เหมันต์จันทร์ธารา บทที่ 3. ฤทธาฌานเวท

กระทู้สนทนา
‘เมธาปุระ’ เมืองเอกแห่งแคว้น ‘บูรพประเทศ’ แม้ตั้งอยู่ทางฝั่งขวาของกระแสธารานิศาอัมพุ ทั้งมีท่าเทียบเรือขนาดใหญ่ริมฝั่งมหานที กระนั้นอาทิตย์ยามเที่ยงวันยังแรงกล้าร้อนระอุ

บุลินเร่งรุดเดินทางถึงท่าหลวงด้วยความกระหยิ่มใจ มายากรหนุ่มเดินด้อมๆ มองๆ อยู่สักพัก ในที่สุดก็พบเรือซึ่งมีรูปร่างลักษณะ ตรงกับนาวาเขี้ยววายุที่เคยรับรู้มา...

บนท่าเทียบริมฝั่งข้างเขี้ยววายุ ปรากฏกองเกวียนบรรทุกสินค้าหลายสิบเล่ม จอดเรียงรายเป็นแถวยาวเหยียด คะเนดูเที่ยวนี้สินค้าที่เหล่านายวานิชจ้างวาน ให้นำไปส่งยังพุทธินครามีปริมาณมากโข บนเกวียนกว่าครึ่งบรรทุกเครื่องถ้วยชามงามประณีต พับผ้าแพรพรรณสีสดใส หนังสัตว์สมุนไพรหายากหลากหลายชนิด สินค้าประดามีทั้งเครื่องประดับสตรี ทั้งเครื่องมือการเกษตรนับไม่ถ้วน

นอกจากนี้ยังมีเกวียนหลายเล่ม บรรจุสินค้าส่งออกอันเลื่องชื่อที่สุดของเมธาปุระ อันได้แก่ตำรับตำราทุกแขนง หนังสือวิชาความรู้ทั่วไป คัมภีร์บทสวดภาวนามากมาย ตลอดถึงบันทึกตำนานแห่งอรุณวดีมหาทวีปและอาณาจักรแห่งแคว้นทั้งสี่ เหล่านี้ย่อมเป็นผลงานของบรรดาปราชญ์แห่งเมธาปุระ

พวกลูกเรือกำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น กลุ่มหนึ่งตรวจนับสินค้าบนเกวียน อีกกลุ่มบรรจุสินค้าที่ตรวจนับถูกต้องลงหีบลังผูกมัดอย่างแน่นหนา ส่งต่อให้อีกกลุ่มขนย้ายลำเลียงหีบลังเหล่านี้ลงเรือ

ข้างขบวนเกวียนมีชายสูงวัย ร่างสูงโปร่งผอมบางผู้หนึ่ง อายุควรร่วมเจ็ดสิบปีแล้ว แต่กลับยังแข็งแรงกระฉับกระเฉง ยืนสั่งการบรรดาลูกเรือด้วยเสียงอันดัง ไม่ต้องให้ใครบอก บุลินก็รู้ในทันทีว่านั่นคือเฒ่าเวทิต...

ชายหนุ่มย่อมไม่ลืมว่า คืนนี้จันทราจะเต็มดวงเป็นราตรีแรก ดังนั้นต้องล่องฝ่าผ่านห้วงดารานาถ ก่อนที่จันทราเต็มดวงจะปรากฏกลางนภา ไม่เช่นนั้นต้องรออีกสามทิวาราตรี ให้ห้วงน้ำบรรเทาความเชี่ยวกรากเสียก่อน ค่อยสามารถฝ่าผ่านห้วงน้ำวนมหึมาได้อย่างปลอดภัย

ฉะนั้น เขี้ยววายุต้องออกจากท่าหลวงให้ได้ก่อนพลบค่ำ เหตุนี้มายากรหนุ่มจึงไม่กล้าเข้าไปรบกวนยามเฒ่าเวทิตกำลังเร่งรีบทำงาน ได้แต่เฝ้าเมียงมองดูอยู่ห่างๆ

หลังอดทนรอจนบ่ายคล้อย เหล่าลูกเรือขนสินค้าลงเรือเสร็จสิ้น เหลือเพียงรอให้ข้าหลวงตรวจการประจำท่าเรือหลวง ตรวจความเรียบร้อยของสินค้าอีกครั้ง เพื่อประทับหนังสือรับรองว่า สินค้าบนเรือลำนี้เสียภาษีถูกต้อง มิใช่ของเถื่อนหรือสินค้าต้องห้าม จากนั้นก็สามารถออกจากท่าหลวงของเมธาปุระได้ทันที

ยามนี้บุลินเห็นเป็นโอกาสเหมาะ รีบตรงเข้าไปแนะนำตัว เจรจากับนายเรือเฒ่าขอโดยสารไปพุทธินครา แต่เฒ่าเวทิตกลับส่ายหน้าปฏิเสธอย่างไม่สนใจ แม้มายากรหนุ่มจะพยายามเสนอค่าเดินทางสักเท่าไหร่ นายเรือเฒ่ากลับบอกปัดอย่างไม่ใยดี บุลินเดินไปเดินมาตามตื๊ออ้อนวอนขอร้องจนอ่อนใจ แต่นายเรือชราก็ไม่มีท่าทีจะใจอ่อนสักนิด

แล้วจู่ๆ ‘เรือลึกลับสีดำ’ ลำหนึ่งก็แล่นเข้าเทียบท่าหลวง...

แทบจะในทันทีที่เรือลำนั้นเทียบท่า เกวียนบรรทุกหีบลังหลายสิบเล่ม ล้วนใช้ผ้าสีดำคลุมปกปิดมิดชิด ไม่ทราบโผล่ออกมาจากสารทิศใด บรรดาลูกเรือลำนั้นหลายสิบคนทยอยขึ้นจากเรือ ช่วยกันขนหีบลังจากเกวียนลงเรือ ข้าหลวงตรวจการประจำท่ารี่เข้ามาให้ความสะดวกอย่างนอบน้อม อีกทั้งเหล่านักรบองครักษ์ของท่าหลวงยังคอยคุ้มกันรอบเรืออย่างแน่นหนา...

บุลินได้ยินลูกเรือของเฒ่าเวทิต พึมพำซุบซิบถึงที่มาที่ไปของเรือสีดำลำนั้น เพราะด้วยสายตาเปี่ยมประสบการณ์ของบรรดาลูกเรือ แทบจะระบุได้ในทันทีว่า เรือสีดำลำนั้นเป็นเรือรบที่ดัดแปลงเป็นเรือสินค้า!

ทั้งเหล่าบรรดาลูกเรือที่กำลังขนหีบลัง จากท่วงท่าก็คล้ายเป็นพวกนักรบทั้งสิ้น!

ทั้งเรือ ทั้งลูกเรือ ทั้งหีบลังเหล่านั้น ไม่มีสิ่งใดสามารถระบุได้ว่าเป็นของแคว้นใด...

การขนหีบลังขึ้นเรือดำเนินไปอย่างเชื่องช้า...เชื่องช้าจนผิดสังเกต...

ข้าหลวงตรวจการยังคอยดูแลอยู่ข้างๆ ไม่ยอมห่าง และไม่สนใจเรือลำอื่นใดที่เข้าเทียบท่าหลวงอีกเลย ไม่สนใจกระทั่งจะมาตรวจสินค้าบนเรือของเฒ่าเวทิต!

มายากรหนุ่มเห็นเฒ่าเวทิตหงุดหงิดงุ่นง่าน เดินไปเจรจากับข้าหลวงตรวจการหลายครั้ง แม้ไม่ได้ยินว่าสนทนากันอย่างไร แต่ย่อมคาดเดาได้ว่านายเรือเฒ่าคงเร่งให้มาตรวจสินค้า ประทับตรารับรองเสียทีจะได้รีบออกเดินทาง แต่ดูจากทีท่าข้าหลวงตรวจการคงบ่ายเบี่ยงไปมา เจรจากันอยู่หลายครั้งก็ไม่เป็นผล จนนายเรือเฒ่าโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ยิ่งเดินยิ่งหงุดหงิดเดือดดาล กรอกน้ำโสมดับโทสะพลุ่งพล่าน

บุลินเห็นเฒ่าเวทิตกรอกน้ำโสมอึกๆ ราวดื่มน้ำบริสุทธิ์ พลันเห็นลู่ทางจะเจรจากับนายเรือเฒ่าอีกครั้ง รีบวิ่งรี่กลับไปยังบ้านของสหาย อันได้ฝากน้ำโสมซึ่งหมักด้วยสูตรเฉพาะที่เล่าเรียนมา

มายากรหนุ่มยื่นส่งน้ำโสมให้นายเรือเฒ่าทันทีเมื่อกลับถึงท่าเรือ แล้วก็เป็นดังคาดเฒ่าเวทิตติดอกติดใจรสชาติน้ำโสมเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มเลยรีบถือโอกาส ยื่นข้อเสนอขอโดยสารไปกับเขี้ยววายุ แลกกับวิธีหมักน้ำโสมของตน คราวนี้เฒ่าเวทิตตอบตกลงโดยไม่เสียเวลาคิดด้วยซ้ำ

บุลิน นายเรือเฒ่าและบรรดาลูกเรือ ยังต้องนั่งรอด้วยอารมณ์เดือดดาล จนอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า เรือลึกลับสีดำจึงลำเลียงหีบลังทั้งหมดเสร็จสิ้น

ข้าหลวงตรวจการประทับตรารับรองเรียบร้อย รอจนเรือลำนั้นแล่นออกพ้นท่าหลวง จากนั้นค่อยมาตรวจสินค้าประทับตรารับรองให้เฒ่าเวทิต กว่าจะจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นก็เกือบพลบค่ำ...

กระนั้นเหล่าลูกเรือและนายเรือเฒ่ายังคงมั่นใจว่า สามารถนำเรือล่องผ่านห้วงดารานาถทันเวลา นายเรือชราสั่งชักใบเรือเต็มที่ทั้งสองเสา เพียงออกพ้นท่าหลวง เขี้ยววายุก็แล่นฉิวตัดกระแสน้ำ ด้วยความเร็วดุจลูกธนูหลุดจากแล่ง ลูกเรือต่างมั่นใจว่าด้วยความเร็วระดับนี้ ต้องฝ่าห้วงน้ำวนก่อนจันทราเต็มดวงปรากฏอย่างแน่นอน

แต่แล้วจู่ๆ เบื้องหน้านั่น! ‘เรือลึกลับสีดำ’ กลับจอดทอดสมอสงบนิ่งอยู่กลางมหานที!

เรือลำนั้นสมควรล่องผ่านห้วงดารานาถไปตั้งนานแล้ว เหตุใดจึงยังรั้งรออยู่เช่นนี้!

เหล่าลูกเรือเข้าใจได้ในทันที นี่เป็นการท้าทาย! นายเรือลึกลับลำนั้นยั้งรออยู่เพื่อท้าทายเฒ่าเวทิต!

รูปการณ์บ่งบอกอย่างชัดแจ้งว่า เรือลึกลับสีดำจงใจถ่วงเวลาอยู่ที่ท่าหลวง โดยกะเวลาให้เรือของเฒ่าเวทิตมาถึงห้วงดารานาถ ก่อนจันทราเต็มดวงปรากฏเพียงเล็กน้อย

นายเรือผู้สั่งการเรือลึกลับสีดำ ทิ้งสมอดักรอก่อนถึงห้วงดารานาถเพื่อท้าทายนายเรือเฒ่า จากสถานที่และช่วงเวลา การท้าทายนั้นจะเป็นสิ่งใดไปไม่ได้ นอกจากต้องการท้าประลองว่า เฒ่าเวทิตจะกล้าแล่นฝ่าห้วงดารานาถ ในช่วงจันทราเต็มดวงหรือไม่!

ณ เพลานี้จันทราเต็มดวงงามกระจ่างกลางนภา...

เสียงโห่ร้องอื้ออึงอย่างมีชัยของเหล่าลูกเรือกึกก้องกังวาน นาวาเขี้ยววายุทะลวงฝ่าห้วงน้ำวนมหึมาแห่งห้วงดารานาถเป็นผลสำเร็จ!

ฝ่ายเรือลึกลับสีดำซึ่งเดิมจอดสงบนิ่ง บัดนี้ก็ได้เริ่มเคลื่อนเข้าสู่กระแสธาราอันเชี่ยวกราก โดยปราศจากอาการลังเลใดทั้งสิ้น!

ในห้วงเวลาที่ทุกคนต่างสะกดกลั้นลมหายใจ เขม้นมองเรือลึกลับสีดำเป็นตาเดียว ท่ามกลางความตื่นตะลึงของทุกผู้บนนาวาเขี้ยววายุ พลันบังเกิดเสียงครืนครั่นกึกก้องดุจฟ้าพิโรธคำราม กระหน่ำฟาดลงบนผืนน้ำต่อเนื่องนับครั้งไม่ถ้วน!

ทั้งหมดต่างสะดุ้งเฮือก ภาพที่ปรากฏต่อสายตา สร้างความตื่นตระหนกให้ทุกคนเป็นที่ยิ่ง!

เหตุแห่งเสียงครืนครั่นกึกก้อง ย่อมเป็นกำแพงคลื่นน้ำมหึมาซึ่งบังเกิดริมขอบห้วงน้ำวน กำแพงคลื่นน้ำขนาดใหญ่โถมซัดลอยตัวสูงเหนือผิวน้ำ แล้วเพียงพริบตาพลันฟาดกระหน่ำตกสู่พื้นผิว ด้วยพลังมหาศาลปานขุนเขาถล่มสลาย

แต่สิ่งที่ทำให้ทุกผู้แทบหยุดหายใจราวถูกสะกด นั่นเป็นเพราะกลางกำแพงคลื่นน้ำขนาดมหึมาลูกแล้วลูกเล่า ยามนี้พลันปรากฏช่องแตกทะลุขนาดใหญ่ ผ่ากลางกระแสคลื่นอันกราดเกรี้ยว!

ไม่ว่ากำแพงคลื่นบริเวณขอบชั้นนอกของห้วงดารานาถ จะปรากฏขึ้นซ้ำกี่ครั้งกี่คราว เพียงเสี้ยวพริบตากระแสธารากราดเกรี้ยว กลับแตกสลายซ่านเซ็นแยกออกจากกัน ปรากฏเป็นช่องว่างดั่งบังเกิดประตูขนาดมหึมา ทะลุทะลวงเปิดสร้างเส้นทางมหัศจรรย์ เชื่อมนิศาอัมพุกับศศิกันทราสองมหานทีเข้าด้วยกัน!

เรือลึกลับสีดำเคลื่อนสู่ห้วงดารานาถดุจสายลมหอบ ทุกครั้งที่กำแพงคลื่นน้ำปรากฏขึ้นขวางเบื้องหน้า บนเรือสีดำพลันบังเกิดเสียงกระหึ่มกึกก้องต่อเนื่อง ไม่ทันสิ้นกระแสเสียงปานอสนีบาตฟาด ใจกลางกำแพงคลื่นน้ำแตกสลายพุ่งกระจาย คล้ายระเบิดออกตรงกลางแปรสภาพเป็นไอน้ำหมดสิ้น ปรากฏเป็นช่องว่างให้ลำเรือทะลุผ่านดุจดั่งช่องประตูกลางห้วงดารานาถ!

เรือลึกลับสีดำอาศัยช่องว่างดั่งประตูมหึมา แล่นทะลวงผ่านกลางกำแพงคลื่นน้ำ!

สีหน้าเฒ่าเวทิตยังสงบเรียบเฉย พยักหน้ากล่าวว่า

“ไม่เลวเลย...มีทั้งหมดสามคนหรือ สองคนใช้ ‘เตโช’ กับ ‘อาโป’ ฌานเวททลายสลายกำแพงคลื่นน้ำ ส่วนอีกคนใช้ ‘ปฐวี’ ฌานเวทบังคับควบคุมเรือ สามคนนั่นมิใช่ปราชญ์แม้แต่คนเดียว ที่แท้ทั้งสามนั่นเป็นใครกันบ้าง...”

นารทพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยตอบว่า

“เจ้าฟ้าชาย ‘โควินท์’ กับขุนพล ‘ปวีร์’ แห่งศานติธานี อีกคนคือจอมเวทย์ ‘รัญชน์’ แห่งเมธาปุระ”

นายเรือเฒ่าหัวเราะหึๆ ในลำคอ เอ่ยเสียงทุ้มหนัก

“อ้อ นึกว่าใคร ที่แท้เป็นเหล่าผู้ได้รับเลือกเป็นศิษย์ ด้วยผ่านการคัดเลือกพิเศษของเหล่าปราชญ์นี่เอง ในที่สุดแคว้นทั้งสี่ก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ใช่หรือไม่...เมธาปราชญ์นารท...ถ้านั่นคือนามจริงของเจ้า...”

นารทสะดุ้งเฮือก ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ สายตายังจับจ้องเรือลึกลับสีดำไม่วางตา พลางทอดถอนใจลึกยาว กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง

“ท่านผู้เฒ่าล่วงรู้มาก่อนหรือไม่ว่าคน ‘ผู้นั้น’ จะปรากฏกลางราตรีนี้”

เฒ่าเวทิตแค่นเสียงเฮอะในลำคอ ตอบว่า

“ข้าจะรู้ล่วงหน้าได้อย่างไร เมื่อมาถึงห้วงดารานาถค่อยรับรู้ถึงกระแสอันแรงกล้าของคน ‘ผู้นั้น’ ดูจากสีหน้าของเจ้า คงไม่คาดคิดเหมือนกันใช่หรือไม่”

“ข้าทราบเพียงคณะมนตรีแห่งปราชญ์เรียกเจ้าฟ้าชายโควินท์ ขุนพลปวีร์และรัญชน์ เข้าพบเป็นการด่วน ส่วนจะสั่งการคนทั้งสามด้วยเรื่องใดข้ามิอาจรู้ คิดไม่ถึงว่าเหล่าปราชญ์สามารถพยากรณ์ได้ว่าคน ‘ผู้นั้น’ จะปรากฏบริเวณห้วงดารานาถในคืนนี้”

นายเรือเฒ่าชำเลืองสายตา คล้ายกำลังประเมินชายหนุ่มข้างกายอีกครั้ง

“เจ้ากำลังย้ำอีกครั้งสินะ ว่าที่ลักลอบขึ้นเรือของข้า ไม่เกี่ยวข้องกับเหล่าปราชญ์ รวมทั้งเจ้าพวกสามคนบนเรือลำนั้น เฮอะ อย่างนั้นแอบขึ้นเรือข้ามาทำไม”

ชายหนุ่มคล้ายนิ่งงันชั่วขณะ ค่อยเอ่ยตอบ

“ข้ามีนัดหมายสำคัญ ต้องเดินไปพุทธินคราให้ทันกำหนดขอรับ”

นายเรือเฒ่าเพียงหัวร่อฮึๆ ในลำคอ อีกฝ่ายมื่อไม่คิดตอบ ก็คร้านจะซักไซ้ไล่เลียง

นารทกลับเป็นฝ่ายทอดถอนใจ กล่าวแผ่วเบา

“บัดนี้ท่านย่อมทราบแล้วว่า ‘ผู้นั้น’ กำลังจะปรากฏตัว ท่านผู้เฒ่าก็ยังจะ...”

เฒ่าเวทิตหันขวับตวาดกราดเกรี้ยว

“เหตุใดข้าต้องหนีการเผชิญหน้ากับมัน! ผู้ที่เจ้าต้องกังวลมิใช่ข้า โน่น! ห่วงชีวิตเจ้าสามคนนั่นบนเรือลำนั้นจะดีกว่า! ก็ดี...ข้าอยากรู้นักว่าปราชญ์แห่งเมธาปุระวางแผนการอะไรไว้อีก”

นารทนิ่งเงียบไม่ตอบคำ ครู่ใหญ่ค่อยเอ่ยว่า

“ใกล้ถึงเวลาแล้ว...ท่านจะ...”

เฒ่าเวทิตรีบโบกมือกล่าวตัดบท

“เรื่องนี้ข้าไม่ยุ่งเกี่ยว...น่าเสียดายเจ้าสามคนนั่นฝีมือดี หากฝึกฝนต่อไปไม่แน่ว่าจะ...เฮอะ...พวกปราชญ์แห่งเมธาปุระคิดอะไรอยู่ ไม่ควรส่งพวกมันมาพบจุดจบเช่นนี้เลย...ใครเป็นคนสั่งการสามคนนั่น ‘นันทนะ’ หรือ ‘ธันยา’ เฮอะ...ช่างไม่มีความคิด” ขาดคำพลันเดินผละจากหัวเรือไปทันที

นารทได้แต่ทอดถอนใจอีกครั้ง กระแสเสียงแผ่วเบาเอ่ยไล่หลังเฒ่าเวทิต

“ท่านผู้เฒ่าจะมองดูทั้งหมดถูกสังหารสิ้นกระนั้นหรือ”

บนนาวาเขี้ยววายุ มีเพียงเฒ่าเวทิตกับนารทที่มิได้สนใจอีกต่อไป ว่าเรือลึกลับสีดำจะฝ่าห้วงดารานาถได้หรือไม่ ทั้งคู่ตระหนักแก่ใจแต่แรกว่า ด้วยฌานเวทของผู้ควบคุมเรือสีดำทั้งสามคน การฝ่าผ่านห้วงดารานาถมิใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง สิ่งที่นายเรือเฒ่าและชายหนุ่มประหวั่นวิตก กลับเป็นเหตุการณ์หลังจากนั้นต่างหาก...

พลังฤทธาแห่งฌานเวทของบุรุษทั้งสามบนเรือสีดำ นำนาวาลำนั้นฝ่ากระแสน้ำเชี่ยวกรากออกจากห้วงดารานาถเป็นผลสำเร็จเพียงชั่วเวลาไม่นาน แล่นล่องเข้าสู่กระแสแห่งศศิกันทราอยู่เบื้องหลังนาวาเขี้ยววายุ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่