เหมันต์จันทร์ธารา บทที่ 1. นาวาเขี้ยววายุ

กระทู้สนทนา
‘นายเรือเฒ่าเวทิต’ ยืนตระหง่านบนดาดฟ้านาวา ‘เขี้ยววายุ’ แววหยิ่งทระนงถือดี เชื่อมั่นฝีมือ กำลัง และสติปัญญาตนเองเหนือสิ่งใด ฉายชัดในดวงตา

ร่างสูงโปร่งผอมบาง แต่งกายรัดกุมในชุดนายเรือสีหม่น เสื้อตัวในแขนสั้นเสมอศอก ชายเสื้อทบไขว้ คาดสายรัดเอวเส้นโต กางเกงเนื้อหยาบยาวพอดีข้อเท้า เสื้อคลุมตัวนอกหนาหนัก แขนยาวจรดข้อมือ ทิ้งชายต่ำเลยบั้นเอว รัดทับด้วยสายคาดหนังแน่นกระชับ อาภรณ์ทั้งสิ้นเก่าคร่ำคร่าซีดจาง ไม่อาจคาดเดาได้ว่าดั้งเดิมเคยถูกย้อมด้วยสีใด

จะมีก็เพียง ‘ผ้าโพกเกล้า’ สีม่วงเข้มซึ่งถูกซักจนสะอาดเป็นนิจ ทั้งปราศจากริ้วรอยใดให้มลทิน ด้วยเจ้าของทะนุถนอมเป็นที่ยิ่ง เนื้อแพรม่วงเข้มยังเปล่งประกายจำรัสอย่างประหลาด ราวเพิ่งถักทอขึ้นเมื่อวันวาน ทั้งที่ได้พ้นมือผู้มอบให้ล่วงสี่สิบเก้าปีแล้ว...

วัยเจ็ดสิบปีกัดกร่อนสังขารจนโรยราไม่น้อย กายซึ่งเคยอุดมด้วยมัดกล้ามบึกบึน เปี่ยมพละกำลังราวพยัคฆ์ลำพอง บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นเหี่ยวย่นซูบซีด ผมเผ้าจากสีน้ำตาลอ่อนราวผืนทรายละเอียด กลับกลายเป็นเงินยวงหมดสิ้นทั้งศีรษะ

ทว่ากาลเวลาย่อมกลืนกินได้เพียงร่างสังขาร ไม่อาจกัดกร่อนประกายทรงอำนาจสั่งการในแววตา ยิ่งไม่อาจลดทอนบุคลิกท่วงท่าอันทะนงองอาจ อีกทั้งกายแม้ซูบซีดเหี่ยวย่นเพียงใด แต่ไหล่บ่ากลับยังสง่าผึ่งผาย เอวหลังยังตั้งตรงไม่งุ้มงอแม้น้อยนิด

ดวงตากระจ่างอันมิได้ฝ้าฟางตามวันคืนแห่งอายุขัย เขม้นมองไปยังห้วงน้ำวนยิ้มวกราก ใบหน้าเกรียมคล้ำด้วยกร้านคลื่นลมมากว่าครึ่งชีวิตสงบเรียบเฉย ทุกองคาพยพปราศจากเค้ารอยวิตกกังวล ซ้ำมุมปากยังประดับรอยยิ้มเยาะ คล้ายกำลังเย้ยหยันผู้ใดอยู่ในที...

‘ห้วงดารานาถ’ เป็นจุดบรรจบของสองมหานที ‘ศศิกันทรา’ และ ‘นิศาอัมพุ’ มหานทีศศิกันทรา ถือกำเนิดจาก ‘เทือกเขาตารกคีรี’ เขตแดนทางเหนือสุดของ ‘อรุณวดีมหาทวีป’ ทอดสายธารดิ่งลงสู่ทิศใต้ มาบรรจบกับมหานทีนิศาอัมพุ ซึ่งมีต้นน้ำ ณ ‘เทือกเขาเมฆีบรรพต’ ไหลหล่อเลี้ยงสรรพชีวิตจากเบื้องตะวันออกไปยังตะวันตก เหตุฉะนี้จุดบรรจบแห่งมหานทีทั้งสอง จึงกลายเป็นห้วงน้ำวนยิ้มวกรากขนาดใหญ่

ในยามปกตินั้น แม้กระแสแห่งห้วงดารานาถจะกราดเกรี้ยวรุนแรง ทรงพลานุภาพเหนือทุกห้วงน้ำในสี่มหานที กระนั้นหากอาศัยนาวาขนาดใหญ่ ออกแบบโครงสร้างเป็นพิเศษ ลำเรือเสากระโดงคัดใช้ไม้เนื้อแข็งอย่างดี นายช่างผู้ประกอบสร้างล้วนชำนาญงาน ในการแล่นล่องมีนายเรือผู้ยิ้มวชาญควบคุมสั่งการ หากกระทำได้ทุกประการดังนี้ แม้ยามฝ่าห้วงกระแสอันบ้าคลั่ง ต้องได้รับความเสียหายไม่มากก็น้อย แต่ยังอยู่ในวิสัยที่จะฝ่าผ่านห้วงน้ำวนแห่งนี้ไปได้

นาวาขนาดใหญ่ซึ่งจัดสร้างอย่างพิถีพิถันดังว่า ถ้ามิใช่เรือรบอันจำเป็นต่อการป้องกันเขตแคว้น ก็ต้องเป็นเรือสินค้า ซึ่งสามารถสร้างผลกำไรให้นายเรือผู้เป็นเจ้าของอย่างมหาศาล ด้วยเหตุที่ต้องลงทุนทั้งยังเสี่ยงภัยไม่น้อยเช่นนี้ ในแต่ละปีจึงมีเรือสินค้าแล่นล่องจากมหานทีนิศาอัมพุ เข้าสู่กระแสแห่งศศิกันทรา โดยผ่านห้วงดารานาถเพื่อไปยัง ‘พุทธินครา’ เมืองเอกแห่งแคว้น ‘อุตรประเทศ’ เพียงปีละไม่เกินสี่ลำ

ทว่าแม้จะใช้นาวาขนาดใหญ่ทรงประสิทธิภาพเพียงไร ควบคุมสั่งการโดยนายเรือฝีมือเยี่ยมปานใด การจะฝ่าผ่านห้วงดารานาถยังคงกระทำได้เฉพาะใน ‘ยามปกติ’ เท่านั้น หากเป็นช่วง ‘จันทราเต็มดวงสามราตรี’ การล่องฝ่าผ่านห้วงน้ำแห่งนี้เป็นเรื่องกระทำไม่ได้โดยเด็ดขาด!

เพราะในช่วงจันทราเต็มดวงสามราตรี ห้วงน้ำวนมหึมาจะยิ่งทวีความรุนแรงเป็นทบเท่าทวีคูณ!

ตลอดช่วงสามทิวาและราตรีนั้น มหานทียิ้มวกรากสองสายซึ่งไหลมาบรรจบกันจากสองทิศทาง จะโถมซัดกระหน่ำเข้าใส่กันระลอกแล้วระลอกเล่า บังเกิดเสียงครืนครั่นอื้ออึงก้องสะท้านห้วงน้ำ คล้ายดั่งอสนีบาตร้อยสายฟาดกระหน่ำลงผิวน้ำพร้อมกัน

พลานุภาพการปะทะอันรุนแรงมหาศาล บังเกิดเป็นกำแพงคลื่นน้ำมหึมา ถาโถมตัวพุ่งขึ้นสูงแล้วกระหน่ำฟาดใส่พื้นน้ำครั้งแล้วครั้งเล่าต่อเนื่อง ไม่ยุติหยุดหย่อนหรืออ่อนแรงแม้เพียงเสี้ยวอึดใจ ดุจดั่งหัตถ์มฤตยูที่หมายกระชากลากกลืนทุกสรรพสิ่งให้จมดิ่งสู่ก้นบึ้งลึกสุดหยั่ง

นายเรือคนใดเล่าจะหาญกล้า แล่นฝ่าห้วงมหานทียามพิโรธเช่นนี้!

ยามนี้ เฒ่าเวทิต นายเรือชราผู้ยึดอาชีพล่องรับส่งสินค้า ระหว่างห้วงกระแสแห่ง ‘ศศิกันทรา’ ‘นิศาอัมพุ’ ‘อินทุธารา’ ‘จันทราชลธี’ มหานทีทั้งสี่มาครึ่งค่อนชีวิต กำลังเงยหน้าจับจ้องจันทราเต็มดวงกระจ่างกลางนภา...

จันทรายิ่งเคลื่อนคล้อยขึ้นสูง สายลมยิ่งทวีกระโชกรุนแรง ตีปะทะจนเชือกที่ผูกยึดโยงใบเรือทั้งหมดรั้งตึง ใบเรือบนเสากระโดงทั้งสองต้นกินลมเต็มที่ ถ้าไม่เพราะทิ้งสมอทั้งหัวและท้ายเรือ ป่านนี้นาวาเขี้ยววายุคงแล่นฉิว เข้าสู่ห้วงดารานาถอันยิ้มวกรากนานแล้ว

เพลานี้ บนดาดฟ้าชุมนุมด้วยบรรดาลูกเรือทั้งหมด ทุกคนต่างสะกดกลั้นลมหายใจ รอคอยด้วยความฮึกเหิมลำพอง ดวงตาแต่ละผู้ทอประกายคาดหวังมุ่งมั่น

สายลมแม้คมกริบแทบบาดผิว ทว่าความหนาวเยือกกลับมิอาจชำแรก เข้าสู่จิตใจของเหล่าลูกเรือร่วมครึ่งร้อย ทั้งหมดกำลังรอให้นายเรือเฒ่าสั่งบุกฝ่าห้วงดารานาถด้วยจิตใจอันร้อนระอุ!

หากกระทำสำเร็จ นาวาเขี้ยววายุจะเป็นเรือสินค้าลำแรก ที่สามารถแล่นฝ่าห้วงน้ำอันทรงพลานุภาพที่สุด ในคืนจันทราเต็มดวง!

นายเรือเฒ่าเวทิตกระทำได้! ไม่มีความสงสัยอยู่ในใจบรรดาลูกเรือแม้สักคนเดียว!

ตลอดหลายปีนี้ เหล่าลูกเรือผู้แล่นล่องฝ่ากระแสน้ำผจญคลื่นลม ร่วมเสี่ยงภัยเผชิญโชคไปพร้อมนายเรือชรา บังเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในตัวเฒ่าเวทิตเพียงสองเรื่องเท่านั้น...

เรื่องแรก เหตุใดนายเรือชราจึงพึงพอใจกับการเป็นเพียงนายเรือสินค้า ทั้งที่ด้วยระดับฝีมือและความยิ้มวชาญ นายเรือเฒ่าต้องไม่ด้อยกว่าขุนพลเรือของแคว้นใดทั้งสิ้น!

เรื่องที่สอง เหตุใดจึงไม่มีเจ้าผู้ครองแคว้นใด สนใจเรียกตัวนายเรือเฒ่าเข้าสังกัด ซ้ำรูปการณ์ยังคล้ายกับว่าเหล่าบรรดาเจ้าผู้ครองแคว้น ไม่สนใจการมีตัวตนของนายเรือชราผู้นี้!

ความเคลือบแคลงสงสัยทั้งสองประการ ก่อให้เกิดข่าวลือซุบซิบมากมายในหมู่ชาวเรือ ผู้แล่นล่องประกอบสัมมาชีพในมหานทีทั้งสี่ เกือบทั้งหมดต่างคาดเดากันว่า เฒ่าเวทิตสมัยอยู่ในวัยฉกรรจ์ คงเคยก่อเรื่องกระทำบางอย่างล่วงเกินเจ้าผู้ครองแคว้นใดหรือหลายแคว้น

เหตุนี้แม้นายเรือเฒ่าจะเก่งฉกาจปานใด บรรดาเจ้าผู้ครองแคว้นต่างไม่เรียกตัวมาเข้าสังกัด ด้วยเกรงว่าหากรับเฒ่าเวทิตเป็นขุนพลเรือแห่งตน อาจสร้างความไม่พอใจให้กับแคว้นอื่น ซึ่งมีเหตุบาดหมางกับนายเรือชรา

ไม่ว่าในวัยฉกรรจ์ นายเรือชรากับบรรดาเจ้าผู้ครองแคว้น เคยมีเรื่องหมางใจกันหรือไม่อย่างไร คงมีเฉพาะเฒ่าเวทิตและเหล่าเจ้าผู้ครองแคว้นเท่านั้นที่กระจ่างแก่ใจ...

แต่สิ่งหนึ่งซึ่งแจ้งแก่สายตา ประจักษ์ต่อโสตเหล่าลูกเรือ รวมตลอดถึงบรรดาชาวเรือทั้งหลาย นั่นคือเฒ่าเวทิตไม่เคยหลบเลี่ยงการท้าทายของผู้ใด!

และครั้งนี้ในคืนจันทราเต็มดวงก็ยังคงเป็นเช่นนั้น!

นายเรือเฒ่าสูดลมหายใจลึกยาว เขม้นมองไปยัง ‘เรือลึกลับสีดำ’ ซึ่งทิ้งสมอลอยสงบนิ่งกลางมหานทีนิศาอัมพุ ทอดระยะห่างจากเขี้ยววายุอักโข ทั้งลำพรางโคมไฟจนมืดสนิท แม้ในคืนจันทราเต็มดวงเช่นนี้ ยังเห็นมันเป็นเพียงเงาตะคุ่มเคลื่อนไหวขึ้นลงตามกระแสน้ำ...

เหตุเพราะเฒ่าเวทิตมีชื่อกระเดื่องดังเกินไป บรรดานายเรือผู้ต้องการสร้างชื่อในชั่วข้ามคืน จึงมักมาซุ่มทิ้งสมอดักรอนายเรือเฒ่าระหว่างห้วงน้ำอันตรายต่างๆ เพื่อท้าประลองฝีมืออยู่เนืองๆ แต่นับจากเริ่มมีชื่อเมื่อสามสิบปีก่อนในวัยกลางคน จนบัดนี้ผมเผ้าหงอกขาวโพลนสิ้นแล้ว เฒ่าเวทิตก็ยังไม่เคยพ่ายให้กับผู้ใดสักครั้ง!

นายเรือชราหัวเราะหึๆ ในลำคอ พลางส่ายหน้า แค่นเสียงทุ้มหนัก

“ชีวิตอันสุขสงบดำเนินมาได้เพียงแค่นี้กระมัง! ผู้ใดกันช่างคิดแผนการเช่นนี้ได้ เฮอะ...หากข้านิ่งดูดาย...พวกมันมิเอาชีวิตมาทิ้งเสียเปล่าหรือ!”

ร่างผอมซูบแต่สูงอย่างยิ่งหันขวับ แววแน่วนิ่งจับจ้องห้วงดารานาถอีกครั้ง ยิ้มเยือกเปี่ยมความมั่นใจฉาบชัดบนใบหน้า แต่แล้วสมาธิแน่วแน่ของนายเรือชรา กลับพลันมลายสิ้น เมื่อสุ้มเสียงสั่นละล่ำละลัก ดังขึ้นข้างกาย

“ท่านผู้เฒ่า...ท่าน...ท่านจะ...จะฝ่า...ฝ่าห้วงดารานาถจริงๆ หรือ...ข้าคิดว่า...ย้อนกลับท่าหลวงก่อนเถอะ เทียบท่าพักผ่อนสักสามวัน...อ้อใช่! ข้ายังมีน้ำโสมที่ท่านชอบเก็บไว้ที่บ้านสหาย ไว้ถึงท่าหลวงแล้วข้าจะไปขนมาให้ท่านหมดเลยดีไหม...”

เจ้าของสุ้มเสียงตะกุกตะกัก ตกประหม่าหวาดหวั่น เป็นชายหนุ่มผิวขาว ร่างเล็กผอมบาง อายุเพิ่งย่างสิบเก้าในปีนี้ หน้าตาคมคายเกลี้ยงเกลา ผมสลวยยาวถึงกลางหลัง ผูกรวบด้วยเชือกถัก ดวงตาแม้แฝงแววฉลาดเฉลียวเจ้าปัญญา แต่ก็ฉายแววขลาดเขลา กริ่งเกรงภยันตรายเบื้องหน้ายิ่ง

ชายหนุ่มแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อหยาบ สีเทาซีดจางเฉกเช่นบรรดาลูกเรือ เนื่องเพราะเฒ่าเวทิตยืนกรานอย่างเฉียบขาดว่า ระหว่างเดินทางหากเห็นชายหนุ่ม เปลี่ยนกลับไปใส่ชุดเดิมของตน ไม่ยอมแต่งกายเช่นลูกเรือทั้งหลาย แม้ในขณะนั้นจะอยู่กลางห้วงน้ำใดก็ตาม ก็จะถูกจับโยนออกจากนาวาเขี้ยววายุทันที

เฒ่าเวทิตเหลียวไปยิ้มเหี้ยมให้ชายหนุ่ม พลางชี้มือเรียกลูกเรือสองคน สั่งเสียงเฉียบขาด

“ไปหาที่เหมาะๆ มัดเจ้ามายากรไว้! มัดให้แน่นที่สุดอย่าให้ขยับเขยื้อนได้!”

‘เจ้ามายากร’ ถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินคำสั่งนั้น ใบหน้าที่ซีดด้วยกลัวสุดขีดเป็นทุนเดิม นับแต่คาดหมายได้ว่า นายเรือเฒ่าคงจะสั่งบุกฝ่าห้วงดารานาถเป็นแน่ ยิ่งซีดเผือดแทบไม่มีสีเลือด เข่าอ่อนระทวย เรี่ยวแรงอันตรธานไปสิ้น

ลูกเรือร่างใหญ่สองคนรีบรี่ตรงเข้ามา ช่วยกันหิ้วปีกชายหนุ่มคิดจะพาไปผูกไว้ที่ท้ายเรือ ทว่าขณะเฉียดผ่านกราบเรือตรงที่ผูกเรือเล็กยึดโยงไว้กับเรือใหญ่ ตรงนั้นมีหลักขนาดเขื่องสองต้น ไว้สำหรับพันเชือกยึดโยงเรือเล็กทั้งสองลำไว้กับข้างกราบเรือ

เจ้ายักษ์ใหญ่ทั้งคู่เห็นเข้าทีดี หันพยักหน้าให้กัน จับมายากรหนุ่มนั่งลง คว้าเชือกเส้นโตที่วางอยู่ตรงนั้น มัดร่างชายหนุ่มตรึงติดกับหลักต้นหนึ่งอย่างแน่นหนา

นับแต่ถูกหิ้วปีกจนถึงโดนมัดกับหลัก มายากรหนุ่มทำสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ ได้แต่ยอมจำนนโดยดี ด้วยรู้ดีว่าขัดขืนดิ้นรนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ เจ้าลูกเรือทั้งสองคนตัวใหญ่ราวยักษ์ปักหลั่น มือที่หิ้วร่างตนก็แข็งราวคีมเหล็ก ขืนดื้นรนไปก็มีแต่จะเจ็บตัว แล้วยังเป็นเรื่องเสียแรงเปล่าอีกด้วย

หลังแน่ใจว่ามัดชายหนุ่ม ติดกับหลักอย่างแน่นหนา ไม่มีวันดิ้นหลุดอย่างเด็ดขาด ลูกเรือร่างใหญ่ทั้งสองก็เตรียมผละไปทำงานของตนต่อ แต่ก่อนจะเดินจากไป ทั้งคู่เขม็งจ้องมายากรหนุ่มอย่างดูแคลน

เจ้ายักษ์คนหนึ่ง กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

“ไม่ควรรับเจ้าหนุ่มคนนี้ขึ้นเรือมาแต่แรก ตอนนี้ยังต้องมาคอยดูแลมันอีก!”

ลูกเรือร่างใหญ่อีกคน หัวเราะเฮอะๆ กล่าวน้ำเสียงเหยียดๆ

“นายผู้เฒ่าใจดีเกินไป แต่ก็เพราะเจ้าคนนี้มันตื๊อไม่เลิกจริงๆ ตามตื๊ออ้อนวอนตั้งแต่บ่ายยันค่ำ นายผู้เฒ่าคงอยากตัดความรำคาญ เลยยอมให้มันโดยสารมาด้วย”

เจ้ายักษ์คนแรกหัวเราะร่วน กล่าวอย่างภาคภูมิ

“แต่คิดแล้วก็น่าเห็นใจอยู่หรอก ขืนพลาดจากเรือของเรา ภายในปีนี้คงไม่มีเรือลำไหนเดินทางไปพุทธินคราอีก”

เพียงได้ยินวาจาประดานั้น มายากรหนุ่มซึ่งก้มหน้านิ่งเงียบ คล้ายยอมรับชะตากรรม ถึงกับเลือดขึ้นหน้าสุดจะทนอีกต่อไป แค่พูดท้วงขึ้นประโยคเดียวถึงกับถูกจับมัดยังไม่พอ เจ้ายักษ์สองคนนี้ยังพูดราวกับว่า เขาเป็นตัวถ่วงต้องให้พวกมันดูแล แล้วเฒ่าเวทิตก็ช่างใจดีหนักหนา ที่ให้เขาโดยสารเรือมาด้วย ซึ่งนั่นมันไม่จริงเลย!

ชายหนุ่มตะคอกใส่หน้าเจ้ายักษ์ทั้งสองเสียงดังลั่น

“ดูแลอันใด! มัดข้าไว้กับหลักนี่หรือเรียกว่าดูแล! แล้วเจ้าเฒ่าเวทิตนั่นน่ะหรือใจดี! เฮอะ! ข้า ‘บุลิน’ แม้เป็นเพียงมายากรเร่ร่อน แต่ก็ไม่เคยขอสิ่งใดจากใครเปล่าๆ! เฒ่าเวทิตอยากได้วิธีหมักน้ำโสมของข้าต่างหาก ถึงยอมให้ข้าโดยสารเรือมาด้วย!”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่