องตามหาใครสักคนเพื่อบอกเรื่องเร่งด่วนนี้

      “กลางดึกคืนที่เรานอนพักในปราสาทนั้น ปิศาจจากที่ไหนข้าไม่รู้ พวกมันออกมาจากทุกซอกมุมของปราสาทร้างแล้วพาตัวเจ้าไป ข้าไล่ตามไปแต่ถูกขัดขวาง จึงต้องต่อสู้จนไปพบเจ้าที่ห้องโถงนั่นละ...เหมือนเจ้าจะรู้เหตุผลที่เขาอาละวาด เหตุใดเขาจึงต้องยึดร่างเจ้าไว้เป็นของตัว”

      “ข้าเห็นในฝันของเขา เขาเคยมีคนรักอยู่คนหนึ่งชื่อลาควีล่า แต่ทั้งคู่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน”

      อิกริดเห็นคนรับใช้ทำงานผ่านหน้าต่างบานหนึ่งแล้วร้องเรียก คนรับใช้รีบวิ่งออกจากห้องไป คงไปตามพ่อของอิกริดมาแน่

      “เขาคงรักนางมาก เมื่อได้ร่างกลับมาจึงต้องการให้นางคืนชีพอีกครั้ง หากเป็นข้าก็คงทำอย่างเดียวกัน”

      “แล้วเขากลืนเจ้าแล้วสร้างร่างใหม่ได้อย่างไร แค่ตอบคำถามคงทำไม่ได้แน่ แถมร่างใหม่ยังเหมือนกับเจ้าเสียอีก”

      “ข้าไม่รู้” อิกริดตอบซื่อๆ เพิ่งรับรู้ความจริงว่าเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเวเบอร์เลยสักอย่าง โดยเฉพาะเรื่องสำคัญๆ

      “ไปทำอะไรกันมา อิกริด! แอนนา!” พ่อของอิกริดวิ่งออกมาทางประตูบ้าน ตกตะลึงกับภาพที่เห็น ลูกชายกับเพื่อนกลับมาในสภาพสะบักสะบอม

      “ท่านเอ็ดมันด์ ข้าคิดว่าเราพบแล้ว จอมปิศาจในยุคนี้” แอนนาสรุปเรื่องโดยรวม

      อิกริดก็เห็นด้วย หากจอมปิศาจคือผู้ที่จะทำลายล้างมนุษย์ เวเบอร์ในตอนนี้ก็เป็นจอมปิศาจไปแล้ว

      “พวกเจ้าไปพบได้อย่างไร เล่าให้ฟังซิ” ผู้นำตระกูลผู้ใช้เวทคนปัจจุบันร้องบอก

      “เวเบอร์ เขาดูดตัวตนของข้าไปสร้างเป็นคนใหม่” อิกริดตอบ แอนนาเห็นว่าคงคุยกันไม่รู้เรื่องจึงอาสาอธิบายด้วยตัวเอง

      แล้วอิกริดก็พบกับเหตุการณ์ซึ่งทำให้เขาเอือมระอาเสียทุกครั้ง แอนนาถูกพาตัวไปรักษาพร้อมกันนั้นพวกพ่อกับคนรับใช้ก็เดินตามไปด้วย ทิ้งชายหนุ่มไว้เพียงลำพังที่โถงทางเข้า พอมีเรื่องกันครั้งใดมักจบลงอย่างนี้ เขาถูกทิ้งเอาไว้คนเดียว แม้แต่แอนนาก็ไม่ได้มาอยู่เคียงข้าง

      “รู้อย่างนี้อยู่ในฝันต่อดีกว่า” อิกริดบ่นกับตัวเองลอยๆ

      เมื่อพิจารณาอีกครั้ง โครงสร้างตึกพักหลังนี้ในความฝันกับในยุคนี้คล้ายกันมากจนไม่น่าเป็นเรื่องบังเอิญ

      ในเมื่อกลับเข้าไปในความฝันไม่ได้ขอแค่เลียนแบบก็ยังดี อิกริดคิด

      แล้วเขาก็ย่างเท้าเดินไปตามทางที่เขาต้องการเดินไปในความฝัน ผ่านห้องหับต่างๆ บันไดและทางหักมุม จนมาหยุดหน้าห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องปิดตาย บานประตูเป็นไม้ผุๆ ผนังส่วนหนึ่งเป็นไม้เก่าคร่า ราวกับเวลาของห้องนี้ถูกหยุดเอาไว้ฉะนั้น เขาเคยอยากเข้าไปดูว่าในห้องนี้มีอะไรแต่ไม่มีโอกาสเลยสักครั้ง

      เขาอยากเข้าไปในห้องนี้ อิกริดเอื้อมมือจับที่จับทองเหลืองสนิมเขรอะ ปรากฏว่าประตูไม่ได้ถูกลั่นดานอย่างที่ควรเป็น ภายในห้องสว่างไสวผิดกับสภาพภายนอก เครื่องประดับตกแต่งยังคงสภาพดีราวกับได้รับการดูแลเป็นประจำ

      ในห้องมีชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนผ้าปูเตียงสีขาว ดวงตาสีพระจันทร์แดงเหม่อลอยอยู่ในห้วงคำนึง เขาคือเวเบอร์ เฟียร์เลส! อิกริดทำลายห้วงความคิดนั้นโดยไม่รู้ตัว ชายผู้เพิ่งถูกเรียกว่าจอมปิศาจหันมายิ้มให้อย่างทุกครั้ง

      “ถูกดึงดูดมาที่นี่สินะ ในอดีตนางผิดใจกับเจ้าบ้านั่น แล้วก็มาหลบพักอยู่ในห้องนี้...ข้าใช้เวทมนตร์ห้วงเวลาทำให้มันคงสภาพเดิมเอาไว้เอง ยังจำเรื่องในตอนนั้นได้ ข้านั่งอยู่ข้างที่นอนพยายามปลอบไลล่าที่ร้องไห้ไม่ยอมหยุด แค่เห็นนางร้องไห้ก็รู้สึกเหมือนหัวใจถูกเฉือนไม่เหลือชิ้นดี...” เวเบอร์ลุกขึ้นยืน ร่างนั้นไม่เหมือนร่างของอิกริดอีกแล้ว หากเป็นร่างจริงของเวเบอร์โดยตรง

      “ข้าอยู่กับเจ้ามาตั้งแต่เกิด รู้ตลอดมาว่าเจ้าทุกข์ใจอย่างไรเมื่ออยู่ที่นี่ ไม่ได้รับการยอมรับ ไม่ได้รับความรักอย่างที่ควรจะเป็น เพื่อนคนเดียวก็ตกเป็นเป้าความสนใจเสียจนทำให้เงาของเจ้าเจือจางลง มาอยู่กับข้าดีกว่าไหม รวมพลังของเราให้เป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์ ล้างแค้นทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ มอบร่างให้กับข้าแล้วเจ้าจะได้รับความสุขชั่วนิรันดร์ เพื่อข้า”

      คำชวนทำให้อิกริดลังเล เขาตั้งใจว่าจะคว้าโอกาสต่างๆก่อนที่มันจะหลุดลอยไป ความสุขชั่วนิรันดร์ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่เขาปรารถนารองจากพลังอำนาจเลยทีเดียว

      คิดในอีกแง่ คำพูดดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ายังมีคนต้องการเขาอยู่ เป็นความจริงหรือที่แอนนาต้องการเขา อิกริดชั่งใจอีกครู่ใหญ่แล้วก็พบคำตอบ เขาเป็นตัวถ่วงสำหรับนาง อย่างไรเสียเขาก็คงไม่มีความสำคัญสำหรับนางแม้แต่นิดเดียว

      “เจอเขาแล้ว! ท่านเอ็ดมันด์!” คนรับใช้ร้องบอกเป็นทอดๆอยู่หน้าประตูห้องที่เคยปิดตาย อิกริดไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่อีกสักพักพ่อของเขาก็คงมาถึงห้องนี้

      “บอกผู้นำตระกูลคนปัจจุบันด้วย ข้ากับเจ้าหนุ่มนี่จะไปรอที่ลานกว้างทางตะวันตกของเขตซ้อมของตระกูล หากไม่รีบไปข้าจะทำลายเมืองนี้ให้พินาศ!”

      อิกริดถูกรวบตัวเอาไว้ แล้วทั้งคู่ก็กลายเป็นลำแสงด้วยมนตร์เคลื่อนย้าย ห้องปิดตายกลับปิดลงอีกครั้งหนึ่ง...


      “แม้ที่นี่ข้าก็ยังจำไม่ลืม”

      อิกริดและเวเบอร์ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งกลางสนามหญ้ากว้าง เป็นว่างสำหรับการทดลองทางเวทมนตร์ ท่าทางเวเบอร์จะยังไม่อยากได้คำตอบจากเขาในตอนนี้

      “ณ ที่นี้ เคยเป็นลานประลองระหว่างผู้กล้าพอลไลน์กับนักรบจันทรา เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ข้ามีความสุขมากเลยละ”

      อิกริดยิ่งรู้สึกอิจฉาอีกฝ่ายจากส่วนลึก ทรงอำนาจ เป็นที่เคารพนับถือ แถมยังมีความทรงจำดีๆให้ระลึกถึงอีก ผิดกับเขาโดยสิ้นเชิง

      พ่อของอิกริดคงมาถึงแล้ว ลำแสงสีเหลืองทองพุ่งจากฟากฟ้าก่อตัวเป็นร่างของเอ็ดมันด์ อิกริดยืนขบกรามนิ่งใคร่ครวญข้อเสนอของเวเบอร์อีกครั้ง

      “ท่านบรรพบุรุษ เราทราบแล้วว่าท่านต้องการศิลาวิญญาณ”

      “แล้วข้าก็รู้ว่ามันอยู่ที่ใด” เวเบอร์ดันอิกริดให้หลบไปด้านหลัง “เปิดเขตอาคมแล้วส่งมันมาให้ข้า ไม่อย่างนั้น...ข้าจะ”

      “จะทำลายเขตอาคมเองอย่างนั้นหรือ” พ่อของอิกริดดักคอ แต่ผิดถนัด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่